ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 119 กระบวนท่าสุดท้าย (ตอนต้น)
มือสังหารอยู่ที่ด้านหลังของเฉินฉางเซิง เขาใช้วิธีการที่เรียบง่ายที่สุดจนถึงขั้นที่ดูโง่งมอยู่บ้าง แต่กลับทำให้ความระแวดระวังและการป้องกันของเฉินฉางเซิงตกลงไปสู่ความว่างเปล่า ในตอนนี้เขาได้พุ่งไปถึงด้านหน้าของซูหลีแล้ว โดยมีระยะห่างเพียงแค่หนึ่งจั้ง
สำหรับมือสังหารที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นสูงแล้ว ระยะห่างเพียงเท่านี้ก็เท่ากับว่าไม่ได้มีอยู่เลย นอกจากเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ของผู้แข็งแกร่ง ก็มีเพียงคนจำนวนน้อยอย่างจินอวี้ลวี่กับหนานเค่อที่สามารถอาศัยความเหนือกว่าทางความเร็วจากพรสวรรค์ที่พิเศษออกไปถึงจะรวดเร็วยิ่งกว่าเขา
สายตาของมือสังหารกับซูหลีสบกันท่ามกลางสายฝน
ในตอนนี้เป็นสถานการณ์การสังหารที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ดังนั้นสายตาของพวกเขาจึงเรียบเฉยอย่างมาก แต่ในความเรียบเฉยกลับซ่อนอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงอย่างมากอยู่ มือสังหารมองซูหลี ในส่วนที่ลึกที่สุดของดวงตาที่ไร้อารมณ์สามารถมองเห็นความเจ็บปวดที่ไม่อาจลบเลือนและความโกรธแค้นที่สะสมมาหลายปี แต่ซูหลีมองผ่านสายฝนไปจนถึงมือสังหารผู้นี้ ความรู้สึกในดวงตากลับสบายๆ อย่างมาก เห็นได้ชัดว่าใส่ใจกับชีวิตของตนและคนผู้นี้อย่างมาก แต่เพราะเหตุใดกลับแสดงถึงความเคร่งขรึมเช่นนั้น
ร่มกระดาษทองอยู่ในมือซ้ายของซูหลีได้ถูกฝนสาดใส่จนเปียก มือขวาของเขายังมีระยะห่างกับด้ามร่มอยู่ช่วงหนึ่ง เขาจะยังมีแรงสู้อยู่หรือ นาทีถัดไปเขาจะทำเหมือนกับที่พื้นที่ราบหิมะ หรือยื่นมือไปจับด้ามร่มเหมือนก่อนหน้านี้ที่อยู่ในโรงเตี๊ยมหรือ
นับสิบวันที่ไล่ตามมาอย่างเงียบๆ ไม่ว่าตอนที่เฉินฉางเซิงกับซูหลีจะเผชิญหน้ากับเซวียเหอและเหลียงหงจวงอย่างรุนแรงเพียงใด ตั้งแต่เริ่มจนจบมือสังหารผู้นั้นก็ไม่ได้ลงมือ แม้แต่ในโรงเตี๊ยมก่อนหน้า ในตอนที่เหลียงหวังซุนกับเซียวจางมาถึง เขาก็ยังไม่ถือโอกาสลงมือ ต้องพูดเลยว่ามือสังหารผู้นี้สมแล้วที่อยู่ในอันดับสามของแผ่นดิน ถึงได้มีความระวังและความเฉียบคมในระดับที่ยากจะจินตนาการได้ ในตอนนั้นเขาคิดว่าสถานการณ์ยังมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นตั้งแต่เริ่มจนจบเขาถึงไม่ได้เคลื่อนไหว จนกระทั่งถึงตอนนี้ หวังผ้อขึ้นสนาม จูลั่วชักกระบี่ เฉินฉางเซิงเดินไปทางหัวถนนนั่นอย่างเลือดร้อน การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเดินมาถึงจุดสิ้นสุด เขาถึงได้เลือกที่จะลงมือ
