ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 113 ต้นสนสามต้น (ตอนต้น)
จูลั่วมีฐานะเป็นถึงหนึ่งในมรสุมทั้งแปด จึงปรากฏตัวต่อหน้าชาวโลกน้อยมาก แต่ในวันนี้เขาจำเป็นจะต้องมา และถ้าพูดกันตามจริง สำหรับการปรากฏตัวของเขา ไม่ว่าจะเป็นหวังผ้อหรือเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรในเมืองสวินหยางนี้ ก็ล้วนไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ ซูหลีเป็นบุคคลในระดับไหน เพื่อที่จะฆ่าเขา พวกคนชุดดำไม่เสียดายที่จะใช้สวนโจวสร้างขึ้นมาเป็นกับดัก เผ่ามารใช้ที่รกร้างด้านหน้าเมืองเสวี่ยเหล่า วางกำลังรบที่ใหญ่โตถึงขนาดนี้ ในตอนนี้โลกของมนุษย์เองก็อยากจะฆ่าเขาให้ตาย อาศัยเพียงแค่พวกมือสังหารระหว่างทางกับเซวียเหอ เหลียงหงจวง และยอดฝีมือในระดับนี้ไหนเลยจะเพียงพอ
ถึงจะมีผู้บำเพ็ญเพียรนับร้อยในเมืองสวินหยางเพิ่มเข้ามา ต่อให้มีหวังผ้อ เซียวจาง เหลียงหวังซุน ที่เป็นสามคนที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยกลางนี้เพิ่มเข้ามา ก็ยังคงไม่เพียงพออยู่ดี ไม่ว่าจะมาเลี้ยงส่งหรือเชิญวิญญาณ เรื่องความเป็นความตายของซูหลีก็นับเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ ถึงแม้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ หรือสังฆราชไม่อาจปรากฏตัวได้ แต่มรสุมทั้งแปดไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมาถึงที่
จูลั่วที่ในสายตาของผู้คนราวกับเป็นเทพก็ไม่ปาน และได้เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นฟ้ามายังโลกมนุษย์ที่สับสนวุ่นวาย มาปรากฏตัวในเมืองสวินหยาง ปรากฏตัวขึ้นที่หัวถนนสายนั้น ก็เป็นเพราะสาเหตุนั้น… เขามาฆ่าซูหลี… คิดถึงป่าด้านนอกเมืองฮั่นชิว ศาลาเรือนนั้นที่อยู่นอกป่า ที่ใต้ศาลามีเงาร่างของผู้สูงส่งที่ละทางโลกซึ่งมีผมยาวปรกบ่า เฉินฉางเซิงรู้สึกไม่ดีเอามากๆ หลังจากที่ได้ยินคำพูดนั่นของซูหลี ถึงได้เข้าใจขึ้นมา ในเมื่อล้วนเป็นคนที่มีชีวิตอยู่บนโลก ไหนเลยจะไปมีผู้สูงส่งที่ละทางโลกจนนอนกลางดินกินกลางทรายและไม่กินอาหารที่ปรุงสุกอยู่จริงๆ
ในเมื่อเป็นโลกมนุษย์ ก็ยากที่จะเลี่ยงการทำเรื่องเลวระยำได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะยินยอมหรือว่าถูกบีบบังคับก็ตาม เฉินฉางเซิงมองใบหน้าที่เฉยเมยของจูลั่ว แล้วนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใด เขานึกถึงคำพูดหนึ่งที่ถังซานสือลิ่วเคยพูดอยู่ที่ใต้ต้นไทรย้อยที่สำนักฝึกหลวง ไม่มีใครที่จะยกระดับคุณธรรมไปตามอายุที่มากขึ้น ส่วนมากแล้วล้วนเป็นเช่นตอนหนุ่ม เป็นไอ้โง่ พอแก่ก็เปลี่ยนเป็นตาแก่โง่… ตาแก่สารเลว ตาแก่โง่ล้วนเป็นคำหยาบคาย เมื่ออยู่ในนาทีนี้แล้ว