ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 2 ฝุ่นละอองเต็มหน้า จอนดั่งเกล็ดหิมะ
แสงอรุณสว่างเล็กน้อย ส่องสว่างแหล่งน้ำที่บริเวณขอบที่ราบทุ่งหญ้า สะท้อนแสงอ่อนจาง หนานเค่อยืนอยู่ข้างลำน้ำ มองเบื้องหน้าด้วยสีหน้าไม่แยแส ยกมือกวักขึ้นมา ก็มีน้ำสะอาดส่งมาให้ ป้อนยาเข้าปาก สาวรับใช้สองคนให้นางกินยาเสร็จ ส่งมอบผ้าเปียก รับใช้นางล้างหน้า หลังจากนั้นสักพัก สีหน้าของนางก็ฟื้นดีขึ้นมามาก ยื่นมือปัดบนใบหน้าเบาๆ
แม้ทุกหนแห่งจะเต็มไปด้วยน้ำขัง แต่ในสวนโจวไม่มีแมลงวันและยุงมากเกินไปนัก ท่าทางของนางไม่ใช่กำลังไล่อะไรอยู่ แต่เป็นการหยิบผ้าม่านสีดำออกมาผืนหนึ่ง บนผ้าม่านดำผืนนั้น มีแบบร่างแผนที่คร่าวๆ ของสวนโจว และยังมีจุดแสงที่บ้างสว่างบ้างมืดสองสามดวง นั่นเป็นแสงชีวิตที่จุดเผาโดยชุดดำ ชี้ตำแหน่งของศัตรูให้กับพวกนาง
มีไฟชีวิตสองดวงอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้า บ้างตะวันออกบ้างตะวันตก ในระยะเวลาอันสั้นก็ออกไปไกลหลายสิบลี้ ราวกับถูกรบกวนโดยพลังบางอย่าง ไม่สามารถยืนยันตำแหน่งได้ นั่นน่าจะเป็นเจ๋อซิ่วและชีเจียน พวกเขาอยู่ลึกในที่ราบทุ่งหญ้าแล้ว ตามหลักแล้วไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตอยู่ได้อีก เพราะฉะนั้นหนานเค่อจึงไม่กังวล สายตาเข้มข้นยิ่งกว่าตกลงไปที่แสงชีวิตอีกสองดวง
แสงชีวิตสองดวงนั้นเป็นของสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิง สะดุดตาอย่างยิ่งบนผ้าม่านดำ ตำแหน่งอยู่บริเวณขอบที่ราบทุ่งหญ้า ห่างจากสวนป่าหลายแห่งที่เป็นจุดรวมพลของผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ยังไกลมาก อีกทั้งยังเป็นเวลานานมากที่ไม่ได้ขยับ นี่เหมือนกับแสดงว่าสองคนนี้ไม่มีแรงในการหลบหนีอีกแล้ว น่าจะใกล้เสร็จสิ้นภารกิจที่ได้รับจากชุดดำแล้ว
ผู้เฒ่าดีดพิณไม่รู้ว่าจากยอดเทือกเขาอัสดงมาถึงตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร พบเจอกับองค์หญิงหนานเค่อและสาวใช้สามคน มองแสงไฟชีวิตสว่างบนผ้าม่านสีดำ เขาไม่สงบนิ่งมั่นใจเหมือนหนานเค่อ แต่มีความกังวลใจเล็กน้อย “สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส น่าจะไม่สามารถเดินกลับไปยังสวนป่าเหล่านั้น แต่ว่า…ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรบางส่วนที่หลบซ่อนอยู่ในภูเขาป่าของสวนโจวอยู่ตลอด อีกทั้งผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ส่วนใหญ่เหล่านั้นยังเป็นขั้นปลายของขั้นทะลวงอเวจี ถ้าในระหว่างที่สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงหนีตาย ได้พบเจอกับผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์เหล่านี้ อย่างนั้นจะทำอย่างไร?”
