ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 121 ค่ำคืนในหว่างนิ้ว
เหลียงเสี้ยวเซียวตายไปแล้ว คำกล่าวหาก่อนตายของเขาแน่นอนว่ามีอานุภาพอย่างมาก เพียงแต่พยานอีกคนของเรื่องที่เกิดในสวนโจวเมื่อตอนนั้น…จวงห้วนอวี่ นอกจากการอธิบายสถานการณ์อย่างรวบรัดแล้ว เวลาส่วนใหญ่ในช่วงอื่นก็มักจะรักษาความเงียบสงบเอาไว้ ดังนั้นจึงมีรายละเอียดมากมายในเรื่องราวที่ผู้ตายเล่ายังไม่ได้ถูกพูดเสริมขึ้นมา บวกกับคู่กรณีที่เหลียงเสี้ยวเซียวบ่งชี้ถึงไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นเรื่องของสวนโจวจึงถูกดึงลงบ่อโคลนลงไปอย่างเป็นธรรมชาติ ผ่านไปหลายสิบวันแล้วก็ยังคงไม่มีความก้าวหน้าใดๆ
สถานะของเฉินฉางเซิงค่อนข้างพิเศษ แน่นอนว่าเหล่าบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของพระราชวังหลีล้วนจับจ้องเรื่องนี้เอาไว้ ในการสอบใหญ่ ทุกคนได้พบว่าเจ๋อซิ่วมีความสัมพันธ์กับสำนักฝึกหลวงค่อนข้างดีทีเดียว และเด็กหนุ่มเผ่าหมาป่าผู้นี้มีผลงานการต่อสู้บนพื้นที่ราบหิมะอยู่นับไม่ถ้วน จึงได้รับความชื่นชมจากขุนพลเทพบางท่านในกองทัพของต้าโจวอย่างมาก เรื่องนี้จะพัฒนาไปเช่นไร ในความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ สุดท้ายก็ต้องดูการตัดสินใจของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นสวนตระกูลโจวจึงกลายมาเป็นจุดสนใจของสายตาจำนวนนับไม่ถ้วน เพราะว่าที่นี่เป็นจวนของโจวทง เป็นเจตจำนงของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เป็นเพราะว่าหมาบ้าที่บ้าคลั่งและโหดร้ายที่สุดปรากฏตัวออกมา และก็เป็นเพราะหลังจากที่ราชสำนักนำตัวเจ๋อซิ่วมาจากพระราชวังหลีแล้ว ก็ขังเอาไว้ที่นี่มาโดยตลอด
มีคนอยู่น้อยมากที่รู้จักคุกโจวในตำนาน นั่นเป็นคุกที่ทำให้ขุนนางใหญ่มากมายได้ยินแล้วต้องหวาดกลัว แต่เดิมมันก็เป็นโครงสร้างหน้าหลังกับจวนของโจวทง ห่างกันก็เพียงแค่สิบกว่าจั้งกับประตูสองบานที่แทบจะไม่กันลม ช่วงเวลาและทิวทัศน์ที่งดงามแต่กลับไร้อารมณ์จะเชยชม ที่พูดถึงก็คือจวนของโจวทงกับคุกของโจวทง ด้านหน้ามีทิวทัศน์งดงามทั้งสี่ฤดูไม่ขาดสาย ด้านหลังคือจนใจต่อฟ้า รู้สึกจนใจที่ไม่อาจเห็นฟ้าใสได้
แรดดำลากรถเหล็กที่แสนหนักผ่านประตูหินของสวนตระกูลโจว มาถึงสิ่งก่อสร้างที่มืดมิดตรงหน้านี้
ถึงแม้ว่าจะมีระยะห่างใกล้กันถึงเพียงนี้ โจวทงก็ยังคุ้นเคยกับการนั่งรถลาก
นอกจากการที่อยู่ต่อหน้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ก็มีเพียงตอนที่อยู่ภายในรถเหล็กนี้ เขาถึงจะรู้สึกว่าปลอดภัย
