ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 134 เหล่านักปราชญ์ที่แสนธรรมดา
“อันที่จริง บางครั้งข้าเองก็ไม่เข้าใจ ทำไมข้าถึงได้ให้กำเนิดเด็กที่ยอดเยี่ยมอย่างชิวซานออกมาได้” ประมุขตระกูลชิวซานมองไปยังเขาหลีซานที่ไม่ยอมไกลออกไปนั้นจากทางหน้าต่าง แล้วพูดขึ้น “ก็เหมือนกับที่ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ไม่เข้าใจ ทำไมเจ้าโง่อย่างสวีซื่อจีนั่น ถึงได้สามารถให้กำเนิดสวีโหย่วหรงออกมาได้”
เมื่อพูดประโยคนี้จบลง เขาก็ชะงักไป และเน้นหนักในน้ำเสียงขณะพูดขึ้นมา “แน่นอนว่าสวีซื่อจีไม่อาจเทียบกับข้าได้”
ผู้ติดตามตระกูลชิวซานรู้ว่าเขาพูดอะไร จึงยิ้มขึ้นน้อยๆ และพยักหน้าพูดขึ้น “เขานั้นห่างไกลกับท่านประมุขนัก”
คิ้วทั้งสองของประมุขตระกูลชิวซานเลิกขึ้นมา ไหนเลยจะเหมือนกับตอนก่อนหน้านี้ที่เป็นวีรบุรุษบนยอดเขาหลักผู้ฆ่าสังหารอย่างเด็ดขาด ตอนนี้ก็เหมือนกับบิดาที่น่าภาคภูมิอย่างบริสุทธิ์ใจ แล้วเขาก็พูดขึ้น “หลังจากที่สายเลือดของลูกข้าตื่นขึ้นมา ข้าก็บำเพ็ญเพียรและอ่านหนังสืออย่างสุดชีวิตมาโดยตลอด ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ร่ำเรียน ก็เพราะอยากจะไล่ตามรอยเท้าของเขา ไม่อยากที่จะเป็นตัวถ่วงเขา ดูแล้วในตอนนี้ ก็ยังถือว่าพอจะทำได้แล้ว”
รอยยิ้มของผู้ติดตามตระกูลชิวซานนั้นจริงใจอย่างมาก ถึงขนาดสามารถมองออกถึงความนับถือ…เดิมทีประมุขตระกูลชิวซานนั้นเป็นพวกเหลวไหลที่มีชื่อเสียงที่สุดในเทียนหนาน ดังนั้นก็เหมือนกับที่ชิวซานจวินไม่เคยเข้าใจเลยตั้งแต่เด็กนั่น หลายปีก่อนที่ประมุขตระกูลชิวซานคนก่อนตัดสินใจยกทั้งตระกูลให้กับประมุขตระกูลคนปัจจุบัน เขาเองก็ไม่เข้าใจ ต้องรู้ว่าตัวเขาในตอนนั้นเป็นถึงผู้แข็งแกร่งของเทียนหนานที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวแล้ว อีกทั้งเมื่อไล่ลำดับอาวุโสแล้ว เขาเป็นท่านอา จะมองอย่างไรก็ควรเป็นเขาที่ได้ปกครองตระกูลชิวซานถึงจะถูก ในภายหลังมือชิวซานจวินได้ถือกำเนิดขึ้นมา สายเลือดมังกรที่แท้จริงได้ตื่นขึ้น เขาคิดว่าที่ประมุขคนก่อนตัดสินใจก็เป็นเพราะเรื่องนี้ จึงเลิกไม่พอแล้ว สำหรับประมุขตระกูลก็ยังคงดูถูกอยู่ เขารู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นสวะที่ได้ดีเพราะลูก แต่ในตอนนี้ เขาไม่ได้คิดเช่นนี้ตั้งนานแล้ว เพราะว่าไม่มีใครคาดถึง หลังจากที่สายเลือดของชิวซานจวินตื่นขึ้นมา ประมุขตระกูลชิวซานก็เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้ออกไปเที่ยวสำมะเลเทเมาที่ข้างนอกอีก แต่กลับเริ่มขยันอ่านหนังสือและบำเพ็ญเพียรแทน
ในตอนนี้ประมุขตระกูลชิวซานก็เข้าวัยกลางคนแล้ว
