ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 116 ดาบเหล็กสะท้านมรสุม (ตอนปลาย)
การฟันดาบของหวังผ้อที่ฟันไปยังจูลั่วในตอนแรกสุดนั้น เป็นดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิตของเขา ซูหลีมิได้มีการตอบสนองใดๆ ในตอนนี้หวังผ้อได้เก็บดาบกลับมาแล้ว เสียงตะโกนชมด้วยความยินดีของเขากลับแทรกผ่านสายฝน เข้าสู่หูของทุกคน เพราะว่าในที่นี้นอกจากจูลั่ว ก็มีเพียงแค่เขาแล้วที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่เดินอยู่ในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงเขาที่สามารถเข้าใจว่าการที่หวังผ้อสามารถเก็บดาบกลับมาได้เป็นเรื่องที่ยากลำบากขนาดไหน
และดาบนี้ก็ยังทำลายใบไม้ที่เปียกชื้นนั่น นี่หมายความว่าอย่างไร นี่ก็หมายความว่าหวังผ้อมองมรสุมทั่วฟ้าของจูลั่วออกแล้ว!
ผู้บำเพ็ญเพียรผู้หนึ่งที่อยู่ในระดับรวบรวมดวงดาวขั้นสูง สามารถก้าวข้ามก้าวประตูและมองเห็นกฎการโคจรของโลกใบนั้นได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงอย่างมากแล้ว การมองให้ออกก็เป็นเรื่องที่สุดแสนจะยากลำบาก ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถฟันโดนได้ ความเข้าใจในวิถีแห่งดาบของหวังผ้อช่างลึกล้ำจนไม่เหมือนกับผู้ที่บำเพ็ญเพียรมาแค่ไม่กี่สิบปีเลยจริงๆ ราวกับว่าเขาได้ก้าวผ่านเวลาอันยาวนานมานับร้อยปี!
ในชีวิตนี้ซูหลีเคยเห็นอัจฉริยะการในบำเพ็ญเพียรมานับไม่ถ้วน เคยสั่งสอนชิวซานจวิน ชีเจียนและเฉินฉางเซิงด้วยตัวเอง แต่ยังคงถูกความสามารถอันยอดเยี่ยมที่ซ่อนอยู่ในดาบนี้ทำให้หวั่นไหว
การปะทะกันระหว่างคมดาบที่ถูกสายฝนอาบไล้จนเย็นยะเยือกกับใบไม้ร่วงที่เปียกปอน ทุกสิ่งที่เปียกแฉะล้วนหนักขึ้น ใบไม้ใบนี้ในยามนี้หนักราวขุนเขา แต่ยังคงไม่อาจต้านการฟาดฟันของดาบเหล็กเอาไว้ได้ จึงได้ยินเพียงแค่เสียงดังสนั่น ใบไม้ใบนั้นก็กลายเป็นเศษซากมากมาย และกระจายออกไปรอบทิศ สายฝนที่มืดมิดบนถนนราวกับว่ามีลูกหนังขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา
ปราณแท้ที่ระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่งเคียงคู่มากับใบไม้ร่วงจำนวนนับไม่ถ้วน พื้นหินที่แข็งแกร่งถูกเจาะจนเป็นรูนับไม่ถ้วน ถนนและกำแพงที่มีรอยดาบทิ้งเอาไว้นับไม่ถ้วนตั้งแต่แรกได้ถูกตัดจนกลายเป็นกองทราย
หวังผ้อยกดาบขึ้นที่ด้านหน้า เขตแดนแห่งดาบได้ถูกกางขึ้นมาอีกครั้ง