รถที่ลากด้วยแรดดำมาถึงหน้าทางเข้าคุกแล้ว ตามมาด้วยเสียงที่ดังขึ้นเบาๆ ประตูรถก็ค่อยๆ เปิดออกแล้ว
โจวทงก้าวเท้าลงมาจากรถเหล็กช้าๆ จิตใต้สำนึกให้เขามองไปบนท้องฟ้าในยามราตรี ใบหน้าที่ถูกแสงจากดวงดาวสาดส่องค่อนข้างจะซีดขาวอยู่บ้าง
ก็เป็นช่วงวินาทีที่เขาเดินลงมาจากรถเหล็ก การระวังภัยของคุกโจวรอบด้านได้ยกระดับขึ้นมาหลายขั้นในทันที ขนาดพวกเงาใต้ชายคาที่อยู่ไม่ไกลนั้น ก็ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งซ่อนตัวอยู่เท่าไหร่กัน
โจวทงไม่ใช่ผู้อ่อนแอ เขาเป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาว ในราชสำนักของต้าโจวก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือมีอันดับ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง นอกจากความจำเป็นในการสอบปากคำคดี ก็จะออกจากคุกโจวน้อยมาก และถึงแม้จะออกไป โดยมากแล้วก็เข้าไปในพระราชวัง อีกทั้งทุกครั้งที่ไปก็ล้วนพาผู้คุ้มกันไปด้วยจำนวนนับไม่ถ้วน เพราะว่าเขาชัดเจนอย่างมาก มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนอยากที่จะฆ่าตน ถ้าหากมีอันดับของคนที่ผู้คนในดินแดนต้าลู่ต้องการฆ่ามากที่สุดออกมา แน่นอนว่าซูหลีจะต้องอยู่ในอันดับหลังจากเขา
มาถึงภายในห้องขังที่มืดมิดและเหน็บหนาว มองเห็นร่างที่เต็มไปด้วยเลือดที่ดูเลือนราง เป็นเด็กหนุ่มเผ่าหมาป่าที่ไม่มีส่วนไหนที่สมบูรณ์ดี สีหน้าของโจวทงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ และก็ไม่ได้มีท่าทีวิปริตตื่นเต้นเหมือนกับที่เล่าต่อกันมา แต่มีเพียงแค่ความสงบเท่านั้น
ตั้งแต่มีคำสั่งของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ในตอนแรกที่ให้เขารับหน้าที่ดูแลกรมอาญาเป็นต้นมา โจวทงได้สอบสวนนักโทษมานับไม่ถ้วน ลงมือทรมานด้วยตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน เห็นสภาพน่าอนาถมาไม่รู้กี่ครั้ง คนที่น่าอนาถยิ่งกว่าเจ๋อซิ่วก็มีไม่รู้เท่าไหร่ เขาไม่มีทางหวั่นไหวเพราะเรื่องพวกนี้ แต่เขาไม่คิดว่านี่คือความด้านชา เขาเองก็ไม่มีทางอนุญาตให้ตนด้านชาเพราะคาวเลือดพวกนี้ เขาคิดอย่างแน่วแน่ว่ามีเพียงการรักษาความรู้สึกแรกต่องานเท่านั้น ถึงจะสามารถรักษาความสนใจและความสดใหม่ในชีวิตต่อไปได้ หลังจากนั้นถึงจะสามารถรักษาความเฉียบคมต่อเรื่องราวมากมายของตนเอาไว้ได้
