ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 117 ชักกระบี่ (ตอนต้น)
ดาบนี้ของหวังผ้อแข็งแกร่งอย่างมาก แข็งแกร่งตรงที่เฉียบคม เขาใช้ปราณแท้ระดับรวบรวมดวงดาวขั้นสูงประสานกันจนสามารถทำลายปราการอากาศที่ดูเหมือนอ่อนแอแต่ที่จริงแล้วแข็งแกร่งอย่างมาก ในเวลาเดียวกันก็แข็งแกร่งตรงที่สามารถรับมือได้อย่างยอดเยี่ยม มีเพียงการตัดผ่าพื้นที่ว่างเท่านั้นถึงจะสามารถช่วยให้เขาข้ามผ่านบึงลึกที่ขวางกั้นระหว่างคนธรรมดากับทวยเทพ เพื่อสกัดกระบี่ที่นำมาซึ่งแสงสว่างของจูลั่วได้
เมฆบนท้องฟ้าเหนือเมืองสวินหยางยังคงมืดคล้ำลอยต่ำ ขอบฟ้ากลับเรืองรองดั่งเงินยวง ราวกับว่ามาถึงยามค่ำคืน มรสุมทั่วฟ้าที่อยู่บนถนนได้หายไปอย่างกะทันหัน และกลายเป็นเงียบสงบจนน่าประหลาด ได้ยินเพียงเสียงของลมหายใจ ฝูงชนที่มุงดูอยู่ไกลออกไปนั้นหายใจแรงด้วยความตกตะลึง การต่อสู้นี้อยู่เหนือขอบเขตความเข้าใจของผู้คนมากมายไปแล้ว แต่ว่าพวกเขายังพอจะสามารถรับรู้ถึงได้ กระบี่ของจูลั่วดูเหมือนว่าจะถูกหวังผ้อสกัดเอาไว้ได้แล้ว เขาทำได้อย่างไรกัน
ในครั้งนี้ซูหลีไม่ได้ร้องขึ้นอย่างยินดี แต่สีหน้ากลับเคร่งขรึมขึ้นมา ไม่ใช่เป็นเพราะดาบของหวังผ้อดาบนี้ไม่มีสีสันพอ กลับกันเพราะเขารู้สึกว่าดาบนี้ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว ดูเหมือนว่าในชั่วพริบตาก็ตวัดฟันดาบออกไปถึงสองครั้ง หวังผ้อได้เข้าใจบางอย่างจากการต่อสู้กับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนต้าลู่ ถึงกับทำให้วิถีดาบของเขาก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น!
หากเป็นเช่นนี้จริง พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของหวังผ้อก็สามารถพูดได้ว่าสะเทือนไปทั้งโลกหล้าแล้ว และโอกาสเช่นนี้ก็สามารถพูดได้ว่าหาได้ยากในรอบพันปี ถ้าหากหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้เขายังสามารถมีชีวิตรอดไปได้ ก็จะสามารถซึมซับประสบการณ์จากการต่อสู้อันล้ำค่านี้ไปได้ทั้งหมด ไม่แน่ว่าจะสามารถบรรลุไปถึงขั้นสูงสุดของระดับรวบรวมดวงดาวได้ภายในเวลาอันสั้น กระทั่งเป็นไปได้อย่างมากว่าจะได้มองเห็นประตูของระดับบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์
เพียงแต่หวังผ้อยังจะสามารถมีชีวิตรอดมาได้หรือ โดยเฉพาะหลังจากที่ทั้งสองดาบนี้ของเขาได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าในอีกหลายสิบปีให้หลังจะสามารถคุกคามตำแหน่งแปดมรสุมของจูลั่วได้ ซูหลีไม่ได้คาดหวังไว้กับเรื่องนี้ ดังนั้นสีหน้าจึงเคร่งเครียดขึ้นมา เขารู้สึกว่าช่างน่าเสียดายเกินไปแล้ว
ลมฝนได้พัดพาขึ้นอีกครั้ง หยาดฝนดังราวลั่นกลอง
……
……