ร่างกายของเขา ไปจนถึงเฉินฉางเซิงที่ถือเชือกอยู่ที่ด้านหลัง ซูหลีที่อยู่บนหลังม้า ล้วนถูกปกป้องอยู่ที่ด้านหลังดาบเหล็ก บนถนนมีเสียงการปะทะดังขึ้นอย่างชัดเจน ก็เหมือนกับเข็มนับหมื่นเล่มร่วงลงบนโลหะที่มีผิวมันวาวพร้อมๆ กันอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
สายลมที่อยู่ท่ามกลางห่าฝนก็พัดเร็วยิ่งขึ้น พาดพัดใส่ทุกสิ่งทุกอย่าง ซากโรงเตี้ยมที่อยู่ไกลออกไปหลายลี้ที่ด้านหลัง ลูกคิดแผงหนึ่งที่สร้างขึ้นอย่างประณีตนอนแช่อยู่บนน้ำสกปรกถูกสายลมพันจนเม็ดลูกคิดขยับ ส่งเสียงกระทบกันดังออกมา ช่างเหมือนกับบทเพลงบทหนึ่งเสียจริง
ลมฝนจากมรสุมค่อยๆ หยุดลง ถนนสายยาวค่อยๆ สงบ เม็ดลูกคิดบนแผงลูกคิดก็ค่อยๆ หยุดลง
หวังผ้อยังคงยืนอยู่ที่เดิม โดยไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว ดาบเหล็กยังคงอยู่ในมือไม่ได้มีเจตนาที่จะวางลง แต่ใบหน้าของเขากลับซีดขาวอย่างมากแล้ว บนชุดที่เรียบง่ายล้วนเต็มไปด้วยรอยขาดและรอยเลือด
บนถนนเงียบสงัดลง น้ำหยดลงมาจากซากชายคาที่เหลืออยู่ ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง แต่กลับไม่มีคนรู้สึกรำคาญใจ เพราะว่าไม่มีใครสนใจเรื่องพวกนี้
ในมือของเฉินฉางเซิงไม่มีเชือกอยู่แล้ว มือทั้งสองข้างของเขาจับอยู่ที่กระบี่ เขามองไปที่ตรงหน้าอย่างจริงจังและมีสมาธิ ข้ามไหล่ของหวังผ้อ มองไปยังผู้แข็งแกร่งที่ไม่อาจเอาชนะได้ราวกับเป็นทวยเทพก็ไม่ปานผู้นั้น หวังผ้อได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างมากแล้ว และจูลั่วจนถึงตอนนี้ กลับยังไม่ได้ลงมือจริงๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไร หวังผ้อก็พ่ายแพ้ไปแล้ว แต่อย่างไรเสียเขาก็สกัดจูลั่วไปครู่หนึ่งแล้ว นี่ก็ยอดเยี่ยมอย่างมากแล้ว
ต่อจากนี้ แน่นอนว่าก็ถึงคราวที่เขาจะต้องออกไปขวางเอาไว้แล้ว
จูลั่วไม่ได้สนใจการเคลื่อนไหวของเฉินฉางเซิง และมองไปที่หวังผ้อด้วยสีหน้าประหลาดใจพลางพูดขึ้น “คิดไม่ถึงเลย…เจ้ายังไม่ได้บำเพ็ญเพียรจนถึงขั้นสูงสุดของระดับรวบรวมดวงดาว ยังอยู่ห่างไกลกับการจะก้าวเข้าสู่ขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ก็ยังสามารถสังเกตเห็นขอบเขตกฎเกณฑ์ของเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่บ้าง”
หวังผ้อพูดขึ้น “สรรพสิ่งล้วนมีหลักการเหมือนกัน ชาวโลกกับทวยเทพก็มีส่วนที่เชื่อมโยงถึงกัน”
จูลั่วพูดขึ้น “พรสวรรค์เช่นนี้ ความเข้าใจเช่นนี้ มิน่าถึงได้กล้าชักดาบใส่ข้า…เพียงแต่จะไปมีความหมายอะไรอีก”
ใช่ สำหรับเรื่องราวทั้งหมดนี้ ความสามารถกับความแน่วแน่ของหวังผ้อ ก็มิได้มีความหมายใด
