ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 20 บทสนทนากลางหิมะและการทะเลาะวิวาทของเด็กน้อย
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงก็อยู่บนถนนหญ้าขาวเช่นกัน เดินมุ่งไปข้างหน้า ตลอดทางไม่ว่าจะฝนตกหรืออากาศแจ่มใส ร่มกระดาษทองคันนั้นก็กางอยู่เสมอ จนถึงตอนนี้ สวีโหย่วหรงพอจะคาดเดาได้ เขาสามารถยืนยันตำแหน่งของสระกระบี่ แล้วพาตัวเองเดินไปยังเส้นทางที่เชื่อมไปยังเส้นทางแห่งสุสานทะเลดาว น่าจะเกี่ยวข้องกับร่มคันนี้
และเมื่อท้องฟ้าจู่ๆ ก็มีหิมะร่วงระบำลงมา ร่มที่มองดูแล้วเก่าๆ ขาดๆ คันนี้ถึงจะแสดงความสามารถที่ดั้งเดิมที่สุดของมัน จู่ๆ แผ่นหิมะที่หนามากก็ตกลงบนร่ม ยิ่งสะสมยิ่งหนา ถนนหญ้าขาวยิ่งเป็นเช่นนี้ การสะสมของหิมะค่อยๆ เลยข้อเท้า ยากที่จะเห็นส่วนเอวของก้านหญ้าอีก
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นภาพวสันต์ส่องตะวันสาดคลุมทั่วบริเวณ เพราะเหตุใดตอนนี้อยู่ดีๆ กลับมีหิมะตกลงมา
ทั้งสองคนสามารถมองเห็นการเปลี่ยนเป็นสีขาวของที่ราบทุ่งหญ้าตรงหน้าได้อย่างรวดเร็วด้วยตาเปล่า เวลานี้พวกเขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า ดงต้นหญ้าที่อยู่ใกล้ๆ ข้างถนนได้เหี่ยวแห้งไปนานแล้ว แหล่งน้ำกลางหญ้าก็ถูกแช่เป็นพื้นน้ำแข็ง ท่ามกลางหิมะแนบชิดด้วยลมหนาว ร่มกระดาษทองสามารถรับหิมะได้ กลับไม่สามารถบังลมได้ทั้งหมด อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ความเหน็บหนาวปกคลุมทั่วจตุรทิศ
สวีโหย่วหรงเสียเลือดจำนวนมากเกินไป ไม่สามารถทนความหนาวเช่นนี้ได้อย่างสิ้นเชิง ร่างกายสั่นเล็กน้อย เฉินฉางเซิงรู้สึกได้ ไม่กล้าเดินต่อไปข้างหน้า ปล่อยนางลงมา ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกใส่ให้กับนาง จากนั้นผูกปากแขนเสื้อและชายเสื้อทั้งหมดให้แน่น มองเสื้อผ้าชั้นเดียวชิ้นนั้นบนร่างกายเขา สวีโหย่วหรงกังวลเล็กน้อย เตรียมที่จะปฏิเสธความหวังดีของเขา จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นศิษย์พรรคลับของพรรคภูเขาหิมะ สิ่งที่บำเพ็ญเพียรนั้นเป็นเกล็ดหิมะอันหนาวเหน็บตำรับต้นฉบับ
นางไม่ได้กล่าวขอบคุณกับเขา ถ้าจะพูดขอบคุณ ตลอดทางที่ผ่านมา สองคนนี้ก็ไม่ต้องพูดอย่างอื่นแล้ว จึงพูดด้วยเสียงเบาว่า “ขอให้แสงศักดิ์สิทธิ์สถิตกับเจ้า”
เฉินฉางเซิงได้ยินไม่ชัด ถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
สวีโหย่วหรงพูดว่า “ไม่มีอะไร ยังต้องอีกไกลแค่ไหนถึงจะถึงวัดแห่งที่สอง?”
