ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 142 บทสนทนาถึงช่วงหนึ่งของชีวิตในยามอาทิตย์อัสดงสาดส่อง
บรรยากาศบนถนนแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อนาทีก่อนยังมีคลื่นซัดโหมกระหน่ำ นาทีให้หลังจะอย่างไรก็ควรจะมีแสงอาทิตย์อัสดง นำสุรามาดื่มพูดคุยกันอย่างเต็มที่ ใครจะคาดคิดเล่าว่ามันเหมือนกับได้เข้าสู่การพูดคุยเรื่องครอบครัว แน่นอน ใครๆ ก็รู้ว่าคำถามของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่
ถ้าหากมองตามปกติแล้ว คำตอบของเฉินฉางเซิงค่อนข้างจะแข็งกระด้างไปบ้าง มารยาทขาดตกไป แต่ที่ยอดเยี่ยมก็อยู่ที่ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ไม่ใช่คนธรรมดา และก็ไม่ใช่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ตามปกติในหน้าประวัติศาสตร์ นางชอบซูหลี นางกล้าชอบซูหลีที่ชอบองค์หญิงเผ่ามารผู้นั้น ดังนั้นนางจึงพอใจกับคำตอบของเฉินฉางเซิงอย่างมาก นางรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้สุขุม เรียบง่าย และทรงพลังอย่างมาก
นางมองเฉินฉางเซิงอย่างแฝงความนัยปราดหนึ่ง นี่เป็นความหมายอันลึกซึ้งอย่างแท้จริง ไม่เหมือนกับตอนแรกสุดที่นางมองซูหลีด้วยสายตาที่ซ่อนความรู้สึกอันซับซ้อนมากมายนั่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนสามารถเข้าใจได้…ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้นางมีมุมมองต่อเฉินฉางเซิงเช่นไร แต่อย่างน้อยที่ได้เห็นจากการพบหน้ากันในวันนี้ก็ยังถือว่าค่อนข้างพอใจอยู่
บางทีอาจเกี่ยวข้องอย่างมากกับการที่เฉินฉางเซิงผู้ซึ่งทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือดกำลังยืนอยู่ตรงหน้าของซูหลี
เมื่อมองมาในตอนนี้ สายฝนในเมืองสวินหยางได้หยุดลงแล้ว หมู่เมฆก็กระจายไปแล้ว และเผยให้เห็นท้องฟ้าที่แท้จริงที่อยู่ด้านหลัง
ไหนเลยจะยังมีดวงจันทร์ในแดนเหนืออะไรของเผ่ามาร และก็ไม่มีทางช้างเผือกใด มีเพียงแค่ท้องฟ้าสีคราม
อาทิตย์อัสดงที่ลอยอยู่ตรงทุ่งกว้างนอกเมืองสวินหยางที่ไกลออกไป ที่แท้ก็เป็นยามสนธยา
แสงอาทิตย์อัสดงราวหยาดโลหิต ส่องกระทบลงบนใบหน้าของหลิวชิงที่เต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดที่แข็งตัว ขับเสริมให้ดูน่ากลัวขึ้นหลายส่วน เขาเดินไปทางประตูเมือง และไม่ได้สนใจผู้ใดเลย
“เพราะอะไรกัน” ซูหลีมองไปที่เงาหลังของเขาแล้วถามขึ้น
หลิวชิงหยุดเท้าลง นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “ที่ข้าพูดกับจูลั่วเป็นความจริง”
ซูหลีพูดขึ้น “แน่นอนว่าข้ารู้ว่าที่เจ้าพูดเป็นความจริง”
หลังจากที่ออกจากค่ายทหารได้ไม่นาน เขาก็รู้ว่าหลิวชิงนั้นตามตนมาโดยตลอด เขาคิดมาตลอดว่าหลิวชิงต้องการฆ่าเขา ตลอดมาเขาไม่ได้ใส่ใจว่าหลิวชิงจะฆ่าเขา ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงเพราะเหตุผลข้อเดียว
เขารู้จักหลิวชิงมาหลายปีแล้ว เขารู้ความเคยชินและท่าทีในการลอบสังหารของหลิวชิงทั้งหมดทั้งสิ้น
เมื่อหลายปีก่อน เขาลาจากพวกหลิวชิงไปอย่างไม่ลังเล เขาคิดว่าตนไม่มีทางเกิดความคิดถึงใดๆ กับคนเหล่านั้น ที่จริงในช่วงวันเวลาอันยาวนานหลังจากนี้ เขาก็นึกถึงคนเหล่านั้นน้อยมาก ไม่ว่าจะมองอย่างไร หลิวชิงกับคนเหล่านั้นก็ล้วนเกลียดเหตุผลของตน เหตุผลที่จะฆ่าตน