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่เสียเวลาไปครึ่งชีวิตอยู่ๆ ก็เริ่มมุมานะขึ้นมา นั่นต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ขนาดไหนกัน จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นไร ไม่ถามก็รู้ แต่เขาถึงกับสามารถทำได้จริงๆ ในสิบกว่าปีมานี้ ตั้งแต่ที่ชิวซานจวินเริ่มหัดพูดไปจนถึงใช้กระบี่สร้างความรุ่งโรจน์ให้แก่เขาหลีซาน เขาเองก็ค่อยๆ พัฒนาจากขั้นทะลวงอเวจีขั้นต้นไปถึงขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นสูง ถึงแม้ดูไปแล้วจะไม่เท่าไหร่ แต่ที่จริงนั้นความลำบากช่างมากมายยิ่งนัก
เหตุผลแบบไหนกันที่ทำให้เขาสามารถทำเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการได้เช่นนี้ ก็เหมือนกับที่เขาพูด เขาไม่มีสายเลือดที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์เหมือนกับชิวซานจวิน ไม่มีทางที่จะตามรอยเท้าของลูกของตนได้ทัน แต่เขาก็หวังจะแข็งแกร่งขึ้นมาให้ได้มากที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นที่เป็นตัวถ่วงลูกของตน
“หวังว่าชิวซานจวินจะรีบเข้าใจถึงความลำบากของท่านประมุข” ผู้ติดตามมองเขาที่หน้าต่างแล้วพูดขึ้นอย่างจริงใจ
ประมุขตระกูลชิวซานพูดขึ้นอย่างสงบ “ต่อให้เขาไม่รู้ไปตลอดกาล เช่นนั้นแล้วจะเป็นไรไปเล่า”
ผู้ติดตามพูดขึ้น “แต่เรื่องในวันนี้อย่างไรเสียก็มีผลกระทบ”
ประมุขตระกูลชิวซานมองภูเขาขึ้นชื่อแห่งเทียนหนานลูกนั้นที่นอกหน้าต่าง หลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน ก็พูดขึ้น “ถูกแล้ว เรื่องที่เขาหลีซานในวันนี้มีปัญหามากมายจริงๆ เพราะว่าข้าคาดไม่ถึง ที่แท้ชิวซานก็เป็นเด็กเช่นนี้”
ผู้ติดตามเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงได้ถามขึ้น “ประมุข เดิมทีท่านคิดว่าเป็นอย่างไรกัน”
ที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องที่เขารวมไปถึงเหล่าคนสนิททั้งหมดภายในตระกูลชิวซานล้วนอยากรู้ เพราะว่าในหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลชิวซานได้ทำเพื่อชิวซานจวินไปมากมายหลายเรื่อง และก็ดูเหมือนว่าเรื่องพวกนี้ตัวชิวซานจวินเองก็ไม่รู้
“เดิมทีข้าคิดว่าในเมื่อเขาเป็นลูกชายของข้า เช่นนั้นก็ควรจะต้องเป็นคนที่เหมือนกับข้าอย่างมาก…พูดอีกอย่างหนึ่ง เดิมทีข้าคิดว่าโลกใบนี้ไม่มีทางมีคนที่สมบูรณ์แบบเหมือนกับลูกของข้า เช่นนั้นความสมบูรณ์แบบของเขาจะต้องเป็นของปลอมอย่างแน่นอน”
