ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 18 ชีวิตถ้าเป็นเช่นแรกเจอ (12)
นั่นเป็นวัดเก่าเล็กๆ ที่ทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ถูกลมฝนค่อยๆ กร่อนจนผุพัง ทำได้เพียงสังเกตจากซากบูชาสัตว์อสูรที่หลงเหลือบริเวณชายคา จึงจะพอมองออกถึงกฎเกณฑ์และการใช้งานเมื่อครั้งก่อนโน้น
ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนที่หน้าวัด เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงล้วนไม่ได้พูดอะไร เงียบสงบมาก
นี่เป็นวัดบูชาแห่งหนึ่ง
หญ้าขาวปูทาง มุ่งสู่ทะเลดวงดาว พันลี้หนึ่งบูชา
วัดบูชาทรุดโทรมแห่งนี้อยู่ข้างถนนหญ้าขาว แปลว่าสิ่งที่พวกเขาคาดเดาไว้ไม่ผิด ถนนเส้นนี้เชื่อมไปที่สุสานบางแห่งจริง…ไม่ใช่หลุมฝังศพทั้งหมดสามารถเรียกว่าสุสาน พันปีที่ผ่านมา นอกจากจักรพรรดิสามรัชกาลก่อนหลังราชวงศ์ของต้าโจว มีเพียงหนึ่งคนที่กล้าเรียกหลุมฝังศพของตนเองว่าสุสาน เนื่องด้วยเหตุผลนี้จึงแก้กฎเกณฑ์การก่อสร้าง อีกทั้งไม่ว่าเป็นใครก็ล้วนไม่กล้าคัดค้านใดๆ
คนนั้นแน่นอนว่าคือโจวตู๋ฟู
“นี่ก็คือวัดต้นสักการะในตำนานหรือ?” เฉินฉางเซิงมองวัดเก่าคร่ำแห่งนั้นท่ามกลางม่านฝนรัตติกาล พูดพึมพำ
สุสานกษัตริย์สามแห่งของราชวงศ์ต้าโจว ต่างมีความโอ่อ่าโอฬารแตกต่างกัน แต่มีเพียงวัดต้นสักการะที่อยู่นอกรัศมีพันลี้ถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เสี่ยงปลดออก เพราะเหนียงเหนียงรู้สึกว่าวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลเป็นพันลี้ นอกจากเอางบประมาณมาป้อนข้าราชการฝ่ายขนบธรรมเนียมที่ไร้ประโยชน์แล้ว ไม่มีความหมายใดๆ อีกทั้งยังเป็นการสิ้นเปลืองอย่างยิ่ง
เรื่องนี้ก็เหมือนกับตอนนั้นที่นางสั่งให้โจวทงไปทำลายกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์หลังนั้นที่สุสานเทียนซูอย่างหมดจด มีเหตุผลอย่างยิ่ง และก็ไร้เหตุผลสิ้นดีในเวลาเดียวกัน
วัดเก่าเสื่อมโทรมเล็กๆ หลังนี้ น่าจะเป็นวัดต้นสักการะหนึ่งเดียวของทั้งต้าลู่
ฝนกลางคืนโปรยลงมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมายิ่งมาก กลุ่มก้อนแสงวงนั้นที่บริเวณไกลๆ ด้านบนของที่ราบทุ่งหญ้า หายไปอย่างไร้วี่แววนานแล้ว ฟ้าดินหม่นมัวไปทั่ว
เฉินฉางเซิงแบกสวีโหย่วหรงยืนอยู่ท่ามกลางฝน ไม่ได้เดินเข้าไปในวัดแห่งนั้นเพื่อหลบฝน ไม่รู้เพราะเหตุใด
แต่ก่อนแน่นอนว่าต้องมีผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่เก่งกาจยอดเยี่ยมหรือผู้แข็งแกร่งเผ่ามาร เหมือนกับพวกเขา หาถนนหญ้าขาวเส้นนี้เจอ เห็นวัดแห่งนี้
จากนั้น คนเหล่านั้นก็มุ่งตรงเข้าไปที่สุสานแห่งนี้ต่อ
ในที่สุด ล้วนตายหมด
เขาถามว่า “พวกเราสามารถกลับหลังได้ไหม?”