ในตอนที่การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดได้สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์ การปรากฏตัวของเขาก็คือการเปลี่ยนแปลงเพียงหนึ่งเดียว
ปลายสุดของขุนเขาและแม่น้ำ น้ำลดตอผุด ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ได้เดินทางมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว แน่นอนว่าก็ไม่อาจจะหันกลับ ก็เหมือนกับเฉินฉางเซิงที่ออกห่างจากซูหลีแล้ว ต่อให้ร่างกายของเฉินฉางเซิงจะเหน็บหนาวอย่างมาก
เขาไม่ใช่จินอวี้ลวี่ และก็ไม่ใช่หนานเค่อ ถึงแม้เขาจะใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาได้ แต่ก็ไม่อาจชิงตัดหน้ากลับไปถึงข้างกายของซูหลีก่อนมือสังหารผู้นั้นได้ภายในเวลาอันสั้นขนาดนี้
สิ่งที่รวดเร็วที่สุดบนโลกไม่ใช่เหยี่ยวแดงและก็ไม่ใช่ห่านป่าแดง ไม่ใช่จินอวี้ลวี่และก็ไม่ใช่หนานเค่อ ไม่ใช่มือสังหารผู้นั้น แต่เป็นความนึกคิด
ในตอนที่เขาคิดเรื่องพวกนี้อย่างสิ้นหวัง ร่างของเขาได้เคลื่อนไหวไปแล้ว
แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตนขยับไปแล้ว
ที่เขาเคลื่อนไหวไปก็คือย่างก้าวหยั่งเทวา ไม่ได้หมุนตัว ไม่ได้คำนวณตำแหน่งดวงดาว เขาอาศัยเพียงการจดจำตำแหน่งนับพันของย่างก้าวหยั่งเทวาได้อย่างแม่นยำ นึกย้อนถึงตำแหน่งของซูหลี หลังจากนั้นก็หายไปท่ามกลางสายฝน
เขารู้ว่ายากที่ตนจะสามารถกลับไปก่อนมือสังหารผู้นั้น แต่ว่าเขาอยากจะลองดู
บางทีเป็นเพราะแม้แต่โลกก็ยังรู้สึกว่าซูหลียังไม่ควรจะตายไปในตอนนี้ บางทีโลกได้ถูกความเสียใจอันรุนแรงและความต้องการจะชดเชยของเขาทำให้หวั่นไหว
บางทีเป็นเพราะพลังของเขาได้ยกระดับให้ย่างก้าวหยั่งเทวามีความรวดเร็วยิ่งขึ้น และบางทีก็อาจจะเป็นเพราะการเคลื่อนไหวและกระบี่ของมือสังหารผู้นั้นไม่ได้รวดเร็วอย่างที่ทุกคนคิดถึงขนาดนั้น หรือบางทีเป็นเพราะย่างก้าวหยั่งเทวาของเขามีเจตจำนงของกระบี่สายนั้น…
บนถนนกลางสายฝนได้มีเสียงดังขึ้นเบาๆ เสียงหนึ่ง ฉึก
นั่นเป็นเสียงของการสัมผัสกันระหว่างกระบี่กับเลือด นั่นเป็นเสียงของถุงห่อน้ำที่แตกออก
เฉินฉางเซิงมาปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าของซูหลีท่ามกลางสายฝน
เขาใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาชิงตัดหน้ามาก่อนมือสังหารผู้นั้นจริงๆ!
