ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 131 พ่อกับลูก (ตอนต้น)
มองดูแสงกระบี่จากทุกยอดเขาของเขาหลีซานพุ่งทะยานขึ้นฟ้า สีหน้าของเสี่ยวซงกงก็แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก สีหน้าของผู้อาวุโสโถงบทบัญญัติทั้งสองคนก็เคร่งเครียดขึ้นมา สีหน้าของผู้อาวุโสแซ่เจียงที่มาจากพรรคฉางเซิงผู้นั้นก็ยิ่งน่าเกลียดอย่างถึงที่สุด มีเพียงแค่ประมุขตระกูลชิวซานที่ตั้งแต่ต้นจนจบก็จ้องไปยังชิวซานจวินโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
ชิวซานจวินกลับไม่มองบิดาของตนแม้แต่น้อย และพูดกับพวกเสี่ยวซงกงขึ้นมา “ยังไม่รีบยอมจำนน หรือว่าเตรียมตัวจะรับทัณฑ์หมื่นกระบี่ทะลวงใจจริงๆ”
หลังจากนั้นเขาก็มองไปทางศิษย์เขาหลีซานเหล่านั้นที่ตามพวกเสี่ยวซงกงบุกยอดเขาหลัก แล้วพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม “ส่วนพวกเจ้า การจะให้แล้วกันไปนั้น…ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เห็นแก่ที่วันนี้เพียงแค่หลั่งเลือดเท่านั้น ยังไม่ได้มีการเสียชีวิตเกิดขึ้น ถ้าหากพวกเจ้าวางกระบี่ลงในตอนนี้ ข้าจะลงโทษสถานเบาตามกฎสำนัก และไม่ขับไล่พวกเจ้าออกจากสำนัก”
ศิษย์เขาหลีซานเหล่านั้นติดตามอาจารย์บุกขึ้นยอดเขาหลัก เดิมที่ก็กระวนกระวายใจอยู่แล้ว ในตอนที่ชิวซานจวินปรากฏตัวขึ้นมา และหลังจากที่แสดงท่าทีอย่างแข็งกร้าวว่ายืนอยู่ข้างหัวหน้าพรรค พวกเขาก็เผยสีหน้ากังวลออกมาแล้ว ในตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ก็ยิ่งตกเข้าสู่การดิ้นรนอย่างรุนแรง
เสี่ยวซงกงโมโหอย่างมากแต่กลับยิ้มขึ้นมา ในมือจับกระบี่เล่มยาวเอาไว้พลางมองไปยังชิวซานจวินแล้วพูดขึ้น “ช่างเหลวไหลอย่างถึงที่สุดจริงๆ! ต่อให้โลกล้วนรู้กันว่าในอนาคตพรรคกระบี่เขาหลีซานจะต้องให้เจ้าเป็นผู้ดูแล แต่ในตอนนี้อายุของเจ้าก็แค่ยี่สิบ มีฐานะเป็นศิษย์รุ่นที่สาม ถึงกับกล้าไม่เคารพเหล่าผู้อาวุโสเช่นพวกข้า ถึงกับกล้าลงมือกับข้า! พรรคกระบี่เขาหลีซานของข้าในช่วงหลายปีมานี้ ได้ถูกซูหลีนำพาไปสู่วิถีมารแล้วจริงๆ!”
ชิวซานจวินมองไปที่เขาแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง “คนชั่วไม่เดินบนทางที่ถูกต้อง ตรงหน้าของคนที่มีคุณธรรมไหนเลยจะมีเส้นทางวิถีมาร”
เสี่ยวซงกงยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ จึงตวาดขึ้นเสียงดัง “ก่อนหน้าก็เป็นอาจารย์ของเจ้าที่ใช้ค่ายกลกระบี่ปิดทางเชื่อมต่อระหว่างยอดเขาต่างๆ กับยอดเขาหลัก ก็เพราะไม่อยากให้ศิษย์ของยอดเขาอื่นต้องตายภายใต้กระบี่ของพวกข้า! หากเจ้ากล้าใช้ค่ายกลใหญ่หมื่นกระบี่ลงมือกับพวกข้า วันนี้บนยอดเขาของเขาหลีซานจะต้องมีคนตายเท่าไหร่! หรือว่าเจ้าอยากให้พรรคกระบี่เขาหลีซานของเราจะต้องถูกทำลายเพราะความขัดแย้งภายในจริงๆ!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ แสงกระบี่ของแต่ละยอดเขาก็ชะงักเล็กน้อย ไป๋ไช่และศิษย์เขาหลีซานมองไปที่ชิวซานจวิน สายตานั้นมีความไม่สงบอย่างมาก เพราะว่าพวกเขารู้อย่างชัดเจนดีว่าที่เสี่ยวซงกงพูดมานั้นไม่ผิด ยอดฝีมือโถงกระบี่ของพรรคกระบี่เขาหลีซานที่แข็งแกร่งที่สุด ในตอนนี้ทั้งหมดได้ถูกขังไว้ท่ามกลางค่ายกลกระบี่ที่กลางภูเขา ศิษย์เขาหลีซานที่สนับสนุนหัวหน้าพรรคกับชิวซานจวินถึงแม้จะมีจำนวนมาก แต่หากพูดถึงกำลังในการสู้รบ ก็ไม่อาจเทียบได้กับพวกเสี่ยวซงกงทั้งสามคนซึ่งเป็นผู้อาวุโสในรุ่นที่สองที่มีระดับพลังล้ำลึก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในวันนี้ยังมีผู้อาวุโสพรรคฉางเซิงผู้นั้นที่ตามพวกเขาขึ้นเขามาด้วย และยิ่งมีประมุขตระกูลชิวซานกับผู้ติดตามของตระกูลชิวซานที่มีความแข็งแกร่งลึกล้ำยากจะหยั่งถึงอีก!