กลลวงนี้ที่ชุดดำวางแผนด้วยตนเอง อาศัยคุณสมบัติพิเศษของสวนโจวและสภาพภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อมของสวนโจวอย่างเต็มที่ มองทะลุถึงความโลภก่อนที่จะใช้วิทยายุทธ์ ความมั่งคั่งของผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ ครองใจคนได้อย่างสมบูรณ์ ฉะนั้นยอดฝีมือเผ่ามารที่ย่องเข้ามาในสวนโจวมีเพียงไม่กี่คน ก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งสวนโจววุ่นวายขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เพราะสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิง ไม่แน่สวนโจวในตอนนี้อาจกลายเป็นสนามอเวจีที่แท้จริง ปัญหาอยู่ที่ ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ในตอนนี้อาจรู้สึกได้แล้วว่าเป็นกลลวงของเผ่ามาร คนส่วนใหญ่ล้วนรวมตัวอยู่ด้วยกัน ถ้าเข้าสู่การต่อสู้ซึ่งหน้า ความสามารถของยอดฝีมือเผ่ามารจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์หลายร้อยคน
สีหน้าของหนานเค่อยังคงไม่แยแส ไม่ได้อธิบายอะไร เพียงพูดว่า “ถ้าสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงพบยอดฝีมือเผ่ามนุษย์อื่นในสภาพเช่นนี้ อาจจะตายเร็วกว่าเดิม”
……
……
น้ำกระเซ็นระหว่างดงต้นอ้อและชายฝั่งค่อยๆ สงบลง จากนั้นก็คลุมน้ำแข็งชั้นบางๆ ชั้นหนึ่ง
ร่างกายของเฉินฉางเซิงถูกกระทำจนเปียกชุ่ม รอยน้ำเหล่านั้นกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว คิ้วและจอนย้อมด้วยหิมะ ราวกับผุดผมหงอกก่อนวัย เดิมเขาก็มีความเป็นผู้ใหญ่อยู่แล้ว มองแล้วเห็นถึงผันผวนในชีวิตเล็กน้อย
แน่นอนว่าสวีโหย่วหรงสังเกตเห็นความผิดปกติของร่างกายเขา เลิกคิ้วเล็กน้อย จับชีพจรให้กับเขาอีกครั้ง สังเกตได้ว่าสถานการณ์ปราณแท้ของคนนี้เปราะบางเหมือนก่อนหน้า แต่สภาพบาดแผลในอวัยวะภายในกลับเสถียรขึ้น เพียงแต่การเต้นของหัวใจและการหายใจช้ากว่าคนปกติมาก กลับไม่รู้ว่าเป็นความพิเศษของการใช้วิทยายุทธ์ของผู้บำเพ็ญเพียรคนนี้ หรือเป็นสัญญาณของความตาย
เนื่องจากฤทธิ์ของพิษเป็นสาเหตุ สายตาของนางยังคงพร่ามัว เห็นได้เพียงคิ้วตาของคนผู้นี้ที่พอจะชัดบ้าง ข้างบนเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ มองดูแล้วมีความแก่ชราเล็กน้อย นางสงบสักพัก จู่ๆ ยื่นมือไปปัดเกล็ดหิมะเหล่านั้นบนใบหน้าของเขาทิ้ง จากนั้นนางชะงักสักพัก ไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงทำเช่นนี้
เดินเข้าไปยังป่าไม้ที่ปกคลุมด้วยแสงอรุณ เหยียบย่ำใบไม้ที่ร่วงหล่นทับถมหลวมๆ ผ่านไปอย่างเงียบๆ ไปข้างหน้าแล้วหลายสิบจั้ง นางหยุดการก้าวเท้าลงอีกครั้ง มองไปยังหน้าผาภูเขาสายหนึ่งที่บริเวณไกลออกไป
ในป่าไม้มีเส้นทางที่คนก่อนหน้าเดินผ่าน แม้จะถูกใบไม้ร่วงปกปิด แต่ก็ยังพอที่จะเห็นร่องรอยของคนที่ผ่านมา ย่างก้าวไปข้างหน้า จากนั้นก็เลี้ยวที่ข้างหน้าภูเขา กลายเป็นรูปร่างตัวอักษรจือ (之)