ใช่แล้ว โจวทงคิดมาโดยตลอดว่านี่ก็เป็นเพียงงานอย่างหนึ่ง ในตอนแรกสุดที่เขาอ่านคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ แล้วเขียนแผนพัฒนาประเทศได้ไม่ดีนัก ดังนั้นจึงได้เปลี่ยนมาบำเพ็ญเพียร การบำเพ็ญเพียรของเขาทำได้ไม่เลวเลย แต่เป็นเพราะว่าอายุมากแล้ว จึงไม่มีโอกาสได้เข้าไปเรียนเป็นศิษย์ภายในของสำนักพรรคใด ดังนั้นเขาเริ่มที่จะจัดการเรื่องเส้นสาย ในที่สุดก็ได้รู้จักกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ในสวนร้อยหญ้า และได้ทำงานนี้ การทำสิ่งใดต้องรักในสิ่งนั้น ต้องทำอย่างจริงจังให้ดีที่สุด…ไม่ว่าจะเป็นการอ่านคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ การบำเพ็ญเพียร หรือว่าจะเป็นการลงโทษคนทั้งแผ่นดินในตอนนี้ แต่ไหนแต่ไรมาโจวทงล้วนร้องขอตนเช่นนี้ ความจริงพิสูจน์ว่าเขาสามารถทำได้แล้ว
“ตอนหนึ่งเค่อแรกของยามหก* เจ้าหมดสติไป คำนวณเวลาดูแล้ว ตอนนี้เจ้าก็น่าจะตื่นขึ้นมาแล้ว ดังนั้นข้าจึงมาถามเจ้าอีกรอบ ถ้าหากว่าเด็กสาวสองคนนั้นเป็นปีกทั้งสองข้างขององค์หญิงเผ่ามารหนานเค่อ ทำไมถึงไม่ได้ร่วมมือกับขุนพลมารผัวเมียคู่นั้นฆ่าพวกเจ้าตรงๆ ไปเลยกัน แต่กลับแยกกันเช่นนี้ ผลคือปล่อยให้พวกเจ้ามีโอกาสได้แยกกันโจมตี”
โจวทงไม่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าเจ๋อซิ่วแล้วจ้องตากดดันเขา และก็ไม่ได้มองสำนวนคดีที่อยู่บนโต๊ะ
เขายืนอยู่ตรงช่องลมที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวในคุกนี้ และมองดูดวงดาวในยามค่ำคืนอย่างสงบ แสดงให้เห็นถึงความไม่สนใจไยดี
ในสำนวนคดีคือการให้ปากคำที่เจ๋อซิ่วพูดให้กับเหมยหลี่ซาฟังระหว่างทาง และหลังจากที่เจ๋อซิ่วมาถึงคุกโจวแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยแม้แต่คำเดียว โจวทงชัดเจนอย่างมาก ความกดดันทางจิตใจสำหรับเด็กหนุ่มเผ่าหมาป่าผู้นี้แล้วไม่ได้มีประโยชน์อันใดเลย โจวทงเคยอ่านสำนวนคดีนี้ไปรอบหนึ่งแล้ว และจำเนื้อหาทั้งหมดเอาไว้ได้แล้ว รวมไปถึงรายละเอียดที่ไม่ดึงดูดความสนใจของคนพวกนั้น เขารู้สึกว่านี่ก็เหมือนกับคำสั่งเสียของเหลียงเสี้ยวเซียว ในการให้ปากคำของเจ๋อซิ่วก็มีจุดที่น่าสงสัยอยู่หลายจุด แต่เขาก็ยังคงถามอย่างไม่สนใจไยดี เพราะเขารู้ว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากเกินไป เจ๋อซิ่วในตอนนี้ไม่มีทางยอมรับอะไร
ที่เขาถามเรื่องพวกนี้ ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานเท่านั้น เป็นขั้นตอน หรืออาจพูดว่าเป็นกระบวนการ เรื่องที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของต้าโจว…ล้วนเป็นงาน จบตรงส่วนนี้ไปแล้ว ถึงจะสามารถดำเนินการส่วนต่อไปได้
เมื่อได้ยินเสียงของโจวทง ในที่สุดเจ๋อซิ่วก็มีการตอบสนองแล้ว แต่เขายังคงไม่พูดอะไร แต่กลับปิดตาลง
