ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 16 ชีวิตถ้าเป็นเช่นแรกเจอ (10)
ปีศาจแร้งน่ากลัวและยิ่งใหญ่กว่าอสรพิษวารี รวดเร็วปานอสนีบาต การโจมตีแปลกประหลาดไร้ที่เทียบ อยากจะรอดชีวิตออกมาจากการล้อมโจมตีของปีศาจแร้งหลายร้อยตัว วิธีที่ดีที่สุดไม่ใช่หลบหนี แต่เป็นการพยายามฆ่าพวกมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉะนั้นวิธีของนางก็จะต้องรวดเร็วกว่า กะทันหันกว่าฟ้าแลบ ต้องรุนแรงบ้าคลั่งกว่าลมฝน
มองเงาแร้งเต็มท้องฟ้า นางนิ่งเย็นชาไม่พูดจา ปีกขนนกที่ขาวบริสุทธิ์ขยับไปมาอย่างช้าๆ อยู่ด้านหลัง
นอกจากอสรพิษวารีและปีศาจแร้ง ในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลแห่งนี้ แน่นอนว่ายังมีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า แต่นางไม่อาจนำวิธีที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองเก็บไว้ใช้ในเวลานั้นได้
ไม่มีการลังเลใดๆ ส่วนลึกที่สุดของนัยน์ตาของนางเกิดเปลวไฟที่สว่างวาบขึ้น แม้แต่ต้นตอของพิษที่เขียวอึมครึมเหล่านั้นยังถูกกดทับลงไปชั่วคราว
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ! ขนปีกสีขาวจำนวนมาก พุ่งออกไปจากปีกนก กลายเป็นลูกธนูจำนวนมาก บินไปยังในท้องฟ้า!
หงส์สวรรค์หมื่นเส้น!
ปีศาจแร้งหลายร้อยตัวรู้สึกถึงกลิ่นอายพลังปราณศักดิ์สิทธิ์จากในขนนกสีขาวเหล่านั้น ต่างพากันกระจัดกระจายออกไปด้วยเสียงร้องที่ตกตะลึง ท้องฟ้ากลับมาเป็นสีฟ้าเหมือนเดิม
แต่ปีศาจแร้งเหล่านั้นไม่สามารถเห็นท้องฟ้าแห่งนี้ได้อีก เนื่องจากขนหงส์เหล่านั้นมาเร็วเกินไป เร็วยิ่งกว่าฟ้าผ่า
ท้องนภาสีฟ้าปรากฏจุดแสงแห่งความศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์จำนวนมากสว่างขึ้น
ขนสีขาวเหล่านั้นดั่งลูกธนูแหลมเสียบเข้าไปในร่างกายของปีศาจแร้งเหล่านั้น ดั่งมีดคมกรีดขนปีศาจแร้งเหล่านั้นออก
ในเวลาหนึ่ง ในท้องฟ้าทุกแห่งเต็มไปด้วยภาพปากบิ่นปีกแหว่ง หยดเลือดจำนวนมาก เหมือนกับพลุไฟแตกกระจาย
สวีโหย่วหรงกลับไม่สนใจแล้ว ไม่มองไปยังบนท้องฟ้าอีกแม้สักปราดหนึ่ง
ไม่รู้เวลาใด หินผลึกเหล่านั้นที่อยู่บนกองหญ้าเขียวเริ่มปล่อยเส้นแสงที่บริสุทธิ์และอบอุ่น เส้นแสงเหล่านั้นไหลเข้าไปในร่างกายนางอย่างต่อเนื่อง
นางมองไปยังบริเวณรอบๆ ของที่ราบทุ่งหญ้า ดึงสายธนูถงอีกครั้งอย่างสงบ
……
……
พระอาทิตย์ในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลนั้นไม่หลับใหล จึงไม่มีเวลาที่ดวงตะวันหลับใหล แต่มีเวลาพลบค่ำ ดวงตะวันในเวลานั้นจะกลายเป็นกลุ่มก้อนแสง เส้นแสงในระหว่างฟ้าดินจะมืดหม่นลงไปมาก
เวลาพลบค่ำ หญ้าน้ำแห่งนี้ทั้งหมดถูกย้อมเป็นสีแดง ไม่ว่าเสียงพิณที่อยู่ไกลสายนั้นจะแข็งทื่อรุนแรงอย่างไร ในที่สุดสัตว์อสูรก็ถอยจากไป ตอนมาเหมือนคลื่น ตอนไปก็เหมือนคลื่น จู่ๆ ก็หายไปอย่างไร้วี่แวว
