ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 21 ลมสดชื่นไต่ถาม
สายเลือดและปราณแท้ของสวีโหย่วหรงล้วนแห้งแล้งแล้ว อ่อนแอมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องต่อสู้ ขนาดเดินทางยังไม่สามารถทำได้ ฉะนั้นประโยคนี้ที่ว่าเจ้าอยากตายหรือของนาง ไม่เพียงไม่มีความทะนงสูงส่งเกินต้านรับเช่นนั้นแล้ว กลับมีความน่าขันเล็กน้อย แน่นอนว่า ความน่าขันเช่นนี้ในสายตาของเฉินฉางเซิง อาจจะยิ่งเหมือนกับความน่ารัก
เขาหัวเราะพลางพูดว่า “ถ้าเจ้าไม่ป่วยเป็นโรค จะมีความคิดที่เหลวไหลเช่นนี้ได้อย่างไร”
สวีโหย่วหรงพยายามควบคุมอารมณ์ พูดว่า “ความคิดนี้เหลวไหลตรงไหน?”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “ข้าเคยพูด ในโลกหล้า เดิมก็ไม่มีใครที่เป็นคนสมบูรณ์แบบ ทำไม่ถึงสมบูรณ์แบบ แย่กว่าคนอื่นหน่อย ก็จะเกิดความรู้สึกอดสู นี่ไม่เหลวไหลหรือ? ความสามารถในการปลูกต้นไม้ของใต้เท้าสังฆราชสู้คนสวนในสวนร้อยหญ้าไม่ได้ เขาก็ควรต้องรู้สึกอัปยศหรือ? ฝีมือเย็บปักถักร้อยของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่สวยงามเท่าสาวทำงานในเมืองเวิ่นสุ่ย นางก็ควรต้องอัปยศหรือ?”
สวีโหย่วหรงยักคิ้วเล็กน้อย พูดว่า “สิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นการมองเรื่องราวและเลือกวิธีปฏิบัติชีวิตประเภทหนึ่ง มีเพียงการใช้ทัศนคติเช่นนี้ในการใช้ชีวิต ถึงจะมีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น”
เฉินฉางเซิงส่ายหัวพลางพูดว่า “ข้าไม่ได้หมายถึงทัศนคติเช่นนี้ไม่ควรนำมาใช้ เพียงแต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าถ้าเป็นไปตามที่เจ้าพูด สิ่งที่ให้ความสำคัญคือทัศนคติ ฉะนั้นเพียงแค่พวกเราขยันอย่างไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ก็ไม่อาจพูดได้ว่าพวกเรามีความสมบูรณ์แบบ ในเมื่อแพ้ชนะยังไม่ได้ตัดสิน เหตุใดต้องอัปยศอดสูล่วงหน้าเล่า?”
“ส่วนการดูถูกตนเองนั้น ก็ยิ่งไม่ถูกต้อง” เขาเอารากหญ้าชิ้นหนึ่งที่เพิ่งย่างสุกออกจากกองไฟแล้วยื่นให้นาง เปลี่ยนเอาชิ้นที่เย็นเล็กน้อยในมือของนางกลับมา พูดต่อไปว่า “ตอนนี้ทำไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าอนาคตทำไม่ได้ อีกทั้งแม้จะทำไม่ได้เลย แล้วมันจะทำไม? ความวิริยะบากบั่นควรจะเป็นความต้องการที่มาจากใจ ไม่ใช่มาจากการเปรียบเทียบกับผู้อื่นแล้วจิตใจห่อเหี่ยว เพียงแค่เคยขยันแล้วจริงๆ นั่นก็เพียงพอแล้ว”
สวีโหย่วหรงนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
เฉินฉางเซิงพูดอีกว่า “ข้าคิดว่าเจ้าควรคิดให้ดี ความคาดหวังที่คนอื่นมีต่อเรานั้นไม่สำคัญ พวกเราตัวเองอยากทำอะไรนั้นถึงจะสำคัญแท้จริง มนุษย์ไม่ใช่ว่าควรอยู่เพื่อตัวเองหรือ?”
