ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 120 กระบวนท่าสุดท้าย (ตอนปลาย)
ม่ออวี่ถามขึ้น “ทำไมเจ้าจะต้องให้วั่วฟูเจ๋อซิ่วเอ่ยปากให้ได้กัน”
โจวทงพูดขึ้น “เพราะว่าไม่มีใครเชื่อว่าเฉินฉางเซิงจะร่วมมือกับเผ่ามาร เช่นนั้นการตายของศิษย์เขาหลีซานก็จะเป็นเพียงแค่สิ่งที่ทำให้ทุกคนสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่เพียงพอที่จะสั่นคลอนความเชื่อของทุกคน นอกจากว่าเจ๋อซิ่วจะยอมรับว่าพวกเขาทำอะไรไปบ้าง”
ในฐานะหัวหน้าสำนักฝึกหลวงที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ในสายตาของคนมากมาย เป็นไปได้อย่างมากว่าเฉินฉางเซิงจะเป็นนายเหนือหัวของพระราชวังหลีคนต่อไป เป็นใต้เท้าสังฆราชในยุคถัดไป… บนโลกใบนี้ก็ไม่มีอนาคตใดที่จะส่องประกายไปมากกว่านี้อีกแล้ว เผ่ามารไม่มีทางมอบเงื่อนไขที่ดีไปกว่านี้ให้ได้ เช่นนั้นก็แน่นอนว่าเขาไม่มีเหตุผลที่จะหักหลังมนุษยชาติ หรือเกี่ยวข้องกับเรื่องราวการร่วมมือกับเผ่ามารเหล่านั้น
ม่ออวี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้น “เจ้าเชื่อหรือไม่”
ไม่ว่าทั่วทั้งดินแดนต้าลู่จะตัดสินโจวทงอย่างไร ไม่ว่าฝีมือของโจวทงโหดร้ายและน่าหวาดกลัวมากแค่ไหน แต่ทุกคนก็ล้วนยอมรับ ในด้านการทำคดี โจวทงนั้นเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร
“จะเชื่อหรือไม่ล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญ หลักฐานถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด” โจวทงพูดขึ้น “ดังนั้นข้าจะให้เวลาหนึ่งเดือนกับเด็กหนุ่มเผ่าหมาป่าผู้นั้น ที่จริงเวลาหนึ่งเดือนนี้ก็ให้กับตัวข้าเองเช่นกัน”
ม่ออวี่มองดวงตาที่สงบไร้คลื่นของเขา แล้วถามขึ้น “ต่อให้ทางกองทัพจะมีความไม่พอใจอย่างมากน่ะหรือ”
ริมฝีปากของโจวทงขยับเล็กน้อย ก็นับว่าเป็นการยิ้มขึ้นมา แล้วพูดขึ้น “เจ้ารู้สึกว่าข้าจะใส่ใจเรื่องพวกนี้หรือ”
ม่ออวี่กล่าวเย้ยหยันขึ้น “ข้าสงสัยมาโดยตลอด นอกจากเหนียงเหนียงแล้ว เจ้ายังจะใส่ใจกับอะไรอีก”
โจวทงไม่ได้ตอบคำพูดที่ไม่ค่อยมีความเคารพนี้ และเปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมา “ที่จริงข้ายังใส่ใจพวกเรื่องหรือคนที่น่าสนใจมากๆ ยกตัวอย่างเช่นศิษย์เขาหลีซานที่ตายไปผู้นั้น ถ้าหากไม่ใช่ว่าเขาตายไปแล้วจริงๆ ข้าก็อยากจะให้เขามาเป็นผู้สืบทอดของข้า”
ม่ออวี่ทำสีหน้าแปลกใจ พลางถามขึ้น “เพราะอะไร”
“ข้าเห็นคนที่โหดร้ายกับตัวเองขนาดนี้น้อยมาก กับตัวเองจะโหดร้ายขนาดนี้ คิดว่ากับโลกใบนี้เองก็คงปราศจากความรัก และตรงนี้ก็เป็นเงื่อนไขของผู้ที่จะมาเป็นผู้สืบทอดของข้า”