กระบี่ของจูลั่วนำพามรสุมมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด หลังจากมรสุมผ่านไปจะมีสายรุ้งอยู่ด้านหลัง ที่ท้องฟ้าไกลออกไปทางด้านทิศเหนือมีดวงจันทร์อยู่ดวงหนึ่ง มีแสงสว่างและก็มีความมืดมิด แสงสว่างและความมืดเหล่านั้นส่วนมากล้วนถูกรอยแยกกลางอากาศบนถนนเหล่านั้นกลืนกิน อานุภาพจึงถูกลดทอนลงไปมากมาย นี่ก็เป็นสาเหตุที่จนถึงตอนนี้ดาบเหล็กของหวังผ้อยังสามารถยกขึ้นมาท่ามกลางห่าฝนได้
แต่อย่างไรเสียแปดมรสุมก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งธรรมดา พวกเขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนต้าลู่ มีปราณแท้จำนวนมากขนาดที่คิดไม่ถึง มีสติปัญญาและประสบการณ์ต่อสู้ที่ยากจะไล่ทัน มีความโดดเด่นที่สะดุดตาที่สุด สุดท้ายดาบเหล็กของหวังผ้อก็ไม่อาจยับยั้งประกายแสงเหล่านั้นได้ ก็เหมือนกับเมฆดำที่อยู่เหนือเมืองสวินหยางที่ไม่อาจปกปิดพระจันทร์ดวงนั้นไปได้ สุดท้ายหมู่เมฆจะถูกย้อมด้วยแสงสีเงิน บนถนนที่มืดมิดราวรัตติกาล รอยแยกตรงช่องว่างที่ดาบเหล็กฟันเปิดขึ้นมาก็มืดมิดยิ่งกว่า มืดเสียจนทำให้ผู้คนต้องหวาดผวา ทว่าที่ขอบของรอยแยกในช่องว่างสีดำเหล่านั้นพลันเรืองแสงขึ้นมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่
แสงสว่างเหล่านั้นมาจากกระบี่ของจูลั่ว
แสงกระบี่มาพร้อมกับลมฝนที่บ้าคลั่ง มาจนถึงด้านหน้าของหวังผ้อ ในตอนนี้ดาบของเขายังฟันสายฝนบนถนนต่อ และรักษาจำนวนรอยแยกช่องว่างเอาไว้ให้มากพอ ถึงจะสามารถทำให้กระบี่สะท้อนแสงจันทร์ของจูลั่วนั่นไม่สามารถเข้ามาถึงตัวเขา ตลอดจนเฉินฉางเซิงกับซูหลีที่อยู่หลังเขา เขาไม่สามารถไปสนใจประกายแสงเหล่านั้นได้แล้ว
แสงกระบี่เหล่านั้นไม่ได้ส่องสว่างเท่าใดนัก จนถึงขนาดที่มีความมืดคล้ำอยู่บ้าง เขตแดนแห่งดาบของหวังผ้อที่สามารถพูดได้ว่าสมบูรณ์แบบกลับไม่สามารถสกัดกั้นไว้ได้เลย เมื่อแสงกระบี่มาถึง ก็ได้ยินเพียงเสียงขวับๆ ดังขึ้นมา ชุดของหวังผ้อก็ขาดเป็นชิ้นๆ แล้ว ร่างกายที่ผ่านการชำระกระดูกมาอย่างสมบูรณ์แบบได้เผยให้เห็นรอยแผลจากกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนอย่างชัดเจน เลือดสดๆ ค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากรอยแผลเหล่านั้นช้าๆ
แสงกระบี่ยังข้ามผ่านดาบเหล็กของเขาไปมาหยุด ปะทะเข้าที่ร่างของเขา มองดูแล้วไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร แต่ที่จริงแล้วสลักลงไปในจิตใจและกระดูก
แสงกระบี่ทุกๆ สายกรีดผ่านร่างของเขาเป็นบาดแผลทีละแผล นำมาซึ่งเลือดสดๆ ที่ไหลเป็นทาง
ใบหน้าของหวังผ้อก็ยิ่งซีดขาว ไม่มีสีเลือดฝาดเลยแม้แต่น้อย เมื่ออยู่บนถนนที่มืดลงด้วยสายฝนก็ยิ่งสะท้านไปถึงจิตวิญญาณ สีหน้าของเขายังคงเรียบสงบแน่วแน่ เพียงแต่คิ้วที่มีความพิเศษคู่นั้นได้ตกลงมามากขึ้นไปอีก แสดงให้เห็นความอมทุกข์อยู่บ้าง เทียบกับในยามปกติแล้วก็ยิ่งดูลำบากยากแค้นอย่างบอกไม่ถูก ใช่ ที่เขาเจอในตอนนี้ช่างยากลำบากเสียจริง