ใบหน้าของประมุขตระกูลชิวซานเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูแลมีความหมายไม่ชัดเจนขึ้นมา แล้วพูดขึ้น “ดังนั้นข้าคิดว่า…ลูกของข้าเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม ดังนั้นข้าจึงแอบทำเรื่องมากมาย พูดว่ากระทำแต่เรื่องชั่วช้าก็ไม่เกินไป เพียงเพื่อที่จะสร้างพื้นฐานที่ดีให้กับเขา สนับสนุนชื่อเสียงบนโลกของเขา รอคอยเพียงแค่ในวันใดวันหนึ่ง ในที่สุดเขาก็จะเปิดเผยความทะเยอทะยานที่แท้จริงของตนต่อหน้าผู้คนนับหมื่น”
“ยกตัวอย่างเช่นการมาสู่ขอที่จิงตูในครั้งก่อนหรือ”
“ถูกต้อง ข้าคิดว่าในเมื่อเขาอยากแต่งกับสวีโหย่วหรง แต่ก็ไม่อยากแบกรับชื่อเสียงที่ไม่ดี ถึงได้จงใจเลือกเวลาที่เหมาะเจาะ เขาไปแย่งกุญแจของสวนโจวกับเผ่ามาร ข้าผู้เป็นบิดาของเขา แน่นอนว่าต้องช่วยเขาทำเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”
ประมุขตระกูลชิวซานพูดขึ้น “ก็เหมือนกับในครั้งนี้ ข้าคิดว่าเขาแสร้งทำเป็นบาดเจ็บ เพื่อที่จะดึงตัวออกมาจากเรื่องนี้ ในเวลาเดียวกันก็ให้โอกาสตระกูลชิวซานได้เคลื่อนไหวต่อต้าน เป็นการวางแผนที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ใครจะคาดคิดว่าข้าได้คิดผิดไปแล้ว”
“ข้าคิดว่าลูกของข้าเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง”
เขามองไปยังภูเขาที่อยู่นอกหน้าต่างลูกนั้น แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “แต่ว่าไหนเลยจะมีพ่อคนใดที่ไม่หวังให้ลูกของตนเป็นวีรบุรุษที่แท้จริงกัน เพียงแต่ว่าการเป็นวีรบุรุษนั้นตายง่าย เช่นนั้นตัวข้าที่เป็นบิดาก็ทำได้เพียงกระทำเรื่องชั่วช้าต่อไป และแสดงเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอมต่อ เพื่อเป็นการรับรองว่าวีรบุรุษผู้นี้จะสามารถมีชีวิตรอดได้ วันใดในอนาคต ในตอนที่ทั้งโลกรู้ถึงความชั่วของข้า จำเป็นต้องให้เขาจัดการกับสายเลือดเพื่อความถูกต้อง ข้าค่อยตายภายใต้เงื้อมมือของเขา…เจ้าว่า นี่ช่างเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์แบบมากมายเท่าไหร่กัน”
เมื่อฟังคำพูดนี้จบ ในใจของผู้ติดตามก็เกิดความปลงอนิจจังขึ้นมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด ในใจคิดว่าประมุขช่างเป็นบิดาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกจริงๆ ความรักของเขาที่มีต่อชิวซานจวินช่างเห็นแก่ตัวและไม่เห็นแก่ตัวอะไรเช่น รุนแรงเสียจนทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว สิ่งใดก็ตามที่ขวางอยู่ตรงหน้าชิวซานจวิน คนที่ขวางไม่ให้เขาได้ไปสู่ทางช้างเผือกที่ส่องประกาย ล้วนถูกประมุขกำจัดไปสิ้น และทุกคนล้วนรู้กัน ต้าลู่ในตอนนี้ คนหนุ่มเพียงคนเดียวที่พอจะมีคุณสมบัติมาเทียบเคียงกับชิวซานจวินได้นั้น มีนามว่าเฉินฉางเซิง
ผู้ติดตามพลันเห็นใจเฉินฉางเซิงล่วงหน้าถึงอนาคตอันน่าอนาถที่เขาจะต้องเจอ