มีปีศาจแร้งอย่างน้อยหลายพันตัวตายในบริเวณรอบของดงหญ้าน้ำ ศพส่วนใหญ่ล้วนถูกสัตว์อสูรเผ่าอื่นกระทั่งเพื่อนพ้องของตัวเองลากไปเป็นอาหาร เนื่องจากจำนวนมากเกินไป ในหญ้าน้ำยังหลงเหลือศพพิการของสัตว์อสูรจำนวนมาก คราบเลือดเหล่านั้นค่อยๆ จมลงไปในโคลน รอยเลือดที่ถูกคลื่นน้ำตีบริเวณขอบของกองหญ้าเขียวกลับไม่สามารถหายไปได้
เส้นแสงที่มืดมนจากเส้นแนวราบที่อยู่บริเวณห่างไกลของที่ราบทุ่งหญ้าส่องเฉียงเอียงเข้ามา ทำให้ภาพดูนองเลือดยิ่งกว่าเดิม
สีหน้าของสวีโหย่วหรงขาวซีดมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้น่ารังเกียจเกินไป หรือว่าเป็นเพราะสาเหตุของสภาพบาดแผล
หินผลึกที่อยู่ข้างกายนางเหล่านั้น ตอนนี้ล้วนกลายเป็นผงสีเทาขาวไปหมดแล้ว ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายพลังปราณของพลังเลยสักนิด
นางค่อยๆ วางธนูถงในมือของตัวเองลงอย่างช้าๆ ยื่นนิ้วมือออกมาแตะผงหินผลึกขึ้นมานิดหนึ่งอย่างแผ่วเบา เพื่อที่จะบรรเทาความเจ็บปวดของนิ้ว รักษาบาดแผลบริเวณนิ้วที่ถูกบาดด้วยสายธนู
ถ้าไม่มีหินผลึกเหล่านี้ นางไม่สามารถโจมตีคลื่นอสูรครั้งนี้ให้ถอยไปอย่างแน่นอน
ความจริงแล้ว นอกจากพระราชวังหลีและพระราชวังรวมถึงเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และพรรคฉางเซิงสี่สถานที่นี้ นางไม่เคยเห็นหินผลึกจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน
ปริมาณของหินผลึกเหล่านี้มีความมากเกินไปเล็กน้อยอย่างแท้จริง
นางมองไปยังเฉินฉางเซิงที่ยังคงหลับลึกอยู่ คิดอย่างเงียบขรึม พรรคภูเขาหิมะสมกับที่เป็นพรรคที่มีการสืบทอดสะสมมาเป็นเวลาหมื่นปี อีกทั้งก็เหมือนกับมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่พวกเขาสืบทอดกันมา ช่างให้ความสนใจกับการสะสมหินผลึกและสมบัติล้ำค่าจำนวนมากอย่างแท้จริง ศิษย์ลึกลับของพรรคภูเขาหิมะผู้นี้ คาดไม่ถึงว่าจะพกหินผลึกจำนวนมากขนาดนี้ไว้กับตัวได้
ขนปีกหงส์ที่ขาวบริสุทธิ์เก็บกลับเข้าร่าง ในระยะเวลาอันสั้น กระทั่งจากการคำนวณสามารถเห็นได้ว่าในระยะเวลาอันใกล้นี้ไม่อาจกางออกมาได้อีกครั้ง ในตอนนี้นางเหนื่อยล้าอย่างที่สุด ปราณแท้ใช้จนหมด ปริมาณเลือดแห้งเหือด เห็นถึงสถานการณ์ที่เรียกว่าน้ำมันตะเกียงใกล้หมดเปลวเพลิงจวนมอดอย่างแท้จริงแล้ว ถ้ามีศัตรูปรากฏขึ้นมาอีก จะต้องตายเป็นแน่
นางกระทั่งไม่มีความสามารถที่จะขยับตำแหน่งไปที่ตรงกลางของกองหญ้าเขียว ยังไม่ทันเอาธนูยาวลงจากหัวไหล่ กอดเข่าทั้งคู่ นั่งอยู่ข้างน้ำ ปล่อยให้เลือดที่มีกลิ่นน่ารังเกียจเหล่านั้นทำชายกระโปรงเปียก
ราวกับในท่ามกลางความมืดมีความเชื่อมโยงบางอย่าง ในตอนที่นางโดดเดี่ยวไร้ความช่วยเหลือมากที่สุด ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด ต้องการพักผ่อนมากที่สุด เฉินฉางเซิงตื่นขึ้นมา
นางไม่ได้หันกายก็รู้ว่าเขาลืมตาแล้ว พูดว่า “เจ้าตื่นแล้ว?”