เพราะว่าเขาไม่อาจเอาชนะจูลั่วได้
กระบี่ของจูลั่วยังคงอยู่ในฝัก ก็สามารถทำให้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในประกาศเซียวเหยาถึงกับอาบย้อมไปด้วยเลือดทั่วทั้งตัว ร่างกายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ชื่อเสียงสะเทือนแปดทิศ พายุฝนดั่งคืนแรม ช่างมีความแข็งแกร่งที่ยากจะจินตนาการได้จริงๆ
ความแตกต่างของทั้งสองคนอยู่ที่เวลา อยู่ที่ระดับพลัง อยู่ที่เหวลึกที่แบ่งแยกทวยเทพกับคนธรรมดานั่น ไม่ใช่สิ่งที่พรสวรรค์กับเจตจำนงจะสามารถชดเชยได้ ไหนเลยหวังผ้อถึงมีเหตุผลที่จะไม่แพ้
แต่มีผู้คนบางส่วนที่ไม่ได้มองเช่นนี้
“เจ้าแพ้แล้ว” ซูหลีเอ่ยกับจูลั่ว
ฝูงชนซึ่งอยู่ไกลออกไปกำลังชมการต่อสู้ทางนี้อยู่ เมื่อได้ยินประโยคนี้ ก็เกิดความไม่เข้าใจขึ้นมามากมาย ในใจคิดว่าจะเป็นไปได้อย่างไร หวังผ้อในยามนี้มีเลือดอาบไปทั่วร่าง เห็นชัดๆ ว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส ไหนเลยจะมีโอกาสชนะแม้เพียงน้อยนิด
ซูหลีนั่งบนหลังม้า มองจูลั่วแล้วพูดขึ้น “แพ้ให้กับชนรุ่นหลังเช่นนี้ หรือว่าเจ้าไม่รู้สึกขายหน้า”
จูลั่วปล่อยให้ผมที่ปรกบ่าถูกลมพัดสยายไป คิ้วทั้งสองก็เป็นเช่นนั้น แต่ตอนที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างกลับนิ่งเงียบไป ก้มหน้ามองตัวเอง ที่นั่นไม่ได้มีบาดแผล และก็ไม่ได้มีรอยเลือด มีเพียงชายเสื้อชิ้นหนึ่งค่อยๆ ร่วงลงมา
แขนเสื้อข้างซ้ายของเขาถูกฟันขาดออกมาเป็นเศษชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นจูลั่ว หรือผู้บำเพ็ญเพียรในระดับใดก็ตามแล้ว นี่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขา แต่เมื่อได้เห็นเศษผ้าผืนนั้นร่วงลงไปที่แอ่งน้ำฝนหน้าฝ่าเท้าของเขา เป็นเวลานานมากที่จูลั่วไม่ได้พูดขึ้นมา เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว ฝูงคนต่างนิ่งเงียบไร้เสียง ในใจคิดหรือว่าจะพ่ายแพ้แล้วจริงๆ แล้วแพ้ที่ตรงไหนกัน
ไม่มีใครเข้าใจคำพูดของซูหลีไปจนถึงการที่จูลั่วนิ่งเงียบ เฉินฉางเซิงเองก็ไม่เข้าใจ ดูเหมือนเหลียงหวังซุนจะเข้าใจอยู่บ้าง หวังผ้อเข้าใจ แต่เขามิได้ยอมรับ