เฉินฉางเซิงคำนวณเวลา พูดว่า “ถ้าลบความแตกต่างการไหลของเวลาออก น่าจะ…ใกล้แล้ว”
เร็วมากจริงๆ พวกเขาก็มองเห็นวัดสักการะแห่งที่สองในลมหิมะ
ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็รู้ว่าห่างจากสุสานของโจวตู๋ฟู ยังเหลืออีกเก้าร้อยลี้
……
……
วัดสักการะในลมหิมะ เก่าคร่ำครึผุพังอย่างยิ่ง หนาวเย็นผิดปกติ
ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ไม่ว่าจะเป็นชายคาหรือว่าบันไดหินที่หน้าวัด
จากนั้นรอยเลือดป้านใหญ่บนบันไดหินก็สร้างความสะเทือนขวัญเล็กน้อย
สวีโหย่วหรงพิงเสา ก้มหน้านั่งนิ่งเงียบ สีหน้าขาวซีด มองดูแล้วอ่อนแออย่างยิ่ง
เฉินฉางเซิงมองนาง เงียบขรึมเป็นเวลานานมาก พูดว่า “วันหลัง…อย่าทำเช่นนี้”
ในขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปในวัดลมหิมะแห่งนี้ พังพอนหิมะตัวหนึ่งมุดออกมาจากในกองหิมะข้างวัด กระโจนกัดที่บริเวณลำคอของเฉินฉางเซิง
พังพอนหิมะชื่อนี้ฟังดูแล้วเหมือนธรรมดามาก ถ้านั่นเอาไว้ในโลกของนอกสวนโจว นั่นเป็นชื่อที่เพียงพอให้ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นทะลวงอเวจีรู้สึกหวาดกลัวได้ ระดับสติปัญญาของสัตว์อสูรประเภทนี้สูงมาก เจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีความอดทนไม่แพ้เผ่าหมาป่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือพิษร้ายที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของมัน เพียงแค่หนึ่งหยดก็สามารถฆ่าเผ่ามนุษย์ตายได้นับร้อยคน
สิ่งที่ยากที่จะเข้าใจเล็กน้อยคือ เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงแม้จะบอกว่าล้วนบาดเจ็บสาหัสยังไม่ทุเลา แต่กลิ่นอายพลังปราณที่พวกเขาปล่อยกระจายออกมา น่าจะทำให้สัตว์อสูรที่ฉลาดเช่นนี้รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นทะลวงอเวจีธรรมดา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหนานเค่อได้ทำการส่งความตั้งใจของตัวเองไปยังทั่วที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลผ่านไม้ดำชิ้นนั้นแล้ว
แต่ว่าพังพอนหิมะตัวนี้ยังคงโจมตีใส่พวกเขาอย่างไม่ลังเล ราวกับว่าเลือดเนื้อของพวกเขาสำหรับมันแล้วมีแรงดึงดูดที่ยากจะปฏิเสธชนิดหนึ่ง…และในตอนที่พังพอนหิมะตัวนี้จู่ๆ ก็ปรากฏออกมา ม้วนลมหิมะขึ้น สวีโหย่วหรงที่พิงอยู่บนหลังของเฉินฉางเซิงอยู่ตลอด ราวกับกำลังหลับลึก จู่ๆ พลันลืมตาขึ้น ยื่นมือทำให้พังพอนหิมะตัวนี้กลายเป็นควันเขียวสายหนึ่ง
เพื่อการนี้ ปราณแท้ที่นางสะสมขึ้นมาใหม่อย่างยากลำบาก ก็ได้สูญหายไปจนหมดเกลี้ยงอีกครั้ง
“วันหลังอย่าอะไรหรือ?” นางมองเฉินฉางเซิงพลางถาม
เฉินฉางเซิงสร้างกองไฟไปด้วย ขบคิดคำพูดไปด้วย กล่าว “ไม่ต้อง…ฝืนเพียงนี้”
สวีโหย่วหรงพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้ากำลังฝืนอยู่หรือ?”