แสงกระบี่ของจูลั่วได้บาดร่างของเขา จนเกือบจะเป็นการประหารชีวิตเขา จะไม่เจ็บปวดได้อย่างไร ความเจ็บปวดส่วนนี้ยังอยู่ในโลกแห่งจิตใจ ภายในใจในฐานะอัจฉริยะในวิถีดาบที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ตัวเขาในตอนนี้มีสถานะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของเทียนหนานแล้ว แต่การพบจูลั่วที่บ้านเกิดอย่างเมืองเทียนเหลียง ยังคงทำได้เพียงแค่ฝืนยื้อเอาไว้อย่างยากลำบาก พรสวรรค์เจตจำนงจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็เท่านั้น อย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องความแตกต่างของความแข็งแกร่งกับระดับพลังไปได้ ก็เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนที่ตระกูลหวังประสบเรื่องร้ายที่เมืองเทียนเหลียง ก็ทำให้คนต้องสิ้นหวังขนาดนั้น จะไม่เจ็บปวดได้อย่างไร
นอกจากว่าในตอนนี้เขาจะเก็บดาบเหล็กกลับมา ออกจากถนนสายนี้ เลือกที่จะหลีกทาง ถึงจะสามารถหนีไปจากความลำบากเหล่านี้ได้
แต่ในชีวิตมีความลำบากอยู่มากมาย ไม่อาจที่จะหลีกหนีไปได้
ตั้งแต่เด็กหวังผ้อก็คุ้นชินกับชีวิตที่ยากลำบาก จึงชัดเจนในจุดนี้อย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่มีเจตนาที่จะหลีกหนี คิ้วของเขาตกลง สีหน้าของเขาระทมทุกข์ ก้มหน้าลงต่ำ จับดาบเอาไว้แน่น และยืนอยู่ท่ามกลางห่าฝน ปล่อยให้แสงกระบี่นั่นข้ามผ่านเจตจำนงดาบของตนและทิ้งรอยเลือดเอาไว้บนร่างรอยแล้วรอยเล่า ปล่อยให้เลือดเหล่านั้นถูกสายฝนห่าใหญ่ชะล้างจนสะอาด
เจตจำนงดาบบนถนนยังคงตรงอยู่เช่นนั้น รอยตัดช่องว่างก็ยังคงตรงอยู่เช่นนั้น ดังนั้นสายฝนกระหน่ำจึงตกลงและหายเข้าไปในนั้น แม้แต่จูลั่วก็ยังไม่อาจรุดขึ้นหน้าได้ในตอนนี้ เจตจำนงกระบี่ของเขาส่วนมากก็มาไม่ถึงตรงนี้
หวังผ้อยืนตัวตรงอย่างมาก เพียงแต่เขาจะยังสามารถยืนอยู่ได้นานเท่าไหร่ ดาบเหล็กในมือของเขาจะยังสามารถจับเอาไว้ได้อีกนานแค่ไหน
ห่าฝนหนาวเหน็บ พายุคลั่งโบกพัด
เม็ดลูกคิดบนแผงลูกคิดที่อยู่ในซากโรงเตี๊ยมขยับขึ้นมาอีกครั้ง ส่งเสียงกระทบกันดังขึ้นมา ราวกับว่ากำลังบรรเลงบทเพลง
บนถนนที่ไกลออกไป นักดนตรีของจวนเหลียงอ๋องได้หนีไปตั้งนานแล้ว เครื่องดนตรีแต่ละชนิดล้วนถูกทิ้งไว้เต็มพื้น ในตอนนี้ได้ถูกพายุพัดจนกระเด็นไปทั่ว ฆ้องกระแทกไปบนกำแพง หินร่วงจากบนกำแพงลงมาบนหน้ากลอง ขลุ่ยถูกพัดลอยขึ้นไปในอากาศ อากาศพัดแทรกเข้าไปในรูของขลุ่ย ขับเสียงส่งออกมา ยังมีพิณโบราณอีกตัว สายพิณค่อยๆ ขาดออก…
แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง
กลายมาเป็นบทเพลงที่สับสนวุ่นวาย
มรสุมจะหยุดลงเมื่อไหร่ บทเพลงจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
ไม่มีใครรู้
…
…