แม้จะอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าในสวนโจว ไม่ใช่อยู่ที่วัดเก่าเมืองซีหนิง และก็ไม่ใช่สำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงยังคงคุ้นชิน หรือจะพูดว่ายืนกราน ใช้เวลาห้าลมหายใจในการสงบจิตใจ จากนั้นก็ค่อยมองไป
เพียงแต่เมื่อมองนางปราดหนึ่งจากในดงหญ้า เขาก็เกิดความรู้สึกผิดและความต้องการขอโทษที่รุนแรง สังเกตเห็นว่าตัวเองไม่ควรที่จะเสียดายเวลาห้าลมหายใจนั้น
สวีโหย่วหรงกอดเข่าทั้งคู่ นั่งอยู่ข้างขอบของกองหญ้าเขียว ปล่อยให้รอยเลือดม้วนกระแทกเข้ามา เงาหลังมองดูแล้วน่าสงสารอย่างยิ่ง
“ใช่ ข้าตื่นแล้ว” เฉินฉางเซิงลุกขึ้นมาเดินไปที่นาง เขาอยากพยายามเดินให้เร็วกว่านี้ แต่เป็นเพราะผลกระทบจากความหนาวเหน็บของเกล็ดน้ำแข็ง ร่างกายราวกับถูกแช่แข็ง
สวีโหย่วหรงยังคงไม่ได้หันศีรษะ เพราะว่าเหนื่อยจนขนาดแรงในการหันศีรษะยังไม่มี พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เช่นนั้นก็เปลี่ยนกะเถอะ”
พูดประโยคนี้เสร็จ นางค่อยๆ ขยับเอียงข้าง กอดหัวเข่า เอาหน้าวางอยู่ที่เข่า แล้วก็นิ่งไม่ขยับนอนหลับไปทั้งอย่างนี้
เฉินฉางเซิงเดินไปถึงที่ข้างกายนาง มองตาปิดสนิทของนาง สีหน้าที่ซีดขาวราวหิมะ เขาเงียบขรึมไปสักพัก
เขาถอดธนูยาวที่ไหล่ของนางออกมาเบาๆ มือขวายื่นเข้าไปที่ส่วนงอของขา มือซ้ายพยุงหัวไหล่ของนาง อุ้มนางตามแนวราบ พาออกมาจากขอบข้างกองหญ้าที่ปนเปื้อนไปด้วยเลือด
ระหว่างนี้ นางไม่ได้ตื่นขึ้นมา ขนตาไม่กะพริบ ตอนถูกวางลงมา ยังคงเป็นท่านอนที่กอดเข่า
จอนผมขาวดั่งคนจร แรกพบพานดั่งสหายเก่า ไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก ขนาดชื่อของคนแปลกหน้าฝ่ายตรงข้ามยังไม่รู้ แต่สามารถเอาชีวิตของตัวเองฝากไว้ได้
เพียงแค่ดูว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นคนอย่างไร ดูว่าฝ่ายตรงข้ามให้ความเชื่อใจเจ้าได้มากเท่าไร แล้วเจ้ายอมที่จะเอาความเชื่อใจเท่าไรคืนกลับไป
จนกระทั่งตอนนี้ เขาและนางพูดรวมกันทั้งหมดไม่กี่ประโยค แต่ตอนที่เขาตื่นขึ้นมา นางก็สามารถนอนหลับไปอย่างวางใจ ครั้งนางตื่นขึ้นมา เขาก็สามารถกรนเสียงดังดั่งฟ้าผ่า ในตอนเริ่มแรกสุด นางช่วยชีวิตเขาไว้ก่อน จากนั้นเขาก็พยายามปกป้องนาง และในระหว่างนี้ ความเชื่อใจแน่นอนว่าย่อมเกิดขึ้น อีกทั้งกำลังยิ่งมายิ่งแนบแน่น
เฉินฉางเซิงทะนุถนอมเห็นคุณค่าความรู้สึกที่ถูกเชื่อใจเช่นนี้
เขาเอากระบี่สั้นออกมาจากปลอกกระบี่ กำไว้ในมืออย่างแน่นหนา นั่งอยู่ข้างหน้านาง มองที่ราบทุ่งหญ้าที่อยู่ข้างหน้าที่ยิ่งมายิ่งมืดมน