เขาก้มหน้ามองหน้าอกของตน
กระบี่ของมือสังหารได้แทงเข้าไปในหน้าอกของเขาแล้ว เลือดสดๆ กำลังค่อยๆ ไหลออกมา
มือสังหารผู้นั้นมองไปที่เฉินฉางเซิง ดวงตาที่แต่เดิมเรียบเฉยได้ปรากฏความผิดหวังออกมา
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมกระบี่ของเขาถึงได้แทงเข้าไปในร่างของเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงเองก็มีอยู่หลายเรื่องที่คิดแล้วไม่เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่นที่แท้มือสังหารในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นสูงก็ร้ายกาจถึงขนาดนี้จริงๆ ถึงกับสามารถแทงทะลุร่างของตนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ถึงแม้ที่แทงเข้ามาจะไม่ถือว่าลึกมาก แต่ก็ยังเจ็บอยู่จริงๆ เขามองบริเวณหน้าอกที่มีเลือดไหลออกมาช้าๆ ค่อนข้างจะผิดหวังอยู่บ้าง และก็คิดอย่างปลื้มใจอยู่บ้าง ทำไมเลือดที่ไหลออกมาตอนนี้ถึงไม่มีกลิ่นอะไรเลยนะ
มือสังหารไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินฉางเซิงถึงสามารถกลับมาได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้
มีเศษเสี้ยวของเจตจำนงกระบี่ลอยวนอยู่กลางสายฝนไม่ยอมไปไหน
มือสังหารรับรู้ได้ หลังจากนั้นจึงเข้าใจขึ้นมา นั่นเป็นกระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่เขาหลีซาน
กระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่เขาหลีซาน แผดเผาหยกและศิลา สละชีวิตลืมเลือนความตาย เป็นเพลงกระบี่ที่พร้อมสละชีวิต
แม้แต่ชีวิตยังไม่ต้องการ แน่นอนว่าจะเด็ดขาดอย่างมาก เพราะว่าเด็ดขาดอย่างมาก ดังนั้นจึงแสนจะรวดเร็ว
ตั้งแต่การต่อสู้ที่การสอบใหญ่ไปจนถึงพื้นที่ราบหิมะ จนมาถึงการฝึกฝนเพลงกระบี่สันดาป เฉินฉางเซิงคุ้นเคยกับเพลงกระบี่นี้อย่างมาก
บนโลกใบนี้ก็ไม่อาจหาใครที่จะคุ้นเคยกับเพลงกระบี่นี้ได้มากไปกว่าเขาอีกแล้ว
ในนาทีที่สิ้นหวัง เขาใช้กระบี่ไม่ทัน และใช้ได้ทันเพียงแค่เพลงกระบี่นี้
เพลงกระบี่นี้ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่ เพียงแค่ต้องการความอาจหาญนั่นเท่านั้น
โชคดีหรืออาจพูดได้ว่าโชคร้ายที่เขาเดิมพันชนะแล้ว
เขาใช้กระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่เขาหลีซานย้อนกลับมาที่ด้านหน้าของซูหลี
เขาใช้ร่างกายของตน สกัดกระบี่ที่ทรงพลังและอำมหิตอย่างหาใดเปรียบของมือสังหารผู้นี้
เลือดสดๆ ค่อยๆ ไหลออกมา หลังจากนั้นก็ถูกสายฝนชะล้างไป
บนถนนกลางสายฝนเงียบสงบ
เมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ ฝูงชนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ไม่มีใครคาดคิดว่าเฉินฉางเซิงจะถึงกับปกป้องซูหลีอย่างสุดชีวิตจริงๆ และยิ่งไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุนี้