แน่นอนว่าโจวทงเองก็ไม่ได้มีความรักต่อโลกใบนี้ แม้กระทั่งเพียงเจตนาดีก็ยังไม่มีเลยสักนิด “โดยเฉพาะการวิเคราะห์ภาพรวมของเหลียงเสี้ยวเซียว การอนุมานต่อสถานการณ์ก็แม่นยำอย่างมาก เขาชัดเจนอย่างมากว่าต่อให้เป็นความตายของตัวเอง ก็ไม่เพียงพอที่จะดึงเฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วลงไปในบึงลึกได้ ดังนั้นการแสดงก่อนตายที่อยู่นอกสวนโจวนั่น เขาจึงแบ่งหลีซานกับจิงตูออกเป็นสองทางอย่างชัดเจน การใส่ร้ายเฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วเป็นเพียงการถือโอกาสเท่านั้น เป้าหมายที่เขาอยากจะเล่นงานจริงๆ แล้วคือเขาหลีซาน คือซูหลี แน่นอนว่ายังมีแม่นางน้อยที่ชื่อชีเจียนผู้นั้น”
เมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้แล้ว ม่ออวี่ก็รู้สึกว่าร่างกายเหน็บหนาวขึ้นมา ที่แท้โจวทงก็รู้ทุกอย่าง และรู้อย่างแสนจะชัดเจน เขารู้ว่าชีเจียนเป็นบุตรสาวของซูหลี รู้ถึงความแค้นในใจของเหลียงเสี้ยวเซียว รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่แผนการร้ายแผนหนึ่ง
“ที่แท้เจ้าก็รู้ทุกอย่าง…” นางจ้องไปที่ดวงตาของโจวทง
โจวทงไม่ได้สนใจนาง แล้วพูดขึ้นต่อ “มีคนมากมายต้องการให้เฉินฉางเซิงร่วมมือกับเผ่ามาร เหลียงเสี้ยวเซียวก็เลยใช้กระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่เขาหลีซานฆ่าตัวตาย นี่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”
ม่ออวี่พูดขึ้น “เช่นนั้นเจ้าคิดจะเอาอย่างไร ไม่ใช่เจ้าหรือที่พูดว่าหลักฐานเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
โจวทงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “อาจารย์ของเฉินฉางเซิงคือนักพรตจี้ สรุปแล้วนักพรตจี้กับคนชุดดำมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่ ก็ไม่มีใครรู้ ดังนั้นทำไมเฉินฉางเซิงจะไม่สามารถร่วมมือกับเผ่ามารได้กัน โดยเฉพาะในตอนนี้เฉินฉางเซิงยังมีชีวิตอยู่ ในเมื่อสวนโจวได้พินาศไปแล้ว ตรงประตูหลักมีคนอยู่มากมายถึงเพียงนั้นก็ยังไม่มีใครเห็นเขา เช่นนั้นแล้วเขาออกมาจากสวนโจวได้อย่างไร ประตูอื่นหรือ? อย่าลืม มีเพียงคนชุดดำที่รู้ว่าประตูทางเข้าอื่นของสวนโจวอยู่ที่ไหน”
ม่ออวี่นิ่งเงียบไปนาน หลังจากนั้นจึงพูดขึ้น “ที่แท้เจ้าก็กำลังสงสัยเขาอยู่จริงๆ”