เฉินฉางเซิงมองจุดตั้งต้นของไฟที่ค่อยๆ ลุกโชนขึ้นมา ฟังออกว่าอารมณ์ของนางมีปัญหาเล็กน้อย ไม่ได้ตอบคำถามนี้โดยตรง พูดว่า “โดยสรุป วันหลังอย่างลงมือตามอำเภอใจ”
ก่อนหน้านี้ชั่วขณะที่พังพอนหิมะตัวนั้นโจมตีมา เขาดึงกระบี่สั้นออกมาแล้ว เพียงแต่ไม่เร็วเท่าสวีโหย่วหรง
สวีโหย่วหรงไม่ได้พูดอะไรอีก
ที่นางไม่สนการสูญเสียของปราณแท้ ก็จะแย่งลงมือก่อน เป็นเพราะว่านางรู้สึกว่านี่เป็นความรับผิดชอบของตัวเอง
ชัดเจนมากว่าพังพอนหิมะตัวนั้นได้กลิ่นเลือดแท้หงส์สวรรค์ที่ตกค้างอยู่ในร่างกายของนาง ถึงได้คลุ้มคลั่งเช่นนั้น
เฉินฉางเซิงไม่ได้พูดอะไรอีก
ที่เขาพูดคำพูดเหล่านี้กับนาง เป็นเพราะว่าเขารู้สึกผิดเล็กน้อย เขารู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบของตัวเอง
ชัดเจนมากว่าพังพอนหิมะตัวนั้นได้กลิ่นในเลือดของร่างกายเขา ถึงได้คลุ้มคลั่งเช่นนั้น
กองฟืนที่แผดเผาอยู่ส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ปร๊ะๆ ออกมา วัดแห่งนี้ชำรุดทรุดโทรมกว่าวัดแห่งนั้น ประติมากรรมรูปแกะสลักเทพที่ถูกเฉินฉางเซิงผ่าเป็นฟืนไม้ยังมีหิมะเกาะ เปียกชื้นเล็กน้อย
ในวัดเงียบสงบ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ทั้งสองคนเงียบขรึมเป็นเวลานาน
จู่ๆ สวีโหย่วหรงก็จ้องเขาแล้วพูดว่า “เจ้ารู้สึกว่าข้ากำลังอวดดีอยู่หรือ?”
เฉินฉางเซิงยังคงไม่ได้เงยหน้า พูดว่า “ถ้าเจ้ารู้สึกว่าศัพท์คำนี้ไม่ไพเราะ ข้าสามารถเปลี่ยนเป็นอีกคำ”
สวีโหย่วหรงเงียบขรึมสักพัก พูดว่า “ไม่เป็นไร ศัพท์คำนี้ข้าได้ยินตั้งแต่เด็กมาหลายครั้งมาก ชินไปนานแล้ว”
เฉินฉางเซิงเอาเนื้อพังพอนหิมะที่ย่างสุกแล้ว ส่งไปที่ข้างหน้านาง มองสีหน้าของนางที่ขาวซีดพลางพูดว่า “ถ้าเหนื่อย ก็หลับตาพักผ่อนสักพัก”
สวีโหย่วหรงรับเนื้อพังพอนหิมะมา แต่ไม่ได้กินทันที
คำว่าเหนื่อยและฝืน ทำให้นางนึกถึงเรื่องราวจำนวนมาก
ในสภาพที่อ่อนแอขนาดนี้ เรื่องย้อนหลังเหล่านั้นไม่ได้ดีงามเท่าไร ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ
ตั้งแต่ตอนเด็กมาก สายเลือดหงส์สวรรค์รู้ตื่น นางก็แบกรับความหวังของคนจำนวนมหาศาล ครอบครัว แว่นแคว้น ชนเผ่า สามคำนี้ล้วนอยู่บนไหล่ของนาง
จะไม่เหนื่อยได้อย่างไร แต่จะวางลงได้อย่างไร
นางเอาเนื้อพังพอนหิมะวางบนกองหญ้าที่อยู่ข้างหน้า พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เรื่องบางเรื่องนั้นไม่สามารถวางลงได้ ฉะนั้นแม้จะฝืนก็ต้องทำเช่นนี้ต่อไป”
เฉินฉางเซิงเห็นท่าทีของนาง เกิดความเห็นใจมาก
พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของหญิงสาวคนนี้สูงยิ่ง คาดว่าคงแบกรับความหวังของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ทั้งเผ่า แต่แล้วเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ได้รับความยากลำบากมากมายขนาดนั้นในพันปีที่ผ่านมา หลายครั้งเกือบสิ้นเผ่าพันธุ์ ปัจจุบันที่ดินเดิมถูกเผ่ามารยึดครอง ขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในต้าลู่ส่วนใหญ่จะมองดูอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์คิดอยากจะฟื้นฟูไหนเลยจะง่ายดาย
นางต้องแบกทั้งเผ่าพันธุ์เดินไปยังข้างหน้า ลำบากปานไหน
เขาพูดปลอบใจว่า “ความสามารถยิ่งมาก ความรับผิดชอบยิ่งมาก เรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่คิดอยากจะวางก็วางลงได้จริงๆ”
ที่จริงแล้วเขาก็ใช้ชีวิตเช่นนี้มาโดยตลอด นั่นเป็นเงาสะท้อนแห่งความตาย หนักหน่วงกว่าความกดดันใดๆ อีกทั้งยังไม่เกี่ยวกับความสามารถใดๆ ทั้งสิ้น เกี่ยวข้องเพียงแค่โชคชะตา
สวีโหย่วหรงเงียบขรึมไปพักใหญ่ พูดว่า “ความจริงแล้วข้าบำเพ็ญเพียรเป็นอย่างเดียว เรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องที่ข้าถนัด และก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าหวัง ทุกๆ ครั้งที่นึกถึงความหวังที่จริงจังของเหล่าผู้อาวุโส นึกถึงหน้าที่ภาระงานอันซับซ้อนอย่างยิ่งเหล่านั้น ไม่เพียงแค่ข้าไม่มีความมั่นใจใดๆ ในตนเอง ยังยิ่งทำให้ข้ารู้สึกถึงความไร้ประโยชน์และขี้ขลาดของตัวเอง กระทั่งค่อยๆ รู้สึกสังเวชขึ้นมา”
คำพูดเหล่านี้นางไม่เคยพูดกับใครมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หรืออาจารย์เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มที่สนิทของพรรคกระบี่หลีซานเหล่านั้นหรือว่าศิษย์น้องหญิงนอกพรรคของสถานศึกษาหนานซี หรือว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบิดามารดาในจวนขุนพลเทพตงอวี้ในจิงตู แต่เวลานี้ นางกลับพูดออกมาให้เฉินฉางเซิงฟัง
ถ้าไม่ใช่ว่าหลังจากบาดเจ็บหนักแล้วอ่อนแอเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าที่ไม่มีใครสามารถเดินออกไปได้แห่งนี้ ถ้าไม่ใช่ความตายอยู่ที่ใกล้ตา จากความทะนงและสติที่แข็งแกร่งของนาง ไม่มีทางที่จะพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา เสียงพูดเพิ่งจบ นางก็เกิดสำนึกเสียใจภายหลังเบาๆ ทว่าในเมื่อคำพูดได้ออกจากปากแล้ว ไม่สามารถสนใจได้อีก
เฉินฉางเซิงใจคิดว่าเหล่าผู้อาวุโสในเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ไม่แน่อาจจะมองเจ้าเป็นหัวหน้าเผ่าในรุ่นต่อไปแล้วเคี่ยวกรำบ่มเพาะก็เป็นได้ แน่นอนว่าต้องการให้เจ้าคุ้นเคยกับหน้าที่งานในเผ่า เพียงแต่เจ้าฉลาดเช่นนี้ อีกทั้งพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรยังทำให้คนตะลึงอย่างนี้ คิดดูแล้วแน่นอนว่าความสามารถก็ต้องแข็งแกร่งมากเช่นกัน เพียงเพราะเรื่องแค่นี้ ทำไมถึงขั้นเวทนาตนเอง
มองสายตาเขา สวีโหย่วหรงถามด้วยความไม่ค่อยเข้าใจว่า “หรือเจ้าไม่เคยรู้สึกสังเวชด้วยเรื่องบางอย่าง?”