“ไม่ได้ นี่เป็นถนนที่ไม่สามารถหันหลังกลับ” สวีโหย่วหรงส่ายหัวไปมา
ขณะที่เฉินฉางเซิงหลับลึกเมื่อสองครั้งก่อน นางเคยใช้ถาดดาวโชคชะตาคำนวณ ผลลัพธ์จากการคำนวณไม่ดีอย่างยิ่ง แม้ว่าคำนวณโชคชะตาของตัวเองได้ไม่แม่นยำ แต่เส้นทางชีวิตของเขายังคงมืดมนเหมือนเดิม อีกทั้งถ้าพวกเขาไม่เดินหน้าต่อไปอีก แต่เป็นกลับหลัง ฉะนั้นจะหลงทางอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้อย่างแน่นอน
พวกเขาทำได้เพียงเดินไปข้างหน้า แต่แล้วจะต้อนมาซึ่งจุดจบเหมือนกับคนก่อนหน้าเหล่านั้นไหม?
ที่หน้าวัดนอกจากเสียงน้ำฝนเปาะแปะก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก
สีหน้าของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงค่อยๆ สงบ สายตาค่อยๆ สงบ กลับมาสงบนิ่งดุจเดิม
ไม่มีถาม ไม่มีตอบ ไม่มีการมองซึ่งกันและกัน ไม่รู้ว่าต่างคนต่างคิดอะไร แต่พวกเขาล้วนเชื่อมั่นว่าตัวเองจะไม่เหมือนคนก่อนหน้าเหล่านั้นอย่างแน่นอน
……
……
น้ำฝนตกลงมาจากบนชายคา กระทบเป็นน้ำกระเซ็นที่บันไดหินที่ขาดตอน ยังไม่ทันได้กระเด็นออกมา ก็ถูกฝนที่มากกว่านั้นกลืนเข้าไป ในวัดมีกองไฟเผาอยู่ รูปปั้นแกะสลักจากไม้ที่ไม่รู้ว่าวางไว้กี่ร้อยปี หลังถูกผ่าเป็นฟืนไร้ประโยชน์ กลิ่นที่เกิดจากการเผาไหม้ค่อนข้างแรง เฉินฉางเซิงนั่งยองๆ อยู่ข้างกองไฟ ดึงฟืนเปียกๆ ออกมาจากข้างในอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันใช้เชิงเทียนพลิกรากไม้ไม่กี่ชิ้นนั้นท่ามกลางกองไฟ
สวีโหย่วหรงพิงอยู่บนกองหญ้า สีหน้าขาวซีดเล็กน้อย แลดูอ่อนแอยิ่ง จากสภาพบาดแผลและสภาพการไหลเวียนเลือดแท้ของนาง สามารถอดทนถึงตอนนี้ได้ ระหว่างทางยังชนะการต่อสู้ที่โหดเหี้ยมหลายสนาม ถือเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
รากที่ไม่รู้ว่าเป็นของหญ้าป่าอะไรไม่กี่ชิ้นนั้นย่างสุกแล้ว กระจายกลิ่นหอมเบาบาง เฉินฉางเซิงหยิบออกมาจากขี้เถ้า ฉีกหลังชั้นนอกออก เดินไปถึงข้างหน้านาง สวีโหย่วหรงรับ ใช้มือฉีกแล้วค่อยๆ กิน เฉินฉางเซิงมองนางอย่างเงียบๆ จนกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้ว่าคืนนั้น นางช่วยเหลือตนเองอย่างไร เนื่องจากนางไม่เคยพูด แต่ตลอดทางที่เดินผ่านมา เขาเห็นความสามารถที่ยิ่งใหญ่ของนาง จนกระทั่งยากที่จะพรรณนาด้วยสายตาของตัวเอง เขารู้สึกอยู่เสมอว่าถ้าไม่มีตนเอง อาจจะ บางที ตั้งแต่ตอนแรกสุด นางก็สามารถจากไปอย่างปลอดภัยแล้ว
สวีโหย่วหรงไม่เคยพูดถึงเรื่องราวเหล่านั้นจริง เนื่องจากนางมีความทะนงของตัวเอง อีกทั้งนางคิดว่าชายหนุ่มพรรคภูเขาหิมะผู้นี้เคยช่วยเหลือตัวเอง ฉะนั้นก็ต่างไม่ติดค้างใคร
ผ่านไปไม่นาน นางกินหมดแล้ว เฉินฉางเซิงยื่นผ้าเช็ดมือที่เปียกให้ จากนั้นเริ่มกินของตัวเอง
สวีโหย่วหรงถือผ้าเช็ดมือเปียกๆ เช็ดริมฝีปากเบาๆ มองเขาที่นั่งอยู่ข้างกองไฟอย่างเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยวาจา
ตลอดทาง เนื่องจากสาเหตุนานัปการ พวกเขาพูดจากันน้อยยิ่งนัก แต่กระทำเพื่อฝ่ายตรงข้ามเป็นจำนวนมาก
ร่วมเป็นร่วมตาย ไม่ห่างไม่ทิ้ง คำศัพท์เหล่านี้ที่เฉิดฉายสะดุดตามากที่สุด พัวพันเกี่ยวเนื่องอย่างยิ่งในโลกใบนี้ ถูกนางและเขากระทำได้อย่างตามอำเภอใจอย่างยิ่ง
ขอให้แสงศักดิ์สิทธิ์สถิตกับเจ้า
มองนัยน์ตาที่สว่างสดใสกระทั่งสามารถสะท้อนเปลวไฟคู่นั้นของเขา นางพูดอยู่ในใจ
จากนั้นนางพูดกับเขาว่า “เจ้าเป็นคนดี”
ประโยคนี้นางพูดอย่างไม่แยแส แต่ก็ตั้งใจมาก
เฉินฉางเซิงมองนางยิ้มแล้วยิ้ม พูดว่า “เจ้าก็เหมือนกัน”
จากนั้นเขาจู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา พูดด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อยว่า “ขอโทษอย่างยิ่ง จนกระทั่งตอนนี้เพิ่งจะมาถามเจ้า ขอถามจะเรียกขานแม่นางว่าอย่างไร?”
สวีโหย่วหรงยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “เจ้าล่ะ?”
น่าขบขันจริงๆ พวกเขาสองคนถึงตอนนี้ ยังไม่รู้ชื่อแซ่ของฝ่ายตรงข้าม ว่าเป็นใครกันแน่
สายฝนยังคงโปรยปรายไม่หยุดหย่อน ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะหยุด ในสวนโจวมองไม่เห็นดวงดาว แต่เมื่อมองตาของนาง เฉินฉางเซิงราวกับเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนหลังฝนตกของเมืองซีหนิง ปราศจากไอหมอก ไร้ฝุ่นละอองปนเปื้อน ประหนึ่งคล้ายมีดวงดาวมากมายในท้องฟ้าค่ำคืนสุกสกาวสุดเปรียบ สว่างไสวจนทำให้ผู้คนรู้สึกกังวล กระทั่งทำให้ไม่สามารถโป้ปดต่อหน้าดวงตาคู่นี้ได้อย่างสิ้นเชิง
สวีโหย่วหรงก็กำลังมองตาของเขาอยู่เช่นกัน ตาคู่นั้นใสสะอาดโปร่งแสงมาก สามารถมองเห็นตัวเองจากข้างในได้อย่างชัดเจน เผชิญกับดวงตาคู่หนึ่งอย่างนี้ ราวกับทำได้เพียงตอบกลับไปอย่างจริงใจ
ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ นี่เป็นประโยคดังประโยคหนึ่ง เนื่องจากจำนวนครั้งที่ปรากฏในโลกมนุษย์มีมากเกินไป ฉะนั้น เพียงแค่ไม่ใช่เด็กที่เพิ่งหัดเรียน ไม่มีใครยอมที่จะพูด เวลาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ถูกนึกถึง แต่เวลานี้ พวกเขามองตาซึ่งกันและกัน ล้วนนึกถึงประโยคนี้
ความรู้สึกที่ถูกผู้คนล้อมรอบในเมืองเวิ่นสุ่ยนั้นไม่ดี หลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าตัวเองก็คือเฉินฉางเซิง ก็น่าจะไม่ไม่แยแสตามใจเหมือนตลอดทางที่ผ่านมา
ในตอนเด็กมากก็ใช้ชีวิตที่ถูกมองด้วยสายตานับหมื่น ไม่ว่าจะอยู่ในจิงตูหรือว่าอยู่ทางใต้ ล้วนเป็นจุดรวมสายตาทั้งหมด เป็นบุคคลที่ทุกคนรักใคร่ นางไม่ได้ชอบการใช้ชีวิตเช่นนี้ และก็ไม่หวังว่าหลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าตัวเองก็คือสวีโหย่วหรง จะเหมือนสายตาของชายหนุ่มอื่นหรือไม่ที่จู่ๆ ก็เร่าร้อนขึ้นมา วาจาและพฤติกรรมกลับเกร็งระมัดระวังไร้รสชาติขึ้นมา แต่จ้องมองสายตาของฝ่ายตรงข้าม พวกเขาตัดสินใจแสดงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมา เพราะว่านี่แสดงถึงการให้เกียรติ