โจวทงลุกยืนขึ้นมา เดินไปที่ประตูของห้องโถงหลัก มองดูดวงดาราที่อยู่บนท้องฟ้าในยามราตรี แล้วพูดขึ้น “คำกล่าวหาที่เหลียงเสี้ยวเซียวใช้ความตายพูดออกมามีอานุภาพอย่างมาก พอดีกับที่ในจิงตูมีคนมากมายต้องการให้เฉินฉางเซิงร่วมมือกับเผ่ามาร แล้วบังเอิญว่าเฉินฉางเซิงสามารถออกจากสวนโจวได้ นี่เป็นการอธิบายว่ามีความเป็นไปได้ที่เฉินฉางเซิงจะร่วมมือกับเผ่ามาร เช่นนั้นแน่นอนว่าข้าอยากจะรู้ว่าสรุปแล้วเขาร่วมมือกับเผ่ามารหรือไม่กันแน่”
ม่ออวี่เดินมาที่ด้านหลังของเขา และพูดโดยแฝงคำเตือนเอาไว้ “ใต้เท้าสังฆราชจะเชื่อเขา”
อยู่ๆ สีหน้าของโจวทงก็เปลี่ยนเป็นประหลาดขึ้นมา แล้วเขาก็พูดขึ้น “ถ้าหากในสถานการณ์เช่นนี้ใต้เท้าสังฆราชยังเชื่อมั่นเขาอยู่ เช่นนั้นใต้เท้าสังฆราชก็จะไม่คู่ควรให้เชื่อถืออีกต่อไปแล้วไม่ใช่หรือ”
ม่ออวี่รู้สึกว่ากลิ่นอายที่ดำมืดจากพื้นดินที่ลานด้านหน้าได้กระจายมาถึงตรงนี้แล้ว บรรยากาศรอบตัวได้เปลี่ยนเป็นเหน็บหนาวขึ้นมา นางไม่รู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะต้องพูดอะไรออกมา
“เจ้าควรจะรู้ให้แน่ชัดก่อนว่าสรุปแล้วเหนียงเหนียงกำลังคิดเช่นไรอยู่”
“เช่นนั้น ความคิดของเจ้าล่ะ”
โจวทงไพล่มือทั้งสองข้างไปที่ด้านหลัง มองดูท้องฟ้าในยามราตรี น้ำเสียงแผ่วเบาราวกับอากาศยามหลังฝน ร่างกายที่ซูบผอมของเขาภายใต้ยามราตรีก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเงียบเหงา มองดูแล้วช่างเหมือนกับนักกวีที่โศกเศร้าระทมทุกข์
“ข้าหรือ? หมายถึงความคิดเกี่ยวกับอะไร”
“ความคิดที่มีต่อเฉินฉางเซิง”
“เจ้าอยากตายหรือ” ม่ออวี่คำรามด้วยความโกรธ
สีหน้าของโจวทงไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด พลางพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย “วันนั้นที่ข่าวการมีชีวิตอยู่ของเฉินฉางเซิงถูกส่งกลับมาถึงจิงตู ได้ยินว่าดอกไม้ในสวนส้มจี๊ดเบ่งบานภายในคืนเดียว ดูท่าว่าเจ้าจะอารมณ์ดีไม่น้อยเลยจริงๆ”
ความโกรธในดวงตาของม่ออวี่เปลี่ยนเป็นจิตสังหาร
โจวทงไม่ได้หันตัวไป ราวกับว่าไม่ได้รู้สึกถึงสายตาของนาง
ม่ออวี่จากไปแล้ว โจวทงจึงเริ่มต้นการเดินเล่น
ทั่วทั้งจิงตูกระทั่งทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ล้วนรู้กัน โจวทงไม่ได้มีงานอดิเรกอะไร นอกจากเดินเล่นกับกระทำการทรมานด้วยมือของเขา
เขาเข้มงวดกับการปฏิบัติต่อคน และยิ่งเข้มงวดกับการบังคับตัวเอง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเต็มที่กับดนตรีนารี ไม่เคยมีประสบการณ์ที่ทำอะไรอย่างกำเริบเสิบสาน ต่อให้เป็นตอนที่ยังอยู่ในช่วงวัยหนุ่ม เขาใช้ชีวิตอย่างมีกฎเกณฑ์และเข้มงวดอย่างมาก สามารถพูดได้ว่าโดดเดี่ยวแห้งแล้ง แน่นอนว่าเขาเองก็มีการเขียนบทกลอน เขียนบทกลอนความกังวลโศกเศร้าของบ้านเมือง เขาเองก็เขียนสาส์นกราบทูล