เวลานี้ เขาเพิ่งเห็นหญ้าน้ำที่ถูกเลือดย้อมจนเหมือนหมึก เห็นซากศพแหว่งวิ่นของสัตว์อสูรเหล่านั้น พอจะรู้ว่าตอนที่ตัวเองหลับลึกอยู่นั้นเกิดอะไรขึ้น
เขาเงียบขรึมไปเป็นเวลานาน
วิชาธนูของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ ยอดเยี่ยมยากจะบรรยายอย่างที่คาด แต่…ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาถอดธนูยาวให้นาง สัมผัสได้ว่าสายธนูยังร้อนอยู่
ในการต่อสู้สนามนี้ที่เขาไม่ได้เห็น จริงๆ นางดึงสายธนูไปกี่ครั้ง ยิงลูกธนูออกไปจำนวนเท่าไร? นางทนได้อย่างไร?
ในที่สุดกลางคืนก็มาถึงอย่างแท้จริง พระอาทิตย์ที่ห้อยอยู่ขอบที่ราบทุ่งหญ้ามืดจางกว่าเดิม แม้จะไม่ได้จมลงไป แต่เส้นแสงที่ตกทอดอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าน้อยกว่าเดิมมาก
เขานั่งอยู่ข้างนาง มองที่ราบทุ่งหญ้าในแสงค่ำคืนอย่างเงียบเชียบ รอคอยการต่อสู้ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ กลุ่มก้อนแสงที่ห้อยอยู่ข้างที่ราบทุ่งหญ้าค่อยๆ เดินวนรอบ ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ก็มองไม่เห็น ที่จริงแล้วเพราะถูกเมฆมืดบัง
อาจจะเป็นเพราะว่าตอนกลางวันถูกสังหารจนอนาถเกินไป สัตว์อสูรไม่ลุกฮือขึ้นมาโจมตีอีกครั้ง ในท้องฟ้ากลับมีฝนตกลงมา
สภาพอากาศในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้อบอุ่นพอสมควร แต่น้ำฝนที่ตกลงมาจากในท้องฟ้ายังคงมีความหนาวเย็นเล็กน้อย สภาพร่างกายในตอนนี้ของเขาและสวีโหย่วหรง ถ้าเปียก ไม่แน่อาจเกิดการไม่สบายครั้งใหญ่ก็เป็นได้
เขาแม้แต่คิดก็ไม่คิด กางร่มกระดาษทองออกมา ยกอยู่เหนือสวีโหย่วหรง
แต่ท่านี้มีความไม่สบายเล็กน้อย ไม่ว่าร่มกระดาษทองจะใหญ่แค่ไหน ก็ไม่สามารถบังฝนได้ทั้งหมด
มองชายกระโปรงของนางที่ค่อยๆ ถูกน้ำฝนทำให้เปียก เขายังคงแม้แต่คิดก็ไม่คิด ยืนขึ้นมา
ฝนเย็นตกลงไปในหญ้าน้ำ โจมตีออกมาเป็นวงน้ำจำนวนมาก ตกลงไปบนกองหญ้าสีเขียว เกิดความเหน็บหนาวจำนวนมาก
มือซ้ายของเขายกร่มกระดาษทอง ยืนอยู่ข้างหลังนาง มือขวาถือกระบี่สั้น มองโลกท่ามกลางฝนห่าใหญ่
เวลาหนึ่งคืนผ่านไป เขาตั้งแต่ต้นจนจบรักษาท่านี้เอาไว้
สัตว์อสูรยังคงไม่ปรากฏออกมา ในที่สุดรุ่งอรุณก็มาถึง เมฆมืดกระจายหายไป ท้องนภาสีฟ้ากลับมาปรากฏแก่สายตาอีกครั้ง แสงหม่นที่ข้างที่ราบทุ่งหญ้าค่อยๆ ชัดเจน ขอบข้างแหลมคม เส้นแสงที่แดงอุ่น ค่อยๆ อบกองหญ้าเขียวที่ถูกฝนพรำจนเปียก รวมถึงความเปียกในเสื้อของเฉินฉางเซิง
สวีโหย่วหรงตื่นแล้ว มองไปยังหน้าขาวซีดของเขา คิดด้วยความไม่เข้าใจว่า เมื่อคืนไม่มีการต่อสู้ ทำไมสภาพบาดแผลของเขากลับหนักกว่าเดิม?