สวีโหย่วหรงเงยหน้าขึ้น มองเขาปราดหนึ่ง
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของนาง พูดว่า “ความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับแน่นอนว่าต้องแบกรับ แต่การมีชีวิตอยู่นั้นควรมีเพื่อตัวเอง อีกทั้งอย่างหลังควรที่จะอยู่เหนือกว่า”
สวีโหย่วหรงคิดแล้วคิดอีก พูดว่า “ข้าไม่อาจเข้าใจได้”
เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีก หัวเราะพลางพูดว่า “ข้าก็แค่พูดเรื่อยเปื่อยเฉยๆ”
ผ่านการสนทนานี้ เขาสังเกตได้ว่าหญิงสาวผู้นี้เหมือนกับเม่นในป่า ระมัดระวังป้องกันตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทำให้ดอกไม้ใบหญ้าและผู้หวังดีที่อยู่รอบกายบาดเจ็บได้ง่ายยิ่งนัก อีกทั้งยังทำร้ายตัวเองได้อย่างง่ายดาย หรืออาจเป็นเพราะเช่นนี้ ภายใต้ภายนอกที่สงบนิ่งไม่แยแส ประนีประนอมและแข็งแกร่ง นางกลับอ่อนไหวละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้
ก่อนหน้านี้ที่เขาพูดว่าสมบูรณ์แบบนั้นเพียงแค่พูดต่อจากคำพูดของนาง ความจริงแล้วไม่เคยได้คิด เขารู้สึกว่ากระบวนความคิดเช่นนี้ของนางประหลาดมาก ถึงได้รู้สึกว่านางป่วย มีคนธรรมดาที่ไหน ที่เอาความสมบูรณ์แบบมาเป็นเป้าหมายในการใช้ชีวิต ครั้นสังเกตได้ว่าตัวเองไม่สามารถทำถึงขั้นสมบูรณ์แบบได้โดยสมบูรณ์ ก็จะเกิดความไม่มั่นใจตัวเองและดูถูกด้วยสาเหตุเหล่านี้
“คำพูดของเจ้าฟังๆ ดูแล้วมีเหตุผลอยู่บ้าง อาจทำให้ชีวิตสบายขึ้นหน่อย แต่ถ้า…”
สวีโหย่วหรงลังเลสักพัก พลันชี้แนะว่า “การอบรมสั่งสอนของข้าตั้งแต่เด็กทำให้ไม่สามารถยอมรับความคิดเห็นเช่นนี้ของเจ้า แล้วข้าควรที่จะเผชิญหน้ากับความกดดันเช่นนี้อย่างไร?”
เฉินฉางเซิงชี้รากหญ้าชิ้นนั้นในมือของนาง พูดว่า “ตอนนี้ยังร้อนรีบกินก่อน พวกเราคุยเล่นๆ”
สวีโหย่วหรงฉีกเปลือกด้านนอกที่ไหม้เล็กน้อยออกตามที่ว่า คล้อยตามไอร้อนสายหนึ่ง กลิ่นหอมที่เบาบางก็ลอยออกมาเช่นกัน
เฉินฉางเซิงพูดว่า “ก่อนอื่นพวกเราต้องรู้ว่าตัวเองอยากทำอะไรมากที่สุด เป้าหมายในการมีชีวิตอยู่คืออะไร?”
มองสีหน้าของนาง เขารีบพูดว่า “อย่าพูดคำว่าสมบูรณ์แบบอีก สมบูรณ์แบบนั้นเอามาพรรณนาระดับ ไม่ใช่ความจริงที่เจาะจง”
สวีโหย่วหรงคิดแล้วคิดอีก พูดว่า “สิ่งที่ข้าอยากทำมากที่สุดก็คือบำเพ็ญเพียร”
“เช่นนั้นก็บำเพ็ญเพียร” เขาพูด
สวีโหย่วหรงไม่พอใจเล็กน้อย ใจคิดอย่างนี้เจ้าไม่ได้แกล้งคนอยู่หรือ
เฉินฉางเซิงอธิบายว่า “นอกจากบำเพ็ญเพียร เรื่องอื่นเจ้าล้วนไม่ต้องไปขบคิด”
สวีโหย่วหรงพูดว่า “แต่เรื่องเหล่านั้นยังคงมีอยู่”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “หลับตาลงก็คือกลางคืน ไม่มองโลก โลกก็ไม่มีอยู่”
สวีโหย่วหรงพูดว่า “วาจาในอุดมคติจะโน้มน้าวตัวเองได้อย่างไร อีกทั้งการบำเพ็ญเพียรเป็นแค่วิธี ไม่ใช่เป้าหมาย”
เฉินฉางเซิงมองนาง นึกย้อนถึงสิ่งที่เห็นสิ่งที่ได้ยินตลอดการเดินทางที่ผ่านมา พูดว่า “ถ้าข้ามองไม่ผิด เป้าหมายในการบำเพ็ญเพียรน่าจะเป็น…ทำให้แข็งแกร่งขึ้น?”
สวีโหย่วหรงพูดว่า “มีเพียงแข็งแกร่งให้เพียงพอ ถึงจะสามารถแบกรับความรับผิดชอบทั้งหมดที่ต้องแบกรับ”
เฉินฉางเซิงพูดด้วยความทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อยว่า “พวกเราลืมคำว่ารับผิดชอบไปก่อนได้ไหม?”