แน่นอน ก่อนอื่นเลยหัวหน้าสำนักฝึกหลวงหนุ่มผู้นั้นจะต้องสามารถมีชีวิตรอดจากเมืองสวินหยางให้ได้ก่อน
“แปดมรสุมเคลื่อนไหว ซูหลีจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าเฉินฉางเซิงจะต้องมีชีวิตรอดเป็นแน่”
ประมุขตระกูลชิวซานพูดขึ้นอย่างสงบ “เด็กหนุ่มผู้นั้นมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก ความเป็นมาก็ลึกลับอยู่บ้าง แม้แต่เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่อาจตรวจสอบได้ชัดเจนทั้งหมด จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยังไม่พูดอะไร โจวทงยังไม่ได้ลงมือ แน่นอนว่าข้าไม่มีทางลงมือก่อน”
……
……
เขาหลีซานเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมแห่งหนึ่ง เหลียงเสี้ยวเซียวใช้ชีวิตของตนเพื่อฆ่าคน ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาชิวซานจวินก็ใช้ชีวิตของตนช่วยคน คนเช่นนี้ก็มักจะไม่ตายง่ายๆ
เฉินฉางเซิงเองก็เป็นเช่นนี้ เพราะว่าเขากำลังช่วยคนมาโดยตลอด สายฝนในเมืองสวินหยางหนาวเหน็บเช่นนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุนี้หรือไม่ ใบหน้าของเขาถึงซีดขาวอยู่บ้าง บนเสื้อผ้าที่เปียกปอนล้วนเต็มไปได้รูจากกระบี่ แต่กลับไม่ได้เห็นสีของเลือดมากนัก เพราะว่าถูกสายฝนชะล้างออกไปแล้ว หลิวชิงมีใบหน้าที่แสนธรรมดา มีกระบี่ที่แสนธรรมดา ใช้กระบวนท่าที่ดูแล้วแสนจะธรรมดา แต่กลับมีระดับการบำเพ็ญเพียรในขั้นรวบรวมดวงดาวที่ยากจะจินตนาการได้
คนผู้นี้คือมือสังหารอันดับสามของแผ่นดิน ทุกกระบี่ของเขาล้วนเยือกเย็นราวเกล็ดน้ำแข็ง
แม้เฉินฉางเซิงจะเคยอาบเลือดมังกรมาก่อน ก็ไม่อาจต้านทานกระบี่ที่เยือกเย็นเล่มนั้นได้
ภายในช่วงระยะเวลาที่สั้นอย่างมาก เขาใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา ใช้กระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่เขาหลีซานออกมา และสกัดกระบี่ของหลิวชิงถึงหกครั้ง ในเวลาเดียวกันบนร่างของเขาก็มีรอยแผลขึ้นมาหกรอย
กระบี่แทงเข้าไปไม่ลึกมาก แต่ว่าเจ็บปวดอย่างมาก ยังดีที่เลือดที่ไหลออกมาไม่ได้มีกลิ่นอะไร ก็เหมือนกับการต่อสู้ที่ไร้รสชาตินี้
การเคลื่อนไหวของหลิวชิงนั้นจะแปลกประหลาดอย่างไร กระบี่ของเขาก็ไม่อาจแทงโดนซูหลี และทำได้เพียงแค่แทงลงบนร่างของเฉินฉางเซิง
เพราะว่ากระบี่ของเฉินฉางเซิงเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาดอย่างมาก ดังนั้นถึงได้แสนจะรวดเร็ว
ก็เหมือนกับกระบี่นั่นที่ชิวซานจวินใช้แทงตัวเองบนยอดเขาเขาหลีซาน
เขามองไปที่หลิวชิง ถึงใบหน้าจะซีดขาวแต่แววตากลับจริงจัง และพูดขึ้นทีละคำๆ “ข้าไม่มีทางให้เจ้าผ่านไปแน่”