“ความคิดของข้ากับพวกเขาไม่ตรงกัน พวกเขารู้สึกว่าท่านกับพวกข้านั้นไม่ติดค้างอะไรกันแล้วทั้งสองฝ่าย ข้ากลับคิดมาตลอดว่าท่านติดค้างพวกข้า ดังนั้นข้าจึงคิดจะฆ่าท่าน แน่นอนว่าครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของข้า”
หลิวชิงไม่ได้หันกลับไป เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “เดิมทีข้าคิดว่าในครั้งนี้ท่านจะต้องเหมือนสุนัขชราที่ตายอย่างน่าอนาถ ข้ามองดูแล้วจะต้องมีความสุขอย่างมาก แต่หลายวันมานี้ที่ตามท่านมา ยิ่งมองดูแล้วก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจ ท่านพาพวกข้าเข้าสู่อาชีพนี้ ท่านถูกเหยียดหยามก็เท่ากับพวกข้าถูกเหยียดหยาม ต่อให้ต้องฆ่าท่าน ก็มีเพียงข้าที่จะเป็นคนฆ่า จะปล่อยให้ผู้อื่นมาจัดการกับท่านได้อย่างไร”
ซูหลีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “อะไรวุ่นวายไปหมด”
หลิวชิงเงยหน้าขึ้นมา มองไปยังอาทิตย์อัสดงที่ไกลออกไปทางนอกเมือง แล้วพูดขึ้น “ที่จริงก็ง่ายดายอย่างมาก ข้าก็แค่เข้าใจขึ้นมาว่าเหตุใดในตอนนั้นท่านถึงลาจากพวกเราไป อย่างไรเสียท่านก็เป็นคนของเขาหลีซาน ชีวิตของท่านกับของพวกข้าเดิมทีก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว”
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ จูลั่วเคยกล่าวโทษอย่างโกรธแค้นว่าหลิวชิงเป็นคนของเขาหลีซาน
หลิวชิงไม่ได้ยอมรับ ถึงแม้เขาจะใช้เพลงกระบี่ของเขาหลีซานอย่างเปิดเผย แต่เขาก็เป็นมือสังหารผู้หนึ่งที่เดินอยู่ในเส้นทางแห่งรัตติกาล
เมื่อฟังคำพูดนี้ของหลิวชิงจนจบ ซูหลีก็นิ่งเงียบไปอย่างจริงจังพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ทำการอธิบายออกมาเป็นครั้งแรก กับเรื่องที่ตนเคยคิดว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เป็นอดีตช่วงหนึ่งที่ตัวเขาในยามหนุ่มมิได้ใส่ใจเลย
“ที่ข้าจากไปในตอนนั้น เหตุผลสำคัญเพราะว่าไม่มีความท้าทายเลย”
เขาพูดขึ้น “หรือว่าจะให้ทุกวันข้าต้องคิดว่าจะฆ่าราชามารกับคนชุดดำอย่างไร”
หลิวชิงมองไปยังอาทิตย์อัสดง และพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ภารกิจสุดท้ายที่พวกเรารับนั่น ตอนที่พูดถึงเรื่องนั้น ไม่ใช่ว่าออกจะน่าสนใจหรอกหรือ”
ต่อให้เผชิญหน้ากับทั้งสองผู้แข็งแกร่งอย่างจูลั่วกับกวนซิงเค่อ หว่างคิ้วของซูหลีก็ยังคงมองเห็นได้ถึงความสบายๆ และไม่ใส่ใจ แต่เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของหลิวชิงไปแล้ว สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมา
เขามองไปที่หลิวชิงแล้วพูดขึ้น “สตรีนางนั้นมิได้ฆ่าได้โดยง่าย ข้าเตือนให้พวกเจ้าอย่าได้คิดเชียว”
หลิวชิงไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาก็เดินออกไปทางนอกเมือง ไม่นานก็หายไปท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง
เฉินฉางเซิงไม่ค่อยเข้าใจคำพูดช่วงนี้ จึงเอ่ยถามกับซูหลีขึ้นมา “พวกท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไรหรือ”
ซูหลีพูดขึ้น “หลายปีก่อน มีคนขอให้ข้าไปฆ่าคนผู้หนึ่ง”