พ่ายแพ้มีชัยกับแพ้ชนะไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มีความหมายที่เหมือนกัน เพียงแค่ในบางเวลา ในบางสถานการณ์ที่ค่อนข้างพิเศษ เจ้าพ่ายแพ้แล้วไม่ได้แปลว่าเจ้าแพ้ ยกตัวอย่างเช่นนักเลงสวมชุดสีขาวดำผู้หนึ่งถูกฟาดจนศีรษะจมลงไปในโคลนแล้ว แต่กลับยังหาไม้กลับมาฟาดใส่ศีรษะที่ล้านเลี่ยนของคนพรรคอธรรมที่ยิ่งใหญ่ได้ สิ่งนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรแต่เขาก็ชนะแล้ว แน่นอนว่าซูหลีไม่มีทางใช้การตัดสินนี้มาตัดสินการประมือครั้งแรกของหวังผ้อกับจูลั่ว แน่นอนว่าหวังผ้อพ่ายแพ้แล้ว ไม่อาจที่จะโต้เถียงได้ เป็นการพ่ายแพ้ที่สมเหตุสมผล เป็นไปตามทำนองคลองธรรม แต่เขาก็ยังคิดว่าคนที่พ่ายแพ้คือจูลั่ว
การตอบสนองของจูลั่วในตอนนี้ แสดงว่าเขายอมรับกับบางอย่างในความคิดของซูหลี
ตอนที่โจวตู๋ฟูอายุสามขวบ ก็สามารถเอาชนะทั่วหล้าไร้คู่ต่อกรได้แล้วหรือ ตอนที่เทียนไห่เหนียงเหนียงเพิ่งเข้าวังนั้น นางสามารถเอาชนะผู้ใดได้กัน ตอนที่เจ้าอายุเท่ากับหวังผ้อในตอนนี้ สามารถเอาชนะเขาได้ไหม นี่ก็คือสิ่งที่ซูหลีต้องการจะพูดกับจูลั่ว ฟังดูแล้วค่อนข้างจะไม่มีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ที่จริงแล้วมีเหตุผลอย่างมาก เพียงแต่เหตุผลนี้ต้องใช้ในขอบเขตความคิดของพวกคนที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนต้าลู่เหล่านี้
เฉินฉางเซิงเข้าใจแล้ว และครุ่นคิดด้วยความมึนงงอยู่บ้าง ถ้าหากเทียบกันจากอายุที่เท่ากัน เช่นนั้นตน…โอ้ ยังมีสวีโหย่วหรง ยังมีแม่นางเฉินชูเจี้ยน ไม่ใช่ว่าแข็งแกร่งที่สุดหรือ ซูหลีไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงในตอนนี้จิตใจกำลังสั่นคลอน ไม่เช่นนั้นจะต้องหัวเราะเยาะเขายกใหญ่เป็นแน่ เขาพูดกับจูลั่วต่อ “ยังมีปัญหาอีกข้อหนึ่ง ก็คือถดถอยไปอย่างแรงเลย”
จูลั่วไม่พูด ไม่พอใจ สายฝนที่ตกลงมาไม่กล้าตกกระทบลงบนเสื้อคลุมของเขาพลันหักเหออกไป
“ในยามนั้นเจ้าสามารถใช้กระบี่เดียวสังหารแม่ทัพมารอันดับสองใต้แสงจันทร์ ยามนี้เจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของไห่ตี๋ได้อย่างไรอีก ชายหนุ่มผู้สง่างามที่เคยเขียนกลอนสังหารคน ในเวลานี้ได้แก่ตัวลงไปแล้ว ไร้ซึ่งความเฉียบคมอย่างสิ้นเชิง เท่านี้ก็ว่าไปอย่าง ตัวเจ้ายังกระทำการโดยไม่หอบหายใจเลยแม้แต่น้อย แม้แต่สตรีแซ่เทียนไห่ผู้นั้นก็ยังเทียบไม่ได้ หลายร้อยปีมานี้ไม่กล้าย่างก้าวเข้าจิงตูแม้แต่ก้าวเดียว ในยามนี้คิดจะใช้อำนาจฆ่าคนรุ่นหลังที่อาจจะคุกคามตำแหน่งของตัวเอง จุ๊ๆ เจ้านี่ช่างได้เรื่องได้ราวเสียจริง”