ตั้งแต่เมืองฮั่วชิวจนกลับมาถึงจิงตู พระราชวังหลีได้ส่งมุขนายกชุดแดงมาทำการรักษาเขาด้วยตัวเอง พิษในร่างของเขาในตอนนี้ได้ถูกสะกดไว้ที่ดวงตา ถึงแม้จะยังคงไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ว่าก็ไม่น่ามีอาการทรุดลง และไม่มีอันตรายต่อชีวิตแล้ว เขาไม่ได้สนใจปัญหาพวกนี้ ที่เขาสนใจยิ่งกว่าก็คือสรุปแล้วในสวนโจวได้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมท้องฟ้าของสวนโจวถึงได้ถล่มลงมา หนานเค่อกับยอดฝีมือเผ่ามารพวกนั้นจะตายหรือเปล่า หรือว่าเฉินฉางเซิงเองก็จะตายไปแล้ว ยังมี…บาดแผลของชีเจียนในตอนนี้จะดีขึ้นบ้างหรือยัง ยังสลบไม่ได้สติหรือว่าตื่นขึ้นมาแล้วกัน
เขากำลังคิดเรื่องพวกนี้อย่างมีสมาธิ หวังว่าจะใช้วิธีการนี้ลดถอนความเจ็บปวดไปได้สักหน่อย เพียงแต่ใบหน้าของเขาก็ยิ่งซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ เหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองได้กลิ้งลงมาจากหน้าผากของเขาไม่หยุด
เข็มที่เล็กละเอียดเล่มหนึ่งได้ปักอยู่ตรงกลางหว่างคิ้วของเขา ปลายเข็มถูกนิ้วของโจวทงคีบเอาไว้ได้ไหวเบาๆ
สีหน้าของโจวทงสงบอย่างมาก ไม่เหมือนกับว่ากำลังทำการทรมานอยู่เลย แต่กลับเหมือนแพทย์ที่กำลังทำการรักษาคนไข้ของตน
ลมหายใจของเจ๋อซิ่วยิ่งกระชั้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ คิ้วทั้งสองยิ่งขมวดแน่น ร่างกายก็เริ่มสั่นเทาอย่างรุนแรง
โซ่เหล็กที่ร้อยผ่านร่างเหล่านั้นเสียดสีกับเลือดเนื้อ เนื้อที่เน่ากับเนื้อที่สดใหม่ถูกกวาดลงมาทั้งหมด
โจวทงปัดปลายเข็มแผ่วเบา ในปากของเจ๋อซิ่วที่กัดอยู่เต็มไปด้วยเลือดแล้ว แต่กลับไม่อาจจะทนต่อไปได้ เขาร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด เสียงที่แหบพร่าได้สะท้อนอยู่ในคุกที่มืดมิด
เขาอยากจะหมดสติไป แต่กลับเจ็บจนไม่อาจจะสลบไปได้
ความเป็นกับความตาย ความเจ็บปวดกับการหลุดพ้น ทั้งหมดล้วนอยู่ที่นิ้วมือของโจวทง
……
……
ม่ออวี่ออกมาจากสวนตระกูลโจว และมุ่งหน้าไปที่พระราชวัง ล้อรถได้กดลงไปบนแผ่นหิน ค่อนข้างจะกระเด้งขึ้นมาอยู่บ้าง
นางรู้สึกว่าถ้าเป็นรถที่ลากโดยแพะดำก็คงดี แต่ว่าแพะดำไม่ชอบโจวทง แต่ไหนแต่ไรมาจึงไม่ยอมตามนางไปที่นั่น
ทันใดนั้นรถก็หยุดลงแล้ว
นางมองไปที่ม่านด้านหน้ารถอย่างสงบ แล้วถามขึ้น “ฝ่าบาท เจ้าคิดจะทำอะไร”
เสียงของลั่วลั่วก็ยังชัดเจนอยู่เช่นนั้น ส่องประกายราวกับต้นอ่อนที่เพิ่งงอกขึ้นมาใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ “ข้าอยากจะบอกกับพวกเจ้า อาจารย์ยังไม่ได้กลับมา ไม่ได้แปลว่าสำนักฝึกหลวงจะไม่มีคนแล้ว”
*ยามหก คือ ช่วงเก้านาฬิกาถึงสิบเอ็ดนาฬิกา