นางนำเฉินฉางเซิงในมือวางลงบนใบไม้ร่วงเบาๆ หยิบธนูถงออกมา ดึงสายธนูเป็นรูปครึ่งวงกลม เล็งที่นั่นไว้ แต่ไม่ได้พูดอะไร
ลมอรุณพร้อมกับแสงอรุณเข้ามายังในป่าไม้ แสงอรุณสัมผัสสายธนูเป็นครั้งคราว ไม่เกิดเสียง ก็เหมือนกับนิ้วมือที่นุ่มนวลที่สุดแตะไปที่สายธนู เค่อต่อไปก็เตรียมที่จะปล่อยเสียงออกไป
มีใบไม้ที่ถูกลมพาให้ร่วงหล่นจากปลายกิ่งไม้ ค่อยๆ ร่อนลงในโลกที่พร่ามัวมึนงงตรงหน้านาง จนกระทั่งตกลงไปยังใต้เท้าของนาง
ธนูยาวไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว ขนตาของนางไม่กะพริบ สีหน้าสงบและจดจ่อ มองเพียงแค่หน้าผาภูเขาสายนั้น มองสถานที่ที่ว่างเปล่าไร้วี่แววผู้คน
ในขณะที่ใบไม้ใบนั้นตกลงที่หน้าเท้าของนาง เสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังออกมาจากบริเวณหน้าผาภูเขา “เป็นเพื่อน?”
ตามเสียงนี้ สิ่งที่ปรากฏออกมาเป็นอันดับแรกที่นอกหน้าผาภูเขาคือมือข้างหนึ่ง ในข้อมือข้างนั้นมีสายสีเทาผูกอยู่ ในมือกำแผ่นไม้แผ่นหนึ่ง บนแผ่นไม้ใช้สารสีแดงชาด ปักเป็นสัญลักษณ์ของพรรคที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าสารสีนั้นมีความแปลกประหลาดอะไร ห่างไกลขนาดนั้นก็สามารถรู้สึกถึงความเร่าร้อนและอบอุ่นที่ชัดเจน
ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่เข้าสวนโจวล้วนมีสายสีเทา พรรคบนแผ่นไม้สลักสัญลักษณ์แสดงตัวตน เพียงแต่การกระทำหนึ่งที่ง่ายดาย กลับแทนความหมายจำนวนมาก เพื่อพยายามหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็น จากรายละเอียดนี้ก็สามารถมองออก เจ้าของเสียงชราเสียงนั้นระมัดระวังอย่างยิ่ง
สวีโหย่วหรงมองเห็นได้แค่ภาพที่พร่าเลือน มองรายละเอียดไม่ออก หากมองจากใบหน้าที่สงบของนาง แน่นอนว่าไม่อาจมองจุดนี้ออกได้ นางฟังความป้องกันและระมัดระวังที่รุนแรงจากเสียงของคนนั้นออก นึกถึงการต่อสู้ตามธรรมเนียมและกลิ่นคาวเลือดหลังเปิดสวนโจว นึกถึงตัวเองที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยร่องรอยเลือดอีก ง่ายที่จะเข้าใจผิดจริงๆ พลันพูดว่า “ไม่ใช่ศัตรู”
เจอกันครั้งแรก แน่นอนว่ายังไม่ถึงกับว่าเป็นสหาย แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ นี่ก็คือคำอธิบายที่นางให้ออกมา
หลังจากนั้นสักพัก คนคนหนึ่งเดินออกมาจากหน้าผาภูเขาด้านนั้น คนผู้นั้นทั้งศีรษะเต็มไปด้วยผมสีขาว ใบหน้าแก่ชรา อย่างน้อยต้องเกินกว่าร้อยปี สีหน้าท่าเดินสงบนิ่งและหนักแน่นอย่างมาก กลับไม่ปิดบังความระมัดระวังของตัวเอง แม้จะเดินออกมา มือขวาที่ห้อยอยู่ข้างเอวกลับกำศาสตราชิ้นหนึ่ง ราวกับสามารถลงมือได้ตลอดเวลา รักษาระยะห่างจากสวีโหย่วหรงไว้ในระยะที่เขาคิดว่าปลอดภัย