ซูหลีพูดต่อ “ทำไม เจ้าแก่แล้ว อายุใกล้จะพันปีแล้ว ควรที่จะตายตั้งนานแล้ว แก่แล้วไม่ตายคืออะไร นั่นคือสับปลับ เป็นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ มนุษย์นั้นก็เหมือนกับต้นไม้ ตอนที่งอกงามที่สุดก็ควรจะโอ้อวดท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ผลิอย่างสุดชีวิต อยู่มานานเกินไปแล้วยังพยายามมีชีวิตอย่างสุดชีวิต ร่างกายที่แก่เฒ่าจะกลายเป็นไม้เน่า จนกระทั่งสุดท้ายก็ถูกฟ้าผ่าจนกลายเป็นเถ้าถ่าน นี่ยังมีความหมายอะไร”
ในที่สุดจูลั่วก็เอ่ยปากขึ้นมา มองไปที่เขาแล้วพูดขึ้น “เจ้าพูดจบหรือยัง”
ซูหลีพูดขึ้น “ด่าจบแล้ว”
จูลั่วพูดขึ้น “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล”
คิ้วกระบี่ของซูหลีเลิกขึ้น มีความคึกคักขึ้นมาบ้าง จึงถามขึ้น “เป็นอย่างไร”
จูลั่วพูดขึ้น “นี่เป็นกระบี่ที่สองของเจ้า”
แต่ละตัวอักษรแทงใจดำ แต่ละถ้อยคำราวกระบี่ ซูหลีบาดเจ็บสาหัสยากจะต่อสู้ แต่ว่าจิตใจกระบี่ยังอยู่ วาจาที่เปล่งออกมายังสามารถทำร้ายคนได้
ซูหลีมองเขาเงียบๆ ยืนยันได้ว่าเจ้าหมอนี้มีคุณสมบัติที่จะหยิ่งทระนง คาดไม่ถึงจะไม่ได้รับผลกระทบใด
“ข้ารับกระบี่ทั้งสองของเจ้าแล้ว เช่นนั้น ตอนนี้ก็ควรเป็นข้าที่ชักกระบี่แล้ว”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ มือขวาของจูลั่วก็เป็นดั่งมังกรแหวกชั้นฟ้า ย้ายมือมาช่วงเอว และจับไปที่ด้ามกระบี่
เมฆดำคล้อยต่ำ ห่าฝนกระหน่ำลงมา แสงสว่างบนฟ้าสลัวลงอีกครั้ง ใบไม้ร่วงหล่นลงมา ร่ายรำอยู่เต็มท้องฟ้าท่ามกลางหยาดน้ำฝน
จูลั่วชักกระบี่ออกจากฝัก กระบี่เล่มนั้นไม่ได้ส่องประกาย มองดูแล้วก็ไม่ได้มีจุดไหนพิเศษ แต่ว่า เมฆดำที่ปกคลุมอยู่บนขอบฟ้าของเมืองสวินหยาง พริบตากลับสว่างขึ้นมาแล้ว ราวกับว่าถูกเคลือบด้วยสีเงิน นั่นคือรัศมีแสงหรือ? เป็นดวงอาทิตย์หรือ? ไม่ นั่นคือสิ่งที่ไม่ควรมาปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์ ดวงจันทร์ของเผ่ามาร
นั่นคืออดีตของจูลั่ว ความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
หลายปีก่อน เขามองเห็นพระจันทร์ดวงนั้นที่พื้นที่ราบหิมะ ขับขานบทกลอนที่ไพเราะอย่างมากบทหนึ่ง สังหารคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างมาก เพราะเหตุนี้จึงได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งยุคของต้าลู่ และมีฉายาเป็นผู้ร่ำสุราโดดเดี่ยวใต้แสงจันทร์
ในที่สุด ผู้แข็งแกร่งผู้นี้ก็จะแสดงพลังที่แท้จริงของระดับขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์ต่อเมืองสวินหยางแล้ว