กลับมีอำนาจโน้มน้าวใจอยู่เช่นนั้น เฉินฉางเซิงไม่มีทางพูดคำหยาบเช่นนี้ แต่เมื่อมองจูลั่วที่ถนนฝั่งตรงข้าม ก็กลับอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำศัพท์พวกนี้ ความรู้สึกของเขาไม่ได้ผิด จูลั่วในตอนนี้ไม่ใช่ผู้สูงส่งที่ละทางโลกซึ่งอยู่ใต้ศาลานอกเมืองฮั่นชิวอย่างเงียบเหงาเลือนรางผู้นั้นอีกแล้ว และก็ไม่ใช่ผู้กล้าของมวลมนุษย์ที่เมื่อหลายร้อยปีก่อนได้สังหารขุนพลมารอันดับสองในดาบเดียวภายใต้แสงจันทร์สาดส่องในพื้นที่ราบหิมะ จูลั่วในตอนนี้เป็นผู้นำตระกูล เป็นครอบครัวมหาอำนาจในต้าโจว เป็นผู้แข็งแกร่งของต้าลู่ เป็นคน เป็นคนธรรมดาผู้หนึ่ง
คนธรรมดาผู้หนึ่งที่สามารถฆ่าคนเพื่อผลประโยชน์ได้
หลังจากที่หวังผ้อคำนับเสร็จแล้ว ก็ยืนอยู่ที่ด้านหน้าซูหลีและเฉินฉางเซิงอย่างสงบ ไม่ได้พูดและก็ไม่ได้เคลื่อนไหว แน่นอนว่าก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะหลีกทางให้ แม้แต่ดาบในมือก็ไม่ได้เก็บกลับเข้าฝัก… เผชิญหน้ากับแปดมรสุมที่ไม่ว่าลำดับอาวุโส สถานะ หรือความแข็งแกร่งก็ล้วนเหนือล้ำไปกว่าเขา ความนิ่งเงียบและไม่เคลื่อนไหวนี้ก็เป็นการไม่ให้ความเคารพอย่างมาก
จูลั่วมองไปที่เขาแล้วพูดขึ้น “ข้าไม่อยากปรากฏตัว แต่เจ้าทำให้ข้าต้องปรากฏตัวออกมา”
ที่พูดนี้หมายถึงดาบนั่นของหวังผ้อที่ดูเหมือนจะสุขุม แต่แท้จริงแล้วบ้าคลั่ง เขาใช้ความเสียหายอย่างมากในอนาคตเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนเพื่อทำให้เซียวจางกับเหลียงหวังซุนบาดเจ็บสาหัส และยังจัดการกับฝูงชนในสวินหยางต่ออีก สายตาเห็นว่ากำลังจะพาซูหลีออกจากเมืองได้อยู่แล้ว หากจูลั่วไม่ปรากฏตัวขึ้นมาในเวลานี้ ไม่แน่ว่าหวังผ้อจะสามารถฝืนต่อเหตุการณ์ที่บีบบังคับบนโลกมนุษย์ และช่วยให้ซูหลีมีชีวิตต่อไปได้สำเร็จ
ด้วยสถานะของจูลั่วที่อยู่ในโลกมนุษย์ คำพูดนี้ของเขาเป็นการชมเชยหวังผ้ออย่างมาก ถึงแม้ตอนที่เขาพูดประโยคนี้บนใบหน้าจะไม่ได้มีการแสดงอารมณ์ใดๆ แน่นอนว่าการชมเชยไม่ใช่การชื่นชม และยิ่งไม่ได้แสดงถึงการชื่นชมอย่างปลาบปลื้ม พูดให้ชัดเจนคือ จูลั่วใช้คำพูดนี้อย่างชัดเจน กระทั่งเป็นการแสดงออกอย่างไม่ค่อยพอใจถึงการชื่นชมอย่างปลาบปลื้มของตนที่มีต่อหวังผ้อ
เมื่อพูดประโยคนี้จบ จูลั่วก็มองไปที่เฉินฉางเซิง แล้วกล่าวเสียงแหบแห้ง “ใต้เท้าสังฆราชกำลังร้อนใจระทมทุกข์อยู่ที่พระราชวังหลี เหล่าอาจารย์มิตรสหายล้วนกำลังเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า คนนับพันนับหมื่นในจิงตูล้วนสวดภาวนาให้เจ้า หวังให้เจ้ามีชีวิตรอด ผลคือเจ้ามีชีวิตรอด แต่กลับโอ้เอ้ในระหว่างการเดินทางเสียจนยาวนานถึงเพียงนี้! เจ้าคิดจะทำอะไร หรือว่าเจ้าไม่คิดจะกลับไปแล้ว!”