เฉินฉางเซิงไม่ได้อธิบายว่าเมื่อคืนตัวเองชูร่มทั้งคืน ฝนเหน็บหนาวเหล่านั้นทำหลังของเขาเปียก
ตั้งแต่คืนก่อน พวกเขาก็หนีตายหรือต่อสู้อย่างต่อเนื่อง คนหนึ่งสลบคนหนึ่งตื่น นี่เป็นครั้งแรกที่พูดคุยสนทนากันภายใต้สภาพที่ฟื้นตื่น บทสนทนาท่อนนั้นในถ้ำหน้าผา อย่างไรก็สั้นเกินไป แม้ว่าตอนนี้ระหว่างพวกเขาจะเชื่อใจมากอย่างยิ่ง กระทั่งเหมือนมีความเข้าอกเข้าใจกันโดยปริยายบางอย่างเกิดขึ้น แต่เวลาที่ตื่นสมองปลอดโปร่ง ถึงจะสังเกตได้ว่าระหว่างกันยังคงเป็นคนแปลกหน้า ฉะนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกห่างเหินบ้าง
เฉินฉางเซิงนึกย้อนหลังถึงในโรงเตี๊ยมสวนหลีจื่อที่จิงตู ภาพตอนที่เห็นถังซานสือลิ่ว…ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกของเขาในชีวิตที่คบค้าสมาคมกับคนแปลกหน้า ครั้งแรกที่ลองถามร้อนถามหนาว แม้ภายหลังจะรู้สึกว่าโง่งมเล็กๆ แต่อย่างน้อยเข้าใจเหตุผลพื้นฐานบางอย่าง อย่างเช่นจำต้องเปิดปากเพื่อทำลายความเงียบขรึม
ในที่ราบทุ่งหญ้าที่อันตรายแห่งนี้ ถามร้อนถามหนาวเป็นสิ่งที่เสียเวลาที่รับไม่ได้ เขาถามตรงๆ ว่า “เจ้ามีความเข้าใจอะไรต่อที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้?”
เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด ในคำเล่าลือนั้นสามารถสนทนากับต้นไม้ใบหญ้าได้ ฉะนั้นเขาอยากจะลองฟังดูว่านางมีวิธีอะไร
สวีโหย่วหรงส่ายหัวไปมา พูดว่า “ไม่มีใครเข้าใจที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “ถ้าไม่รังเกียจ ให้ข้าตัดสินใจทิศทาง ได้ไหม?”
สวีโหย่วหรงไม่ค่อยเข้าใจ มองเขาพลางถามว่า “เจ้ารู้ว่าจะไปที่ไหน?”
ตอนที่สวีโหย่วหรงกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง จู่ๆ รู้สึกถึงกลิ่นอายพลังปราณสายหนึ่งที่อยู่ภายนอกหลายร้อยจั้ง
นั่นเป็นกลิ่นอายพลังปราณของหนานเค่อ
ช่องว่างและเวลาในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลล้วนมีความประหลาดเล็กน้อย มองดูเหมือนระยะห่างที่มีเพียงหลายร้อยจั้ง ความจริงแล้วอาจจะยังห่างไกลมาก
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกถึงแล้ว
นางไม่พูดอะไรมากอีก ทำการตกลงแสดงความยอมรับการตัดสินใจของเฉินฉางเซิง แต่กลับไม่ลุก เฉินฉางเซิงเข้าใจ ตอนนี้นางอ่อนแอเกินไป อีกทั้งสภาพบาดเจ็บหนักเกินไป ยากมากที่จะเคลื่อนไหวอย่างอิสระในระยะเวลาอันสั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่เป็นสถานการณ์แบบนี้ เมื่อวานนางฆ่าสัตว์อสูรจำนวนมากเช่นนั้นได้อย่างไร?
เขาหันหลังไป พูดว่า “ถ้าเจ้าไม่รังเกียจ”