ระหว่างห่าฝนกับใบไม้ที่เปียกชื้นนับหมื่นพัน เฉินฉางเซิงรับรู้ได้ถึงพลังแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่มหาศาลนั่น รู้สึกว่าร่างกายยิ่งแข็งค้างขึ้นเรื่อยๆ ขนาดจิตใต้สำนึกยังคิดจะหลบออกไป นี่ก็คือขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์หรือ ที่แท้เขตแดนที่ตรงนี้ไม่ใช่ความหมายเดียวกับอาณาเขตดวงดาวของขั้นรวบรวมดวงดาว ประกายแสงที่ปกคลุมทุกสิ่ง ไม่อาจที่จะแบ่งเขตความแตกต่างได้เลย เช่นนั้นควรจะจู่โจมอย่างไร เขาอ่านหนังสือตำราตั้งแต่เด็ก หากพูดถึงเรื่องความรู้แล้ว ไม่มีทางเป็นรองผู้อื่น แต่กลับไม่เข้าใจแสงที่ขอบฟ้าของเมฆดำกับกระบี่ที่นำพามาซึ่งประกายแสงเล่มนั้นเลย เพราะว่ากฎเกณฑ์ของเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่เหนือความสามารถในการทำความเข้าใจของเขาไปแล้ว
ห่าฝนมรสุมสีดำมืด กระบี่ที่ส่องประกาย ราวกับจะแผดเผาหมู่เมฆ
ต่อหน้าภาพฉากอันยิ่งใหญ่ตระการตาเช่นนี้ เงาร่างของหวังผ้อก็ยิ่งดูเล็กกระจ้อยร่อย คล้ายจะถูกกลืนกินได้ตลอดเวลา
“ช่างมันเถิด!” เฉินฉางเซิงตะโกนใส่เขา
หวังผ้อไม่ได้หันกลับมา แล้วพูดขึ้น “ข้ายังอยากจะลองดูอีกครั้ง สามารถมีประสบการณ์เช่นนี้ได้ ไม่ง่ายเลย”
สายฝนที่เทกระหน่ำพลันอาบไล้ใบหน้าที่ไร้ทั้งอารมณ์หวาดกลัวและยินดีของเขา คล้ายกับน้ำเสียงอันเรียบสงบที่ทำให้ใจคนเกิดความหวาดผวาและความเคารพขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
นั่นคือความเงียบสงบที่แท้จริง เป็นความเงียบสงบที่หากยามเช้าเข้าใจในสัจธรรมยามค่ำก็สามารถตายตาหลับ
เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไรมากอีก เขารู้ว่าตนได้เรียนรู้อะไรบางอย่างอีกแล้ว
กระบี่ของจูลั่วมาถึงแล้ว
โลกมนุษย์ บางทีอาจเป็นแสงสว่าง บางทีอาจเป็นความมืด เมื่อกระบี่มา สายฝนที่ดำมืดก็นำพาแสงสว่างมาด้วย แม้โลกจะใหญ่แค่ไหน ก็ไม่มีสถานที่ใดสามารถหลบพ้น หวังผ้อเองก็ไม่อาจที่จะหลบได้
เขาใช้ดาบอีกครั้ง เป็นการฟันดาบตรงออกไปโดยไม่มีอะไรใหม่ แต่ตำแหน่งที่ดาบมุ่งไป กลับแปลกใหม่อย่างมาก
ที่เขาฟันไม่ใช่กระบี่แสงสายนั้น ไม่ใช่ใบไม้ร่วงที่ร่ายรำเต็มฟ้า ไม่ใช่จูลั่วที่ห่างออกไปนับสิบจั้ง แต่เป็นมรสุม
มรสุมที่เคลื่อนไหวอยู่กลางอากาศ
ดาบเหล็กของหวังผ้อฟันตรงออกไป ตัดผ่านหยาดฝน กรีดผ่านสายลม พาดผ่านท้องนภา
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น บนถนนปรากฏรอยแยกช่องว่างที่มืดมิดขึ้นสายหนึ่ง
ขอเพียงแค่อยู่ในโลกใบนี้ ก็ไม่สิ่งใดสามารถหลบกระบี่ของจูลั่วนี้ได้
เช่นนั้นก็เปิดเส้นทางใหม่ขึ้นมา และไปสู่โลกใบใหม่ด้วยกันเถิด!