แต่แล้ว ในตอนที่พวกเขาขยับริมฝีปากเล็กน้อย ชื่อของตัวเองกำลังจะออกจากปากในขณะนั้น พวกเขา…เปลี่ยนแปลงความคิดอีกครั้ง
เนื่องจากพวกเขาล้วนมีสัญญาสมรสฉบับที่รู้กันทั่วแผ่นดินอยู่กับตัว ถ้าหญิงสาวชุดขาวเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ผู้นี้รู้ว่าตัวเองคือเฉินฉางเซิง ก็จะรู้ว่าตัวเองมีคู่หมั้นที่ชื่อว่าสวีโหย่วหรง ถ้าศิษย์พรรคลับของพรรคภูเขาหิมะผู้นี้รู้ว่าตัวเองคือสวีโหย่วหรง ก็จะรู้ว่าตัวเองมีคู่หมั้นที่ชื่อว่าเฉินฉางเซิง
พวกเขาล้วนไม่ชอบสัญญาสมรสฉบับนั้น ล้วนอยากถอนหมั้น แต่เขาไม่อยากให้นางรู้เรื่องนี้ นางก็ไม่อยากให้เขารู้เรื่องนี้เช่นกัน
อารมณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ ความคิดเช่นนี้ง่ายดายมาก เนื่องจากไม่ว่าจะยอดเยี่ยมเพียงใด อย่างไรก็เป็นแค่ชายหนุ่ม อย่างไรก็เป็นแค่หญิงสาว
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาได้ทำการตัดสินใจที่เหมือนกัน จนกระทั่งหลังจากนั้นหลายปี เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวัดเก่าทรุดโทรมกลางลมฝนแห่งนี้ ยังคงไม่มีคำตอบ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามีความคิดอย่างไรถึงทำการตัดสินใจเช่นนี้ออกมา กระทั่งขนาดพวกเขาเองก็ไม่เคยพูดถึงความคิดในตอนนั้นกับฝ่ายตรงข้าม
รอยยิ้มของสวีโหย่วหรงค่อยๆ เก็บไป สงบเงียบอย่างมาก
รอยยิ้มของเฉินฉางเซิงค่อยๆ สงบ ไม่อยากเผยพิรุธ
เสียงของพวกเขาดังขึ้นมาพร้อมกัน
“พรรคภูเขาหิมะ สวีเซิง”
“เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ เฉินชูเจี้ยน (แรกเจอ)”
……
……
ยามค่ำคืนในวัดเงียบมาก มีเพียงเสียงน้ำฝนที่ตกลงมา กลับไม่รำคาญใจ ยิ่งเพิ่มความสงบ
ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาในถ้ำหน้าผา เฉินฉางเซิงเคยได้ยินเสียงของตัวประหลาดเฒ่าผู้นั้นอย่างเลือนราง รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะมังกรดำ ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นศิษย์พรรคลับของพรรคภูเขาหิมะ และก็รู้ว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นคนเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ เขาไม่อยากยอมรับตัวตนของตัวเอง ฉะนั้นจึงผิดก็ว่าไปตามผิด ที่ไหนได้สวีโหย่วหรงก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
เสียงของนางแผ่วเบา ปลายลิ้นม้วนเล็กน้อย ลากหางเสียงเบาๆ แม้จะเป็นการพูดชื่อของตัวเอง ก็ดูเหมือนมีชีวิตชีวา เข้าไปในหูของเขา รู้สึกไพเราะน่าฟังมาก ชื่อก็น่าฟัง แซ่เฉินนั้นดีมาก ชื่อว่าชูเจี้ยนก็ดีมาก มีประโยคหนึ่งว่าอย่างไรนะ? ชีวิตถ้าเป็นเช่นแรกเจอ? เขามองหน้าของนางที่บวมเล็กน้อยแต่ยังคงงดงามสดใส นึกถึงวันก่อนๆ ที่ข้างกองหญ้าเขียว ท่าทีความน่ารักตอนที่นางยกมือปิดพวงแก้มทั้งสองของตนเอง ใจคิด ถ้าชีวิตสามารถเป็นดั่งเด็กผู้หญิงที่ชื่อชูเจี้ยน ก็ไม่เลวจริงๆ