“ฆ่าใครกัน”
“เจ้าก็รู้จัก เทียนไห่”
ในสายตาของซูหลี บนโลกใบนี้มีสตรีที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่สามคนครึ่ง มีจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ไปจนถึงราชินีเผ่าปีศาจที่อยู่เมืองไป๋ตี้นางนั้น และยังมีนางบ้าที่อยู่ในเมืองเสวี่ยเหล่านั่นอีกคน
แต่ว่าที่ฆ่าได้ยากที่สุดตลอดกาลก็เป็นนางผู้นั้น
แน่นอนว่าก็คือเทียนไห่
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่เหล่าผู้อาวุโสของพรรคฉางเซิงบีบให้ผู้อาวุโสไปทำหรอกหรือ”
“ก็มีบางคนที่คิดจะใช้เงินจ้างให้ข้าไปทำ”
“ช่างบ้าเสียจริง”
“ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ล้วนมีราคาทั้งนั้น”
“ผู้อาวุโส คำพูดนี้ดูเหมือนควรจะออกมาจากปากของหลิวชิงมากกว่านะ”
“ออกมาจากปากของข้าแล้วน่าประหลาดมากหรือ”
“ผู้อาวุโส ท่านกับหลิวชิง…มีความสัมพันธ์อะไรกันแน่”
“ที่เขาเข้ามาเป็นมือสังหารก็เป็นข้าที่พาเขาเข้ามา ความสามารถของเขาข้าเองก็เป็นผู้สอน”
ซูหลีตอบอย่างไม่ใส่ใจ ก็เหมือนกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่น่าพูดถึง
เฉินฉางเซิงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เป็นความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง
ตอนที่อยู่ในทุ่งกว้างแล้วได้พบกับขุนพลเทพลำดับที่ยี่สิบแปดอย่างเซวียเหอ เขาได้ตัดแขนของเซวียเหอไปภายใต้การช่วยเหลือของซูหลี แต่กลับกังวลว่าเซวียเหอจะถูกหลิวชิงที่ซ่อนตัวอยู่ในทุ่งกว้างสังหารเอา ในเวลาเดียวกับที่ซูหลีบรรยายถึงความเป็นมาของหลิวชิง ก็ได้พูดถึงมืองสังหารที่อยู่ในอันดับหนึ่งของประกาศมือสังหารของหอความลับสวรรค์ผู้นั้น คำพูดที่ซูหลีมีต่อมือสังหารผู้นั้นก็มีความเคารพอยู่
เฉินฉางเซิงมองไปที่ซูหลี แล้วถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “หรือว่า…ผู้อาวุโสก็คือมือสังหารอันดับหนึ่งของแผ่นดินผู้นั้น”
“ในตอนที่ข้ายังหนุ่มอยู่ก็เคยทำอาชีพนี้อยู่ช่วงหนึ่ง”
“หลังจากนั้นเล่า”
“จะทำอาชีพใดก็ต้องรักในอาชีพนั้น แล้วก็ทำให้ได้ถึงที่สุด”
ซูหลีพูดราวกับว่ามันควรจะเป็นเช่นนั้น “เป็นมือสังหาร แน่นอนว่าข้าก็ต้องเป็นมือสังหารที่แข็งแกร่งที่สุด”
เฉินฉางเซิงตกตะลึงอย่างมาก ไม่อาจจะทำความเข้าใจได้ว่าทำไมผู้ยิ่งใหญ่ที่ละทางโลกเช่นนี้ถึงไปเป็นมือสังหารได้
ซูหลีมองไปที่ร่มกระดาษทองในมือแวบหนึ่ง และพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “ในเวลานั้น ขาดแคลนเงินอย่างมากจริงๆ”
เขาไม่ได้พูดจนจบ…ในตอนนั้นเขาขาดแคลนเงินถึงขนาดที่แม้แต่ร่มพังๆ ก็ยังซื้อไม่ไหว
ข้อสงสัยบางอย่างก็ได้ถูกไขกระจ่างไป
ในตอนนั้นเฉินฉางเซิงก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ซูหลีจะไปนับถือมือสังหารผู้หนึ่งได้อย่างไร ต่อให้จะเป็นมือสังหารอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ในตอนนี้ถึงได้เข้าใจ ที่แท้ความนับถือที่ว่า ก็เป็นเพียงแค่ความหลงตัวเองก็แค่นั้น
……
……
แสงอาทิตย์ในยามสนธยาค่อยๆ มืดลง ไม่ได้แดงดั่งโลหิตอีกแล้ว และดูเพิ่มความอ่อนโยนขึ้นมาอยู่บ้าง