ด้านหลังของถนน ฝูงคนยืนอยู่ที่ตรงนั้นเงียบกันเป็นเป่าสาก เหลียงเจิ้นยืนอยู่ที่ด้านหน้าสุดสีหน้าสงบจนน่าประหลาด เหลียงหงจวงยืนอยู่ที่อีกด้านของถนน ดูเหมือนว่าไม่อยากจะยืนอยู่กับลูกพี่ลูกน้องอ๋องผู้นี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด สีหน้าที่เขามองดูหวังผ้อจากที่ไกลออกไปในสายฝนถึงได้แปลกประหลาดอยู่บ้าง ดูเหมือนจะร้องไห้ แล้วก็ดูเหมือนจะหัวเราะ สรุปแล้วคือซับซ้อนอย่างมาก
ไม่มีใครรู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ขนาดที่ไม่มีใครคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง
เมฆดำบังฟ้า กลางวันเป็นดั่งราตรี ชาวบ้านธรรมดาในเมืองสวินหยางล้วนปิดประตูหน้าต่างจนสนิท บางก็ซ่อนอยู่ใต้เตียง บ้างก็ซ่อนตัวอยู่ในโอ่ง ไหนเลยจะกล้าออกมา ที่ยังอยู่บนถนนในตอนนี้ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียร อีกทั้งผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ก็ล้วนมาเพื่อฆ่าซูหลี ถ้าหากเป็นในยามปกติ ในตอนที่มีการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งอย่างจูลั่วกับหวังผ้อนี้ พวกเขาไม่มีทางกล้าที่จะเคลื่อนไหวแปลกๆ เกิดว่าไปล่วงเกินอีกฝ่ายเข้า ใครจะรู้ว่าตนรวมไปถึงพรรคของตนจะต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นอะไร แต่ว่าในวันนี้มีคนมากมายที่ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้แล้ว ในตอนที่เขาเหยียบเข้ามาในเมืองสวินหยาง ก็ได้เตรียมใจที่จะจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตแล้ว
เหลียงหวังซุนกับเหลียงหงจวง และยังมีเซวียเหอที่ล้วนไม่ได้คิดอะไร คนเหล่านั้นกลับคิดเสียมากมาย
ซูหลีในตอนนี้กำลังขี่อยู่บนหลังของมาสีเหลืองตัวนั้น ท่ามกลางลมฝนนั้นแสนจะสะดุดตา ทุกคนล้วนรู้ว่า ในตอนนี้เขาก็เหมือนคนพิการ อีกทั้งก่อนหน้านี้หลินชางไห่ยังบีบใช้เขาใช้กระบี่สุดท้ายนั่น และก่อนหน้านี้ที่เฉินฉางเซิงต้องสกัดการโจมตีของเซียวจางกับเหลียงหวังซุน ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปเท่าไหร่ ในตอนนี้น่าจะอ่อนล้าอย่างมาก ส่วนหวังผ้อในตอนนี้ถูกกระบี่ของจูลั่วกดดันจนยากจะขยับตัว เช่นนั้น ถ้าหากโจมตีซูหลีในตอนนี้ ใครจะสามารถช่วยเขาได้ ใครยังจะสามารถเข้ามาสกัดกั้นแทนซูหลี
คนมากมายกำลังคิดเช่นนี้อยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มที่จะทำเช่นนี้ พวกเขาอาศัยเสียงฝนปกปิดตัว และเดินออกมาจากซอย มุ่งหน้าไปยังชายที่นั่งอยู่บนหลังม้าที่อยู่บนถนนนั่น เหลียงเจิ้นกับเหลียงหงจวงมองดูคนเหล่านั้นเดินผ่านข้างกายของตนไป รับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่เย็นยะเยือกจากพวกเขา แต่พวกเขานิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาใด ไม่ได้ห้ามพวกเขา และก็ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ขึ้นมา