เขียนแผนการบริหารประเทศ ชีวิตของเขาเหมือนกับปรัชญาเมธี เมื่อเขาอยู่ต่อหน้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีทางเป็นขุนนางกังฉิน แต่เป็นขุนนางตงฉินผู้หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาถือว่าเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริตที่สุดในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ต้าโจว เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยขาดแคลนเงิน และก็เพราะไม่มีคนกล้ามาติดสินบนกับเขา
ที่สวนตระกูลโจวของเขาเลี้ยงสุนัขสามหัวสีดำเอาไว้ถึงสิบห้าตัว สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเช่นนี้ต้องเป็นส่วนลึกของอาณาเขตเผ่ามารถึงจะมีอยู่ มันมีรูปร่างภายนอกที่น่าหวาดกลัว และมีความสามารถในการตรวจจับกับความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างมาก น้ำลายสีดำที่ไหลออกมาสามารถละลายได้กระทั่งโลหะที่แข็งแกร่งที่สุด โดยประมาณแล้วก็เพราะเหตุผลนี้ ใต้เท้าโจวทงจึงไม่ถูกเงินทองทำให้เสื่อมทราม…คนที่คิดจะติดสินบนกับเขาไม่อาจหาทางเข้าใกล้ที่พักของเขาได้ ผู้ที่คิดจะแอบเข้าไปในสวนตระกูลโจวเพื่อติดสินบนกับเขา ก็จะกลายมาเป็นอาหารของสุนัขสามหัวสีดำเหล่านี้ พื้นหญ้าและป่าที่อยู่รอบที่พัก ใครจะรู้ว่ามีกระดูกมนุษย์อยู่มากน้อยเท่าไหร่ ในยามราตรี สุนัขสามหัวนับสิบตัวยืนอยู่ท่ามกลางความมืด ผิวสีดำเลื่อมถูกแสงจากดวงดาราส่องสะท้อนจนรู้สึกน่าประหลาด ภายใต้เขี้ยวเล็บของสุนัขสายพันธุ์มารสีดำเหล่านี้ก็คือคุกแห่งหนึ่ง
เจ๋อซิ่วก็ถูกขังอยู่ภายในคุกแห่งนี้ โซ่เหล็กห้าสิบห้าเส้นร้อยผ่านร่างกายของเขา ผิวของเขาเต็มไปด้วยเลือดในทุกๆ ที่ มีทั้งเลือดที่แห้งกรังและเลือดสดๆ มีแผลหลายแห่งที่สามารถเห็นไปถึงกระดูกสีขาวโพลน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด เขาตื่นขึ้นมาแล้ว และรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ถูกลมพัดผ่านช่องว่างเข้ามาจากด้านนอก เขาเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก มองไปยังทางด้านนั้น และสูดลมหายใจอย่างกระชั้นถี่หลายครั้ง
ที่นั่นสามารถเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนได้นิดหน่อย มีดวงดาวอยู่ไม่กี่ดวง เขาลืมตาอยู่ และมองไปทางด้านนั้น มองดูแล้วมีความละโมบอยู่บ้าง แต่ที่จริงแล้ว เขาในตอนนี้ไม่สามารถเห็นสิ่งใดได้เลย
ในส่วนลึกที่สุดของนัยน์ตาของเขาเป็นแถบสีเขียวมะนาว
นั่นคือสีที่เกิดจากการผสมกันระหว่างพิษจากขนนกยูงกับเลือด
ค่อนข้างน่าเศร้าโศกอยู่บ้าง