ต้องรู้ว่าพลังส่วนใหญ่ของค่ายกลใหญ่หมื่นกระบี่นี้ ล้วนใช้ไปกับการสร้างค่ายกลกระบี่ส่งตัว ต่อให้ชิวซานจวินกับเหล่าศิษย์เขาหลีซานในรุ่นที่สามตัดสินใจจะเป็นตายร่วมกับเขาหลีซาน ก็ไม่เห็นว่าจะสามารถขับไล่ให้ศัตรูที่แข็งแกร่งขนาดนี้ล่าถอยไปได้! ถ้าหากทั้งสองฝ่ายต่างเปิดฉากต่อสู้กันโดยไม่คำนึกสิ่งใดแล้ว เช่นนั้นเหล่าศิษย์ที่ซื่อสัตย์ต่อเขาหลีซานก็ไม่รู้ว่าต้องทิ้งชีวิตไว้ ณ ที่ตรงนี้มากมายเท่าไหร่ และเช่นนี้จะคุ้มค่าจริงๆ หรือ
ชิวซานจวินมองไปที่เมฆและแสงกระบี่ของยอดเขาต่างๆ คิ้วกระบี่เลิกขึ้นน้อยๆ ทุกคนล้วนรู้ดี เขาเตรียมที่จะลงมือแล้ว นาทีถัดมาเขาก็ลงมือ เขาในตอนนี้ขับไล่ผู้อาวุโสโถงบทบัญญัติสองคนนั้นออกจากเขาหลีซานแล้ว ดังนั้นในตอนนี้เพลงกระบี่เขาหลีซานก็อยู่ภายในหัวใจของเขา…เพลงกระบี่เขาหลีซานอยู่ตรงหน้า ไม่มีคุ้มหรือไม่คุ้มค่า และมีเพียงควรหรือไม่ควรทำ
ไป๋ไช่เข้าใจแล้ว และไม่พูดมาอีก เขาถือกระบี่เดินไปที่ด้านหลังของศิษย์พี่ใหญ่ เขามองไปยังศัตรูที่แข็งแกร่งเหล่านั้นอย่างสงบนิ่งและแน่วแน่ ศิษย์เขาหลีซานนับสิบคนก็เข้าใจแล้ว จึงเดินไปที่ด้านหน้าบันไดหิน เตรียมตัวรอการต่อสู้ครั้งสุดท้าย พวกเขาไม่สนใจบาดแผลที่เคยได้รับก่อนหน้านี้ ไม่สนใจเลือดที่ไหลอยู่บนบ่า มือที่จับกระบี่มั่นคงอย่างหาใดเปรียบ พวกเสี่ยวซงกงเองก็เข้าใจแล้ว เหล่าศิษย์ที่อยู่ด้านหลังพวกเขาก็เข้าใจแล้ว มีศิษย์ที่ก้มหน้าลงต่ำ มีศิษย์ที่ด่าทอออกมา มีศิษย์ที่เดินเข้ามาอย่างเงียบๆ มีศิษย์ที่ค่อยๆ วางกระบี่ในมือลง
และก็เป็นในตอนนี้เอง มีเสียงหนึ่งค่อยๆ ดังขึ้นมาจากยอดเขา
“ปีนั้นในตอนที่เจ้าอายุสี่ขวบ เจ้าได้เจอกับมังกรวารีตัวหนึ่งที่ภูเขาหนานหลิงซาน องครักษ์ทั้งหมดล้วนตายไปแล้ว มีเพียงเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าไม่ได้โจมตีใส่สัตว์ร้ายโดยลำพัง แต่กลับปล่อยให้มันพาเจ้ากลับถ้ำ เพื่อเตรียมไปเป็นอาหารในอนาคต จนกระทั่งถึงวันนี้ รวมตัวพ่อด้วย ไม่มีใครที่รู้ว่าเจ้ารอดมาได้อย่างไร และฆ่ามังกรวารีตัวนั้นไปได้อย่างไร แต่ข้าเชื่อว่า เจ้าในตอนนั้นไม่มีทางอาศัยแค่เจตจำนงและความกล้า แต่ว่าเป็นการใช้ปัญญา”
ผู้ที่พูดก็คือประมุขตระกูลชิวซาน เขามองชิวซานจวินแล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “คิดไม่ถึงว่าเจ้าในตอนนี้ ถึงกับถูกอาจารย์ของเจ้ากับซูหลีสั่งสอนจนกลายเป็นคนที่เชื่อมั่นในความกล้าหาญอย่างคนโง่ นี่ช่างทำให้ข้าต้องผิดหวังอย่างมากเสียจริง ถึงขนาดเสียใจที่ในตอนนั้นได้ส่งเจ้ามายังเขาหลีซาน”
ชิวซานจวินไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองเขาอย่างเงียบๆ
ประมุขตระกูลชิวซานส่ายศีรษะ แล้วพูดขึ้น “เดิมทีการที่เจ้าฟื้นขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก ไม่ว่าจะสำหรับตัวของเจ้าเองหรือสำหรับทั่วทั้งพรรคกระบี่เขาหลีซาน เพราะว่าในตอนนี้มีเพียงเจ้าที่ทำให้เขาหลีซานหลีกเลี่ยงการถูกทำลายในครั้งนี้ได้ ผลคือเจ้ากลับทำเรื่องอะไรกัน ถ้าหากเจ้าคิดถึงบุญคุณระหว่างศิษย์อาจารย์ ข้าสามารถพูดให้เจ้าฟังอย่างชัดเจนได้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคฉางเซิงหรือตระกูลชิวซาน กระทั่งจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีใครคิดจะให้อาจารย์ของเจ้าต้องไปตาย พวกเราเพียงแค่คิดว่า เพราะซูหลีกับชีเจียนเป็นสาเหตุ เขาไม่เหมาะที่จะถือครองตำแหน่งหัวหน้าพรรคกระบี่เขาหลีซานอีกแล้ว แต่แน่นอนว่าในงานชุมนุมผู้อาวุโสของพรรคฉางเซิงจะต้องมีที่ของเขาเป็นแน่ เขาหลีซานเพียงแค่ต้องยอมรับความผิดของซูหลี ก็จะสามารถได้รับอนาคตอันงดงาม เหตุใดถึงไม่ชอบใจกับมันเล่า”
เสียงของประมุขตระกูลชิวซานค่อยๆ แข็งกระด้างและเยือกเย็นขึ้นมา “ข้าเป็นบิดาของเจ้า ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ต่างรู้ดี ที่ข้าทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น หรือว่าเจ้าจะไม่เข้าใจ ต่อให้เจ้าจะเป็นอัจฉริยะอย่างไร อายุไม่ถึงยี่สิบก็สามารถรวบรวมดวงดาวได้สำเร็จ แต่เรื่องในวันนี้เกี่ยวพันลึกซึ้ง เจ้าจะสามารถแก้ไขได้อย่างไร!”
ชิวซานจวินมองเขาอย่างเงียบๆ และอยู่ๆ ก็พูดขึ้น “ท่านพ่อ สรุปแล้วท่านอยากจะทำอะไรให้กับข้ากันแน่”
ประมุขตระกูลชิวซานพูดขึ้น “พวกเราต้องการจะนำซูหลีและเงาทั้งหมดของเขา ลบทิ้งออกไปจากภายในเขาหลีซาน”
ชิวซานจวินถามขึ้น “เหตุใดพวกท่านถึงต้องทำเช่นนี้”
ประมุขตระกูลชิวซานพูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “มีเพียงเช่นนี้ ถึงจะสามารถรับรองได้ว่าในตอนที่เขาหลีซานถูกมอบให้แก่เจ้าจะใสสะอาดอย่างแท้จริง”
ชิวซานจวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ท่านพ่อ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนเช่นนี้”
ประมุขตระกูลชิวซานพูดขึ้น “ใช่ หากเจ้าไม่เต็มใจ อย่าว่าแต่เขาหลีซาน ต่อให้เป็นใต้หล้า เจ้าก็ไม่อยากได้ แต่เจ้าต้องรู้ชัดในจุดนี้ ซูหลี…จะต้องตายอยู่ภายในเมืองสวินหยาง ถ้าหากเจ้าอยากให้เขาหลีซานยังคงสามารถแข็งแกร่งเหมือนดั่งก่อนนั้น เจ้าก็ควรจะนำเอาความมีเหตุผลที่แท้จริงออกมา และมองดูความเป็นจริงนี้!”
ชิวซานจวินพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ “ดังนั้นข้าควรจะมอบศิษย์น้องเล็กออกไป เชิญหัวหน้าพรรคสละตำแหน่ง แล้วให้ตนรับตำแหน่งต่อ เช่นนี้แล้วถึงจะสามารถหลีกเลี่ยงความวุ่นวายภายในของเขาหลีซานไปได้ รักษากำลังเอาไว้ วางแผนถึงอนาคตจนชั่วลูกชั่วหลานอย่างนั้นหรือ”
ประมุขตระกูลชิวซานพูดขึ้นเสียงเข้ม “หรือว่าเช่นนี้ไม่ถูกต้องกัน”
“ถ้าหากจำเป็นต้องมองข้ามความเป็นจริง ถึงจะเรียกว่ามองเห็นความเป็นจริงได้ ถ้าอย่างนั้นความเป็นจริงเช่นนี้ไม่สู้มองข้ามดีกว่า เพราะว่าในภายหลัง ใครก็ไม่อาจจะมองข้ามการตัดสินใจทั้งหมดของตัวเองไปได้ ในใจจะต้องเกิดความเสียใจเป็นแน่” ชิวซานจวินมองบิดาของตนไปจนถึงผู้อาวุโสอีกสี่คนนั้น แล้วพูดขึ้น “พวกท่านนั้นชราแล้ว สามารถมีชีวิตอยู่ตามความเป็นจริงได้บ้าง แต่ว่าพวกข้ายังอายุน้อย ถ้าหากพวกข้าสามารถมีชีวิตรอดไปได้ ก็จะต้องมีวันเวลาอันยาวนานรอคอยพวกข้าอยู่ ข้าไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้ในภายหลังแล้วเกิดความเสียใจและเจ็บปวดขึ้นมา ดังนั้นข้าจะไม่ทำตามวิธีการของพวกท่าน”
พวกท่านนั้นชราแล้ว พวกข้ายังอายุน้อย
เจตจำนงไม่อาจประสาน การดำเนินการย่อมแตกต่าง
เมื่อได้ยินเสียงที่สงบนิ่งและแน่วแน่ของศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์เขาหลีซานมากมายก็รู้สึกราวกับมีน้ำบริสุทธิ์ไหลรินมาจากฝากฟ้าในทันที ดวงตาล้วนเปียกชื้น เจตจำนงกระบี่ได้ถูกชำระล้างจนกระจ่าง
ประมุขตระกูลชิวซานมองดุบุตรชายของตน ความรู้สึกนั้นซับซ้อนอย่างมาก ซับซ้อนจนถึงขั้นที่ยากจะจินตนาการได้ เขาภูมิใจ แต่กลับเจ็บปวด ภาคภูมิ แต่กลับโมโห เพื่อความวุ่นวายที่เขาหลีซานในวันนี้ ประมุขตระกูลชิวซานกับพรรคฉางเซิงและยังมีผู้แข็งแกร่งของเทียนหนานอีกมากมาย ได้วางแผนกันมานานขนาดนี้ จะยอมให้ล้มเหลวเพราะเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวได้อย่างไร! ใช่ ชิวซานจวินเป็นบุตรชายที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด เป็นอนาคตของตระกูลชิวซาน แต่ต้องรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องของชิวซานจวินเพียงคนเดียว แต่นี่เป็นเรื่องของตระกูลชิวซานนับพันปี!
ในที่สุด เขาก็ได้ทำการตัดสินใจแล้ว
เขามองไปที่ชิวซานจวิน และพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “ฟ้าดิน”
นี่เป็นตัวอักษรที่ธรรมดาอย่างมากสองคำ และที่ตามหลังตัวอักษรสองตัวนี้ ก็คือความเงียบสงบของยอดเขา และแสงกระบี่เหล่านั้นก็มืดคล้ำลงหลายส่วน
เพราะว่าทุกคนล้วนเดาได้ว่าตัวอักษรฟ้าดินสองตัวที่ประมุขตระกูลชิวซานพูดขึ้นมาจากคัมภีร์เล่มใด
นั่นเป็นบทแรกที่มีชื่อเสียงอย่างมากของคัมภีร์นิกายหลวง
ฟ้าดิน หลังจากนั้นคือพ่อลูก
นี่เป็นสัจธรรมของธรรมชาติ นี่เป็นสัจธรรมของมนุษย์
ไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านได้