สิ่งที่สวีโหย่วหรงคิดนั้นง่ายหน่อย รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้แท้จริงแล้วก็แซ่สวี ตอนนั้นที่แรกเจอเขาในสภาพสลบไสล กลับรู้สึกมีความคุ้นเคย อยากจะเข้าไปใกล้มาก หรือเป็นเพราะสาเหตุนี้
ต่างบอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเองให้กันและกันเสร็จ ต่อมาทำอะไรดี? กลางลมฝนเกิดความเงียบสงบขึ้นมาอีกครั้ง
“มาตาหนึ่ง?” ไม่รู้ว่าสวีโหย่วหรงไปเอาถาดหมากมาจากไหน เชิญชวนเขา
เขาจ้องมองหมากถาดนั้น รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเหมือนกับตัวเอง ยังซ่อนความลับจำนวนมาก ทนไม่ไหว หัวเราะออกมา
สวีโหย่วหรงก็อมยิ้มเล็กน้อยไม่พูดจา พวกเขาล้วนรู้ว่าต่างคนก็ต่างไม่ธรรมดา เพียงแต่ไม่รู้จะไปสนทนาเรื่องราวที่ไม่สนุกไร้รสชาติไปทำไม ถ้าไม่สามารถเดินออกจากสวนโจวแห่งนี้ เรื่องราวบนโลกหล้าเหล่านั้นจะไปสำคัญอะไร? ใช่ อยู่นอกความเป็นตาย นอกจากสนุกกับชีวิตแล้ว เรื่องอื่นใดล้วนไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญคือ…
“ข้าเดินหมากไม่เป็น” เขาพูดด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย มองสีหน้าของนางที่มีความผิดหวังเล็กน้อย พูดเพิ่มเติมว่า
“หรือว่าเล่นอย่างอื่น?”
สวีโหย่วหรงคิดในใจถ้าจะเล่นไพ่กระดูก ยังขาดสองคน ถ้าจะเล่นไพ่กระดาษหยางโจว ขาดคนมากกว่านั้น มีเพียงสองคน ถ้าไม่เล่นหมาก แล้วยังจะทำอะไรได้อีก?
ค่ำคืนยาวนานผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฝนหนาวเศร้าหมอง ไม่ใช่เวลานอนที่เหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้น เวลานอนของนางตลอดทางที่ผ่านมานี้มันมากพอแล้ว
ฉะนั้นก็มีแค่คุยเล่น ไม่ต้องสูญเสียทั้งสติและพลังงาน
เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกเขาเป็นการกำลังหนีตาย ไม่ใช่คลุมถุงชน ฉะนั้นแน่นอนว่าไม่สนทนาถึงหัวข้อที่ลึกเกินไป อย่างเช่นบ้านของเจ้ามีกี่คน? บิดามารดาของเจ้าดีไหม? ปีนี้เจ้าอายุยี่สิบเท่าไร? เหตุใดดวงตาของเจ้าถึงงดงามเช่นนี้? บนตัวของเจ้าหลงเหลือสายเลือดของมังกรดำยักษ์เกล็ดน้ำแข็งอยู่หรือ? เจ้าเคยมีการหมั้นหมายไหม?
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาสนทนากันจริงจังอย่างแท้จริง พวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ไม่ได้สนิทสนมอะไรมาก ฉะนั้นพวกเขาทำได้เพียงบำเพ็ญเพียร
การบำเพ็ญเพียรในที่นี้เป็นการบำเพ็ญเพียรจริงๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับคำพูดค่อนแคะที่ว่าชีวิตก็เหมือนเป็นการบำเพ็ญเพียรสนามหนึ่งแบบนี้
ไฟในวัดฝนส่องสว่างใบหน้าของชายหญิงคู่นี้ พวกเขาในเวลานี้ ไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าจริงๆ แล้วฝ่ายตรงข้ามสำหรับตัวเองแล้วมีความหมายอันใด