แสงที่ดูศักดิ์สิทธิ์อย่างมากสายหนึ่ง ค่อยๆ ไหลเข้าสู่ร่างของหวังผ้อ บาดแผลก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ในโรงเตี๊ยมก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะจัดการฮว่าเจี่ยเซียวจางกับเหลียงหวังซุนในการโจมตีเดียว หวังผ้อได้จ่ายค่าตอบแทนไปมหาศาล ภายหลังเพื่อสกัดจูลั่วเอาไว้ ก็ยิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ในตอนนี้ถึงแม้โดยพื้นฐานจะดีขึ้นแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าอายุขัยที่เสียไปจะสามารถชดเชยกลับมาได้หรือไม่
วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกใช้โดยเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ช่างใกล้เคียงกับวิชาเทพจริงๆ วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ของนักบวชในพระราชวังหลี กระทรวงสิบสามชิงเหย้า ไปจนถึงเหล่าศิษย์ของสถานศึกษาหนานซีเมื่อนำมาเทียบกันแล้ว ก็ราวกับเป็นแสงหิ่งห้อยที่มาอยู่ต่อหน้าแสงของดวงดาว
หวังผ้อลุกขึ้น ทำความเคารพแสดงความขอบคุณต่อเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
เขาไม่มองซูหลีเลยแม้แต่แวบเดียว เพราะว่าเขาไม่ชอบซูหลี เขามายังเมืองสวินหยาง ก็เพื่อเรื่องราวและเหตุผล ไม่ใช่เพื่อคนผู้นี้
เขาเดินไปที่เบื้องหน้าของเฉินฉางเซิง แล้วพูดขึ้น “พวกเราเคยเจอกันมาก่อน”
หลายเดือนก่อนที่หน้าประตูหลักของสุสานเทียนซู เฉินฉางเซิงกับหวังผ้อเคยมีโอกาสได้พบกันครั้งหนึ่ง
คืนนั้นก็เป็นคืนที่สวินเหมยล้มเหลวในการบุกฝ่าถนนเสินและได้ตายไป
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ขอรับ ผู้อาวุโส”
คิ้วของหวังผ้อตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง มองดูแล้วค่อนข้างจะไม่มีชีวิตชีวาเท่าไหร่นัก น้ำเสียงเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน “เจ้าไม่เลว”
เฉินฉางเซิงรู้สึกดีใจอย่างมาก เพราะว่าเขาก็รู้สึกว่าหวังผ้อเป็นผู้อาวุโสที่ดีคนหนึ่งจริงๆ
เด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์มากมายล้วนเลื่อมใสซูหลี แต่เขาไม่เลื่อมใส เขารู้สึกว่าซูหลีน่ารำคาญอย่างมาก ถึงแม้ซูหลีจะสอนเขาหลายสิ่งหลายอย่าง เขารู้สึกว่าเมื่อเทียบกับหวังผ้อแล้ว ทุกสิ่งของซูหลีล้วนดูผิดไปหมด ถึงแม้ซูหลีจะแข็งแกร่งกว่าหวังผ้อมากมายนัก…แต่ว่าในสิบหกปีมานี้ เขาเลื่อมใสเพียงแค่ศิษย์พี่อวี๋เหรินของเขาเท่านั้น ในตอนนี้คนที่เขาเลื่อมใส ก็ดูเหมือนว่าจะมีคนที่ชื่อหวังผ้อเพิ่มขึ้นมา
อีกด้านหนึ่ง ในที่สุดซูหลีก็ถามคำถามนั้นขึ้นมา “นางหนูของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้น “เขาหลีซานส่งจดหมายมา น่าจะไม่เป็นอะไรมาก”
ซูหลีถามขึ้น “เช่นนั้นเขาหลีซานเป็นอย่างไรบ้าง”
เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้น “ข้ารีบออกมา รู้เพียงแค่ว่ามีปัญหาบางอย่าง”
คิ้วกระบี่ของซูหลีเลิกขึ้นมา หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ตกลง หลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงได้พูดขึ้น “มีชิวซานอยู่ น่าจะไม่เป็นอะไร”
เฉินฉางเซิงได้ยินชื่อชื่อนั้น จิตใต้สำนึกก็สั่งให้หันหน้าไปมอง