ในตอนนี้คนที่อยู่ในเมืองสวินหยางล้วนมาเพื่อฆ่าซูหลี แต่ไม่มีใครอยากจะฆ่าเฉินฉางเซิง เขาเป็นหัวหน้าของสำนักฝึกหลวง เขาเป็นศิษย์หลานของใต้เท้าสังฆราช นี่…เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น
เป็นอุบัติเหตุหรือเปล่า ที่จริงก็เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นจูลั่วบนถนนตรงด้านนั้น หรือว่าจะเป็นซูหลีที่อยู่บนหลังม้า แม้กระทั่งมือสังหารที่อยู่ตรงหน้าเขา ก็ล้วนคาดไม่ถึง เช่นนั้นต่อไปควรจะทำเช่นไร
ที่ตามมาติดๆ ก็คือเสียงแผ่วเบาที่ดังขึ้นบนถนนอีกครั้ง
เลือดสดๆ ได้ทะลักออกมา กระบี่ได้ออกจากร่างของเฉินฉางเซิง
มือสังหารผู้นั้นได้แทงกระบี่ไปทางซูหลีอีกครั้ง สงบนิ่งอย่างมาก ขนาดถึงขั้นนิ่งเฉยไปเลย
เฉินฉางเซิงเหยียบตำแหน่งดวงดาว แหวกม่านฝน ใช้กระบี่เคลื่อนไหวร่าง
เขาปรากฏตัวขึ้นที่ตรงหน้าของมือสังหารอีกครั้ง
เสียงฉึกดังขึ้น คมกระบี่ได้แทงเข้าไปที่หน้าอกของเขาอีกครั้ง เลือดสดๆ พลันไหลริน
ใบหน้าของเขาซีดขาว แต่กลับมีเลือดฝาดอยู่สองจุด
นี่เป็นสีที่มาจากความเจ็บปวดกับการเสียเลือด และก็เป็นเจตจำนงกับความยึดมั่นที่ผสานเป็นความอาจหาญ
มือสังหารก้มหน้าลงมามองเขาอย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่ความหมายก็ชัดเจนอยู่ในดวงตา ‘เจ้าจะตายนะ’
เฉินฉางเซิงบาดเจ็บสาหัสไม่อาจที่จะพูดได้ หยาดฝนได้ไหลผ่านใบหน้าความหมายที่สื่อออกมาก็ชัดเจนอย่างมากเช่นกัน ‘ก็แล้วจะเป็นอย่างไร’
……
……
มีคนที่เลือกความตายเพื่อช่วยคนอื่น ตัวอย่างเช่นเฉินฉางเซิง มีบางคนเลือกที่จะตายเพื่อจะได้ฆ่าคน ตัวอย่างเช่นเหลียงเสี้ยวเซียว
ตั้งแต่พื้นที่ราบหิมะในอาณาเขตเผ่ามารจนมาถึงเมืองเทียนเหลียง ตลอดทางลงใต้นับหมื่นลี้ เฉินฉางเซิงกับซูหลีได้เจอกับเรื่องราวมากมาย คิดถึงสถานที่บางแห่ง
สถานที่ที่เฉินฉางเซิงคิดถึงที่สุดก็คือจิงตู สถานที่ที่ซูหลีคิดถึงที่สุดก็คือเขาหลีซาน
เขาหลีซานเองก็เป็นห่วงซูหลีอย่างมาก เพียงแต่เขาหลีซานในตอนนั้นกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาวุ่นวายมากมาย ชิวซานจวินบาดเจ็บสาหัสยังไม่ได้สติ ชีเจียนที่เพิ่งถูกส่งกลับมาเขาหลีซานเองก็ยังไม่ได้สติ หลังจากนั้น ที่ด้านหน้าภูเขาก็มีคนมามากมาย ในจิงตูมีคนมากมายที่กำลังเป็นห่วงเฉินฉางเซิง ลั่วลั่วยืนอยู่บนยอดของตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ ทุกวันคอยมองอาทิตย์ตกดิน ใบหน้าเรียวเล็กที่งดงามเต็มไปด้วยความกังวลและความเจ็บปวด สำนักฝึกหลวงเงียบเชียบราวกับสุสาน ทุกวันเซวียนหยวนผ้อจะไปดูที่สุสานเทียนซูว่าถังซานสือลิ่วออกมาหรือยัง ต้นไทรย้อยที่ข้างทะเลสาบในฤดูใบไม้ผลิมีสีเขียวงดงาม แต่กลับไม่มีผู้ใดไปเหลียวมอง