สวีโหย่วหรงพูดด้วยสีหน้าแน่วแน่ว่า “ในตอนนี้ไม่กล้าลืมแม้แต่น้อย”
เฉินฉางเซิงคิดอย่างตั้งใจ พูดว่า “ฉะนั้นข้าแนะนำว่าก่อนที่เจ้าจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด ลืมเป้าหมายนี้ชั่วคราว เอาสติทั้งหมดวางอยู่บนการบำเพ็ญเพียรนี้”
สวีโหย่วหรงพูดว่า “ไม่มีเป้าหมาย จะเดินอย่างสบายใจได้อย่างไร?“
เฉินฉางเซิงพูดว่า “เช่นนั้นแปลว่าเป้าหมายของเจ้าไม่แน่วแน่พอ แตะต้องไม่ได้ ถ้าเป้าหมายข้อนั้นหยั่งลึกเข้าสู่ในกระแสเลือดในจิตใต้สำนึก เหตุใดจะต้องคอยเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลา?”
สวีโหย่วหรงคิดแล้วคิดอีก พูดว่า “มีเหตุผล…แล้วเป้าหมายในการบำเพ็ญเพียรของเจ้าล่ะ? ลืมไปแล้วหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่ลืม” เฉินฉางเซิงเงียบสงบสักพัก พูดว่า “สิ่งที่ข้าขอคืออายุยืน”
สิ่งที่เขาบำเพ็ญเพียรคือตามใจชอบ สิ่งที่ขอคือเต๋าแห่งความยั่งยืน
“ทำเช่นนี้มีประโยชน์อะไรไหม?” สวีโหย่วหรงถาม
เฉินฉางเซิงเข้าใจ สิ่งที่นางถามคือประโยชน์ในการจดจำว่ามันมีความหมายแต่ลืมนึกถึง ไม่ใช่การมีอายุยืนมีประโยชน์อะไร
สำหรับการกระทำเช่นนี้ ในโลกนี้มีเพียงเขาที่สามารถสัมผัสประโยชน์ที่แท้จริงว่าอยู่ที่ไหนได้มากที่สุด…เนื่องจากเป้าหมายที่เขาอยากตามหา เดิมก็เป็นแรงกดดันอันยิ่งใหญ่…เงาหลังแห่งความตาย ครอบคลุมอยู่ที่ปลายทางของการบำเพ็ญเพียรของเขามาโดยตลอด กำลังรอเขา อีกทั้งยิ่งมายิ่งใกล้ ถ้าไม่ใช่ว่าเขาลืมเป็น ก็คงจะกลายเป็นบ้าภายใต้ความกดดันที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่งเช่นนี้
เหตุใดเขาถึงบำเพ็ญเพียรตามใจชอบมาตลอดตั้งแต่วัดเก่าเมืองซีหนิง? เพราะว่าถ้าใจไม่ปลอดโปร่ง เขาไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้โดยสิ้นเชิง ทำอย่างไรถึงจะสามารถทำตามใจอยากอย่างราบรื่นภายใต้ความกดดันที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ได้? ทำได้แค่ลืม เพียงแต่จำความคิดแรกสุดของตัวเองให้ได้ ใช้ชีวิตเช่นนั้นตามธรรมชาติ มีเพียงเช่นนี้ ถึงจะสงบมีความสุข
เสียงของเขาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สงบอย่างมาก ความเร็วในการพูดไม่เร็ว ความหมายชัดเจนอย่างยิ่ง ลมหิมะที่อยู่ข้างนอกจะรุนแรงแค่ไหน ก็ไม่สามารถกดทับได้
ประตูวัดเก่าทรุดโทรมเดิมก็พังเล็กน้อย มีลมหนาวปะปนเกล็ดหิมะเข้ามา ส่วนใหญ่ถูกเปลวไฟบังไว้ มีบางส่วนตกบนใบหน้าของเขา เหมือนกับแสงไฟตกลงไปที่หน้าของเขา
ลมหนาวและแสงไฟที่อบอุ่นหลอมรวมกัน ก็กลายเป็นสายลมที่สดชื่น
สวีโหย่วหรงฟังอย่างตั้งใจมาก มองหน้าของเขา ดวงตายิ่งมายิ่งสว่างไสวใสกระจ่าง
ชายหนุ่มผู้นี้ราวกับอ่านเรื่องราวบนโลกมาหมดแล้ว กลับไม่ดูแก่ชรา ยังคงมีชีวิตชีวาเต็มที่ ราวกับลมสดชื่นสายหนึ่ง ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายอย่างยิ่ง