อย่างไรก็ได้เริ่มพูดแล้ว อย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ยังคงเข้าใจว่าตัวเองเป็นสาวน้อยชูเจี้ยนของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ ฉะนั้นพูดมากสักคำสองคำจะเป็นอะไรไป?
เฉินฉางเซิงคิดอย่างตั้งใจมาก อยากจะหาความรู้สึกที่คล้ายคลึงในสิบห้าปีที่ผ่านมา กลับหาอย่างไรก็หาไม่เจอ
เขาไม่เคยรู้สึกสังเวชจริงๆ กระทั่งนึกถึงตอนที่กำลังจะถอนหมั้นแล้วได้รับการเยาะเย้ยในจวนขุนพลเทพตงอวี้ ก็มีเพียงแค่อาการพูดไม่ออกและโมโหบ้าง
“ไม่คิดว่าเจ้าเป็นคนที่หลงตัวเองเช่นนี้”
สวีโหย่วหรงมองเขาพลางพูดด้วยยิ้มเล็กๆ ว่า “แต่ว่าเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นคนสมบูรณ์แบบถึงเพียงนี้จริงหรือ?”
เฉินฉางเซิงใจคิด ถังซานสือลิ่วสิถึงเป็นคนที่หลงตัวเอง พูดว่า “ในโลกนี้เดิมก็ไม่มีใครที่เป็นคนสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้านอยู่แล้ว”
ในตอนที่พูดถึงตรงนี้ เขาจู่ๆ ก็นึกถึงคนหนึ่งที่ตัวเองไม่เคยเจอ กลับได้ยินชื่อหลายครั้งมาก…ชิวซานจวิน
เขาส่ายหัวไปมา สะบัดชื่อชื่อนั้นออกไปจากสมองของตนเอง พูดต่อไปว่า “แต่ไม่สมบูรณ์แบบไม่ได้แปลว่าจะต้องรู้สึกสังเวช”
สวีโหย่วหรงไม่สามารถเข้าใจได้ พูดว่า “ถ้าไม่เพราะขยันแค่ไหนก็ไม่สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามในด้านใดด้านหนึ่งได้ แล้วจะไม่รู้สึกอัปยศอดสูด้วยสาเหตุนี้หรือ?”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจพูดว่า “ทำไมถึงมีความรู้สึกอัปยศอดสู?”
สวีโหย่วหรงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่ไร้ยางอายหรอกหรือ?”
เฉินฉางเซิงตกตะลึงเล็กน้อย ไม่คิดว่าสตรีนางนี้กลับเป็นคนเช่นนี้โดยสิ้นเชิง ถามว่า “เจ้าป่วยหรือ?”
ไม่มีเสียงเปรี๊ยะปร๊ะในกองฟืนแล้ว ในวัดเงียบสงบอย่างมาก ได้ยินเพียงแค่เสียงลมหิมะด้านนอก รวมถึงเสียงลมหายใจของสวีโหย่วหรงที่ค่อยๆ แรงขึ้น
นางโกรธเล็กน้อย นางมีเหตุผลที่เพียงพอในการโกรธ
ตั้งแต่เล็กจนโต ตั้งแต่จิงตูถึงเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคยมีใครขึ้นเสียงกับนาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสั่งสอนด้วยคำศัพท์ที่รุนแรงเช่นนี้ ขนาดจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และอาจารย์เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ล้วนไม่เป็นเช่นนี้ เพราะว่านางเดินอยู่บนถนนที่เชื่อมไปยังเส้นทางที่สมบูรณ์แบบอยู่เสมอ ตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองอย่างเข้มงวด ไม่มีจุดไหนที่สามารถถูกตำหนิได้ จนกระทั่งวันนี้ ในวัดเก่ากลางลมหิมะแห่งนี้ ชายหนุ่มคนนี้พูดว่า ‘เจ้าป่วยหรือ?’
กระทั่งนางยังสงสัยว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า แต่นางรู้ว่านางฟังไม่ผิด
ฉะนั้นนางมองเฉินฉางเซิง ข่มกลั้นถามด้วยความสงบว่า “เจ้าอยากตายหรือ?”