เรื่องที่เกิดขึ้นในสวนโจวได้จบลงแล้ว ควันหลงกลับยังไม่สงบลง ทุกคนออกจากเมืองฮั่นชิวไป ก็ได้นำข่าวเรื่องราวที่ทำให้คนต้องตกตะลึงซึ่งเกิดขึ้นทั้งในสวนโจวจนถึงด้านนอกสวนโจวกระจายไปทั่วดินแดนต้าลู่แล้ว… ไม่รู้ว่าเผ่ามารใช้วิธีไหนลอบเข้าไปในสวนโจว หลังจากนั้นก็ฝืนปิดผนึกสวนโจว ภายในนั้นได้เกิดเหตุการณ์สังหารจนเลือดหลั่งรินเป็นสายฝนนับครั้งไม่ถ้วน หลังจากนั้นไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดอยู่ๆ สวนโจวก็เกิดการพังทลายขึ้นมา ในตอนนี้น่าจะพินาศสิ้นไปแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรอายุน้อยที่มีพรสวรรค์มากมายล้วนตกลงไปในนั้น ที่ทำให้คนตกตะลึงที่สุดก็คือเฉินฉางเซิงหายสาบสูญไปในสวนโจว ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
เฉินฉางเซิงในตอนนี้ไม่ใช่นักพรตหนุ่มที่มาจากวัดเก่าเมืองซีหนิงอีกต่อไปแล้ว ปีที่แล้วเขาเป็นถึงอันดับหนึ่งของการสอบใหญ่ ตอนที่เขาอยู่ที่สุสานเทียนซูก็ทำให้แสงของดวงดาวสว่างเต็มท้องฟ้า ช่วยเหลือผู้บำเพ็ญเพียรนับสิบคนในรุ่นเดียวกันให้ทะลวงระดับพลังสำเร็จ เขาเป็นอัจฉริยะหนุ่มที่ใต้เท้าสังฆราชให้ความสำคัญที่สุด เป็นหัวหน้าสำนักฝึกหลวงที่อายุน้อยที่สุดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
บุคคลเช่นนี้ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย และไม่รู้ว่าอยู่ที่แห่งใด แน่นอนว่าจะดึงดูดสายตาแห่งความตกตะลึงจากทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ มีเพียงแค่เรื่องเดียวที่สามารถนำมาพูดเปรียบเทียบกันได้ก็คือการกล่าวหาก่อนตายของเหลียงเสี้ยวเซียว ก่อนตายเหลียงเสี้ยวเซียวไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่ว่าทุกคนในที่นั้นล้วนรู้กัน ที่เขาอยากจะพูดก็คือ…เฉินฉางเซิง ชีเจียน และเจ๋อซิ่วทั้งสามคนร่วมมือกับเผ่ามาร
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่พูดคำกล่าวหานี้ออกมา ก็จะทำได้เพียงเรียกเสียงหัวเราะ แต่ว่าเหลียงเสี้ยวเซียวเป็นศิษย์ของเขาหลีซาน เป็นถึงเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพที่มีชื่อเสียง เขาไม่มีเหตุผลที่จะใส่ร้ายศิษย์น้องของตนอย่างชีเจียน ที่สำคัญที่สุดคือ…เหลียงเสี้ยวเซียวตายแล้ว
เขาตายภายใต้กระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่เขาหลีซาน
และคนที่ตายก็จะไม่โกหก
……
……