ระยะห่างนี้เขาให้ความสำคัญกับมันมาก สามารถให้เขารู้สึกถึงความปลอดภัย และก็สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามสบายใจ ไม่ใช่ผู้อาวุโสบำเพ็ญเพียรที่ผ่านลมหนาวหิมะฝนมาหลายปี แน่นอนว่าไม่มีความรู้สึกพอดิบพอดีที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
สวีโหย่วหรงรู้สึกถึงลมหายใจที่ไม่ปิดบังแต่ก็ไม่ตั้งใจแสดงออกของฝ่ายตรงข้าม มั่นใจว่าผู้เฒ่าคนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นปลายของขั้นทะลวงอเวจีท่านหนึ่ง อารมณ์ตื่นเต้น สีหน้าบนใบหน้ายิ่งมายิ่งผ่อนคลาย
นางปล่อยสายธนู ถือธนูพลางพูดว่า “เรียนถาม ผู้อาวุโสท่านนี้ชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”
กฎเกณฑ์ในสวนโจวโหดร้ายคาวเลือดมาตลอด อีกทั้งตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสวนป่าไม้ทั้งสามแห่ง ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่ซ่อนอยู่ในภูเขาป่าล้วนเป็นยอดฝีมือ
สำหรับขุมทรัพย์ในสวนโจว ตามความคิดที่ส่งต่อกันมา พบเจอกับคนเช่นนี้ ไม่แน่อาจเป็นการต่อสู้ที่โหดร้ายสนามหนึ่ง ต้องรู้ว่าฝั่งตรงข้ามมีความเป็นไปได้มากที่ไม่รู้ข่าวว่าเผ่ามารเข้ามาในสวนโจวแล้ว
ฉะนั้นนางพูดต่อโดยตรงอย่างสงบ “เผ่ามารได้เข้ามาในสวนโจวแล้ว พวกข้าถูกเผ่ามารลอบโจมตี”
นี่ยังคงเป็นการอธิบาย เพียงแต่ในคำอธิบายเพิ่มความหมายบางอย่างที่มองไม่เห็นร่องรอย เผ่ามารที่ย่องเข้ามาในสวนโจวได้แน่นอนว่าต้องแข็งแกร่ง แต่ต้องลอบโจมตีถึงจะทำร้ายนางได้ ฉะนั้นนางแน่นอนว่าก็ต้องแข็งแกร่งเช่นกัน
ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าคนนั้นรับรู้ผลลัพธ์ที่นางต้องการให้เขารับรู้จากประโยคอธิบายนี้ที่มองดูเหมือนไม่ตั้งใจได้หรือไม่ เพราะว่าชัดเจนมาก ผู้เฒ่าคนนี้เหมือนจะเป็นแบบที่นางคาดเดาไว้ก่อนหน้า ตั้งแต่เข้าสวนโจวมา ก็ซ่อนอยู่ในภูเขาป่าที่สืบหาเบาะแสร่องรอยได้ยาก ตั้งใจหลีกเลี่ยงในการปฏิสัมพันธ์กับผู้บำเพ็ญเพียรอื่น กระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ข่าวเรื่องการเข้ามาในสวนโจวของเผ่ามาร ตอนนี้ได้ยินคำพูดของนาง ตกใจอย่างยิ่ง
“เผ่ามารเข้ามาในสวนโจวได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่าตกใจอย่างมาก กลับไม่มีความหวาดกลัวใดๆ เขามองไปยังสายสีเทาที่ข้อมือของตัวเอง พูดเชิงเยาะเย้ยว่า “มิน่ามีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นมากมาย”
ชัดเจนมาก เขาหาขุมทรัพย์ในสวนโจวสำเร็จแล้ว หาสิ่งที่ตัวเองต้องการเจอแล้ว เช่นนั้นก็เคยลองจุดเผาสายสีเทาเพื่อจากไป กลับล้มเหลว
สวีโหย่วหรงไม่ได้อธิบาย เพราะว่ากลลวงของเผ่ามารซับซ้อนเกินไป อีกทั้งยังไม่จำเป็น
ผู้เฒ่าคนนั้นมองไปยังเฉินฉางเซิงที่อยู่บนกองใบไม้ร่วงด้านหลังนาง เห็นเขามีเกล็ดน้ำแข็งเต็มตัว รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ถามว่า “คนนี้เป็นสหายของเจ้าหรือ?”