เชือกที่จูงม้าสีเหลืองได้หล่นลงมาแช่อยู่ในน้ำฝน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายพันธุ์ของม้า หรือว่าเป็นเพราะซูหลี ความผิดปกติที่มาจากกระบี่ของจูลั่ว และการสั่นไหวของไอพลังปราณนับสิบจั้งนั่น ถึงกับไม่ทำให้ม้าตัวนี้ตกใจจนวิ่งหนีไป แต่กลับก้มหน้าลงอย่างเรียบร้อยแทน
เฉินฉางเซิงเองก็กำลังก้มหน้า มองดูคลื่นน้ำจากหยาดฝน นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
ในที่สุดกระบี่สั้นมังกรครวญกับฝักกระบี่ก็ประสานกัน เป็นครั้งแรกเลยตั้งแต่ออกมาจากวัดเก่าเมืองซีหนิง ในตอนแรกเริ่มขณะอยู่ในเมืองซีหนิง มีเพียงตอนที่ศิษย์พี่อวี๋เหรินออกไปล่าพวกสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งด้านหลังเขาเหล่านั้นเท่านั้น ถึงได้เลือกใช้วิธีการผสานกระบี่เช่นนี้ ที่เขาทำเช่นนี้ในวันนี้ เป็นเพราะรู้ว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้าแข็งแกร่งมากเกินไป และก็เรียนรู้มาจากหวังผ้อ
ทันใดนั้น เขาพลันเงยหน้าขึ้นมา หลังจากนั้นก็หมุนตัว
พวกผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นคิดไม่ถึงเลย ที่แท้เขาก็จับตามองที่ด้านหลังมาโดยตลอด
เฉินฉางเซิงสบตากับผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา
ไม่ไกลออกไป เจตจำนงกระบี่ที่บ้าคลั่งแต่ศักดิ์สิทธิ์สายนั้นได้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจทางด้านนั้น ทางด้านนั้นมีหวังผ้ออยู่
ในตอนนี้เขาต้องจัดการทางด้านนี้
เขาเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ดังนั้นจึงสงบนิ่งอย่างมาก
สายตาของเขาสงบอย่างมาก สายฝนที่ปะทะลงบนใบหน้าจะรุนแรงสักเพียงใดก็ไม่อาจจะรบกวนได้
ผู้บำเพ็ญเพียรผู้หนึ่งพลันระเบิดเสียงคำรามขึ้นมา เงาร่างที่เห็นกระจายออกไปสามคนในทันที และมุ่งหน้าเข้าไปโจมตีซูหลี
เฉินฉางเซิงใช้มือทั้งสองจับกระบี่ และฟันตรงไปที่สายฝนกลางอากาศ
ตำแหน่งที่กระบี่ฟันไป ห่างออกไปหลายจั้ง เพียงแค่กระบี่เดียว ก็ฟันเงาร่างทั้งสามกลางสายฝนไปพร้อมๆ กัน โดนไปทั้งสามคน
นี่ไม่ใช่กระบี่รอบรู้และก็ไม่ใช่กระบี่สันดาป นี่เป็นกระบวนท่าหนึ่งในวิชากระบี่เขาหลีซาน เพลงกระบี่ดอกเหมยบานสามหน
เป็นสิ่งที่เมื่อสามวันก่อน ซูหลีพูดให้เขาฟังโดยไม่ได้ตั้งใจ
เสียงฟาดฟันดังขึ้นคราหนึ่ง!
ที่ตามมาติดๆ ก็มีอีกเสียงหนึ่ง
ราวกับเป็นเวลาเดียวกัน ท่ามกลางสายฝนมีเสียงกระบี่ดังขึ้นสามครั้ง เงาร่างสามสายนั้นก็หยุดลงท่ามกลางสายฝนกลางอากาศ หลังจากนั้นเงาร่างทั้งสองสายได้หายไป ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นได้ส่งเสียงร้องขึ้นมา กุมบาดแผลที่หน้าอกและล้มอยู่บนถนนกลางสายฝน
กระบี่มังกรครวญอยู่ในมือของเขา ราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมา
เพียงแค่ไม่กี่ครา ผู้บำเพ็ญเพียรที่เตรียมจะลอบโจมตีซูหลีเหล่านั้น ก็พากันล้มลง
ก็เป็นในตอนนี้เอง ภายใต้แสงสว่าง เขาได้เห็นหวังผ้อ…ดูเหมือนว่าจะล้มลงไปแล้ว
ในพริบตา เขาก็ทำการตัดสินใจอย่างหนึ่งขึ้นมา