เทียบกับน้ำเสียงของผู้อาวุโสในยามที่พูดกับหวังผ้อแล้ว น้ำเสียงที่เขาพูดกับเฉินฉางเซิงยิ่งไม่มีความเกรงใจเลย ถึงแม้เฉินฉางเซิงในตอนนี้จะมีสถานะเป็นหัวหน้าของสำนักฝึกหลวง แต่อย่างไรเสียอายุของเขายังเยาว์นัก อีกทั้งจากมุมมองของเหมยหลี่ซาแล้ว เขาคิดว่าตนก็เป็นผู้อาวุโสของเฉินฉางเซิงอย่างแท้จริง แน่นอนว่าจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะแสดงถึงความเข้มงวด ประโยคสุดท้ายนั้น ยิ่งใกล้เป็นการสั่งสอนและด่าว่า
เฉินฉางเซิงไม่ได้เอ่ยปากพูด ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่มีหน้ามาเผชิญกับอาจารย์จากจิงตู และก็ไม่ได้ละอายใจกับคำสั่งสอนของอาจารย์ แต่เขาในตอนนี้ยังคงโมโหอยู่อย่างมาก เขากังวลว่าถ้าตนเอ่ยปากโต้แย้งจะเป็นการไม่เคารพผู้อาวุโส หวังผ้อเองก็ไม่ได้พูด เพราะว่าเขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องพูด เขาไม่ต้องการการชื่นชมจากผู้อื่น ต่อให้คนผู้นั้นจะเป็นจูลั่ว
ถนนทั้งสายมีแต่ความเงียบ ไม่มีผู้ใดผู้ขึ้นมาสักคน
หลังจากที่จูลั่วปรากฏตัวขึ้นมา นอกจากเสียงที่สบายๆ ของซูหลีแล้ว ทั่วทั้งเมืองสวินหยางก็ได้ยินเพียงแค่เสียงของเขา มรสุมทั้งแปดเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในเมืองสวินหยางนี้หรือจะเป็นทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ ดังนั้นต่อให้เสียงพูดของเขาจะเฉยชาอย่างมาก ก็ดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาดในฤดูใบไม้ผลิ ทั่วทั้งโลกล้วนต้องฟังอย่างละเอียด ยิ่งไปกว่านั้นในครั้งนี้เขามาปรากฏตัวขึ้นที่หัวถนนในเมืองสวินหยาง และยังเป็นตัวแทนเจตจำนงของราชสำนักต้าโจวอีกด้วย ตัวเขาที่มีความใกล้ชิดกับราชตระกูลเฉินอย่างใกล้ชิดหาใดเปรียบ รวมไปถึงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และสำนักฝึกหลวง เห็นได้ชัดว่าได้มีการทำข้อตกลงบางอย่างกันตั้งแต่แรกแล้ว
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ พระราชวังหลี จูลั่ว นี่คือภูเขาสูงทั้งสามแห่งของราชวงศ์ต้าโจว เดิมทีเฉินฉางเซิงก็เป็นต้นสนอ่อนใบเขียวที่เติบโตอยู่บนหนึ่งในภูเขาเหล่านี้ เพราะว่าตำแหน่งที่อยู่สูง ดังนั้นจึงได้รับความเคารพอย่างมาก สถานะเองก็สูงส่งอย่างมาก แต่ว่าในตอนนี้ เขาต้องการต่อต้านเจตนารมณ์ของภูเขาสูงที่อยู่ใต้ฝ่าเท้านี้ และยังมีเงามืดของภูเขาสูงอีกลูกที่อยู่ตรงหน้า เขาจะสามารถทำอะไรได้กัน
เขามองไปที่หวังผ้อ ร่างกายที่สูงผอมของหวังผ้อได้โอนเอนเบาๆ ท่ามกลางสายลมอันเหน็บหนาว ช่างเหมือนกับต้นสนต้นหนึ่งที่แข็งแกร่งจริงๆ ไม่ได้ใหญ่โตขนาดที่ฟ้าผ่าลงมาแล้วไม่ล้ม แต่อย่างน้อยก็ไม่ถูกสายลมจากสี่ทิศพัดจนเปลี่ยนรูปร่างไปง่ายๆ จูลั่วมาแล้ว เขาไม่ได้คุกเข่าคำนับ ไม่ได้หลีกทางให้ ไม่ได้ถอยหนี ถูกลมพัดจนก้มหัวน้อยๆ นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ถึงแม้สิ่งเหล่านี้จะไม่มีความหมายอะไร
เขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคกลาง เป็นอันดับหนึ่งของประกาศเซียวเหยา แต่ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของจูลั่ว
จูลั่วเป็นหนึ่งในมรสุมทั้งแปด เป็นบุคคลที่ได้ก้าวเข้าไปในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ในเมืองสวินหยางในตอนนี้ ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ คนเพียงคนเดียวที่กล้าเมินเฉยห้านักปราชญ์กับแปดมรสุม นอกจากพวกเขาแล้ว ก็เหลือเพียงแค่คนเดียว
ซูหลีไม่ได้ปกปิดความเหยียดหยามและยั่วเย้าของตนแม้แต่น้อย พลางพูดขึ้น “พวกตาแก่อย่างเจ้าในตอนนี้ก็ทำได้เพียงข่มขู่เด็กๆ หรือ”
ที่พูดนี้ก็คือสองประโยคนั้นที่จูลั่วพูดกับหวังผ้อและเฉินฉางเซิง ไม่รอคำตอบของจูลั่ว คิ้วกระบี่ของซูหลีก็เลิกขึ้นน้อยๆ และพูดขึ้นมาอีกท่อนหนึ่ง “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยากให้ข้าตายอย่างมาก…ตั้งแต่หลายปีก่อนพวกเจ้าก็อยากให้ข้าตาย ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าความลับสวรรค์หรือว่าเจ้า เพราะว่าตอนที่ข้ายังหนุ่มอยู่อย่างมาก พวกเจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ดังนั้นพวกเจ้าก็ยิ่งอยากฆ่าข้าให้ตาย เพราะเหตุผลเดียวกันนี้ ข้าว่าที่จริงพวกเจ้าอยากให้หวังผ้อลงมือในตอนนี้อย่างมาก หลังจากนั้นเจ้าจะได้หาข้ออ้างฆ่าเขาทิ้งเสีย อย่างนั้นสินะ”
คำพูดนี้แทงใจดำอย่างมาก ดังนั้นบนถนนจึงเงียบอย่างมาก
ผู้คนสามารถทำได้เพียงแสร้งเป็นว่าไม่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ รวมไปถึงตัวของหวังผ้อเองก็ไม่ได้มีการตอบสนองอะไร
ใบหน้าของจูลั่วไร้ความรู้สึก และไม่ได้พูดอะไร
“ยิ่งข้าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ พวกเจ้าก็ยิ่งอยากให้ข้าตาย”
ซูหลีพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “เทียนไห่ ไป๋เยี่ยสิงสามีภรรยาคู่นั้น พวกเจ้าสวะทั้งแปด ในตอนนี้แม้แต่ตาเฒ่าอิ๋นก็ยังอยากให้ข้าตายเลย…”
ห้านักปราชญ์ แปดมรสุม นอกจากตัวซูหลีเองแล้ว ดินแดนต้าลู่นี้ก็มีผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่สิบสามคน
เขาในตอนนี้ได้เอ่ยชื่อขึ้นมาสิบสองคน เขาประณามว่าผู้ที่ดำรงอยู่ราวกับเทพพวกนี้ ล้วนเป็นฆาตกรที่วางแผนสังหารตน
“ข้าไม่ได้มีอะไรไม่พอใจ เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยสนใจจะอยู่ในแดนเทพกับพวกเจ้าทั้งหลาย”
เขาเบ้ปาก สุดท้ายแล้วก็พูดขึ้น “ข้าเพียงแค่เสียใจในภายหลังอยู่บ้าง ตอนแรกข้าน่าจะฆ่าสวะอย่างพวกเจ้าทั้งแปดคนให้หมดแล้วค่อยมาว่ากันอีกที”