สวีโหย่วหรงส่ายหัวพูดว่า “ข้าไม่รู้จักเขา เพียงแต่เห็นเขาถูกผู้แข็งแกร่งเผ่ามารโจมตี บังเอิญช่วยไว้ได้”
“ในเวลาเช่นนี้ยังไม่ลืมที่จะช่วยเหลือคน เจ้าดรุณีน้อยนี่ใช้ได้”
ผู้เฒ่าคนนั้นมองนางพลางแสดงออกสีหน้าที่ชมเชย พูดต่อไปว่า “แต่ว่า พวกเจ้าจะไปไหนหรือ?”
สวีโหย่วหรงพูดว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์กำลังรวมตัวกันอยู่ที่สวนป่าสามแห่ง เดิมข้ากะว่าจะพาสหายคนนี้ไปด้วย แต่เพราะได้รับบาดเจ็บ เดินทางไม่รวดเร็ว อย่างน้อยยังต้องการเวลาอีกครึ่งวัน กังวลว่าจะถูกเผ่ามารไล่ตามทัน ไม่คิดว่าจะได้พบกับผู้อาวุโส อยากจะรบกวนผู้อาวุโสไปบอกข่าวให้กับผู้ร่วมอุดมการณ์อื่น มารับพวกข้าหน่อย”
ผู้เฒ่าคนนั้นแสดงสีหน้าที่ไม่เห็นด้วย พูดว่า “เดินไปด้วยกันก็พอ ข้าส่งพวกเจ้าข้ามไป จะให้พวกเจ้าอยู่ผจญภัยตรงนี้ได้อย่างไร”
สวีโหย่วหรงพูดว่า “ยอดฝีมือเผ่ามารที่ย่องเข้ามาในสวนโจวมีความสามารถอย่างมาก ผู้อาวุโสจะดูแลพวกข้าสองคน เกรงว่า…”
วจีเอื้อนเอ่ยไม่หมด กลับเป็นความปรารถนาดี
ผู้เฒ่าทานนั้นหัวเราะขึ้นมา พูดว่า “ถ้าอยู่นอกสวนโจว ไม่แน่อาจจะต้องระวังหน่อย นี่อยู่ในสวนโจว ข้ากลับอยากเจอผู้แข็งแกร่งเผ่ามารที่เจ้าพูดถึงเหล่านั้น”
รอยยิ้มของนางเรียบง่ายมาก สีหน้านิ่งสงบ สายตาประนีประนอมแต่สว่างชัด ตอนพูดประโยคนี้มีความมั่นใจอย่างมาก
ผู้แข็งแกร่งระดับทะลวงอเวจีขั้นปลายคนหนึ่ง อยู่ในสวนโจวน่าจะไร้เทียมทาน ความมั่นใจในตนเองของผู้เฒ่าก็มีเหตุผลของเขา
ไม่รู้ทำไม สวีโหย่วหรงไม่ได้บอกกับฝ่ายตรงข้าม ผู้แข็งแกร่งเผ่ามารที่เข้ามาในสวนโจว น่ากลัวกว่าขั้นปลายของขั้นทะลวงอเวจีธรรมดา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมีอยู่ของหนานเค่อผู้น่าหวาดกลัว
นางแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจและน่าเคารพ ถามว่า “ขอถามผู้อาวุโสท่านคือ?”
ผู้เฒ่าพูดว่า “ข้าแซ่ไป๋ชื่อไห่ บำเพ็ญเพียรอยู่ในพรรคตะวันตกสองร้อยกว่าปี น้อยมากที่จะออกจากพรรคมาเดินเล่น คิดว่าเจ้าก็ไม่รู้จัก”
สวีโหย่วหรงชะงักเล็กน้อย เหมือนจะรู้สึกตกตะลึงต่อนามนี้อยู่บ้าง
ความจริงแล้ว นางรู้สึกหนาวยะเยือกเล็กน้อย