“คนตายแม้แต่จะพูดยังทำไม่ได้ แน่นอนว่าไม่มีทางโกหก ปัญหาจึงอยู่ที่ ตอนที่ศิษย์เขาหลีซานผู้นั้นพูดประโยคนั้นออกมา เขายังไม่ตาย เช่นนั้นจะอาศัยอะไรมาคิดว่าเขาไม่ได้โกหก”
“แต่ว่าในตอนนั้นเหลียงเสี้ยวเซียวบาดเจ็บสาหัสอยู่ห่างจากความตายไม่มาก คำพูดนั้น…ก็เท่ากับคำสั่งเสีย”
โจวทงไม่ได้มีการแสดงอารมณ์ใดออกมา คิ้วทั้งสองภายใต้แสงจากตะเกียงก็เหมือนกับเส้นหมึกสองสาย เขาพูดขึ้น “คำสั่งเสียก็สามารถเชื่อได้อย่างแน่นอนหรือ เช่นนั้นในภายหลังกรมอาญาของข้าก็ทำคดีได้ง่ายขึ้นมากเลย หากมีใต้เท้าท่านใดรู้สึกว่าหลักฐานของข้าไม่เพียงพอ เขาก็เตรียมให้หลานของเขาคนหนึ่งฆ่าตัวตาย ก่อนตายให้เหลือสักสองสามประโยคก็ได้แล้วหรือ”
“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าใต้เท้าโจวจะให้ความสำคัญกับหลักฐานถึงเพียงนี้” ม่ออวี่มองไปที่เขาแล้วพูดขึ้นมา แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยชอบโจวทง ทั่วทั้งจิงตูล้วนรู้เรื่องนี้ แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบกับความร่วมมือของนางกับโจวทงในราชสำนัก ในฐานะแขนทั้งสองข้างของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่พึ่งได้มากที่สุดในราชสำนัก พวกเขาจำเป็นจะต้องร่วมมือกันอย่างดี
“จุดสำคัญอยู่ที่ไม่มีคนเชื่อว่าเฉินฉางเซิงจะร่วมมือกับเผ่ามาร ดังนั้นข้าจำเป็นจะต้องมีหลักฐาน”
โจวทงไม่เปลี่ยนสีหน้า และพูดขึ้นอย่างสงบ “ที่จริงแล้ว หากไม่ใช่ว่าศิษย์เขาหลีซานผู้นั้นตายแล้ว อาศัยเพียงการกล่าวหาของจวงห้วนอวี่ เจ้าคิดว่าพระราชวังหลีจะยอมส่งเจ๋อซิ่วให้มาอยู่ในมือของข้าหรือ”
ม่ออวี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “ผลลัพธ์ของการสอบปากคำเป็นอย่างไร”
“เขาไม่พูดแม้แต่คำเดียว แน่นอนว่าก็ไม่มีผลลัพธ์อะไร”
โจวทงพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ข้าจะสอบปากคำเขาอีกหนึ่งเดือน หากถึงเวลานั้น เขายังไม่ยอมรับว่าเขากับเฉินฉางเซิงร่วมมือกับเผ่ามาร เช่นนั้น…ข้าก็จะยอมรับว่าที่เหลียงเสี้ยวเซียวพูดเป็นความจริง”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ ม่ออวี่รู้สึกถึงความหนาวเหน็บขึ้นมา ใบหน้าก็ซีดขาวไปบ้าง
เจ๋อซิ่วเข้าคุกไปหลายวันแล้ว หากว่ายังจะต้องถูกขังอีกหนึ่งเดือน เช่นนั้นแล้วเขายังจะสามารถมีชีวิตรอดออกมาได้หรือ ต้องรู้ว่าคุกที่เขาอยู่ไม่ใช่คุกของเชื้อพระวงศ์ และก็ไม่ใช่คุกใหญ่ของกรมราชทัณฑ์ แต่เป็นคุกโจวในตำนานที่มืดมิดน่าสะพรึงกลัวที่สุด ไม่มีคนที่สามารถอยู่ในคุกโจวได้ยาวนานขนาดนี้ ต่อให้สามารถทำได้ นี่ก็ช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว
โหดร้ายเสียจน…แม้แต่ตัวของโจวทงเองก็ยังเห็นใจเด็กหนุ่มเผ่าหมาป่าผู้นี้อยู่บ้าง