ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 22 หลังผ่านสี่ฤดู สุสานเยี่ยมหน้า
สวีโหย่วหรงไม่เข้าใจ ใจคิดเจ้าอย่างมากก็อายุแค่ยี่สิบกว่าปี โตกว่าตัวเองไม่เท่าไร ทำไมถึงเข้าใจชีวิตได้ขนาดนี้? อีกทั้ง…ไม่คิดว่าสามารถใช้คำศัพท์ที่ง่ายเช่นนั้น อธิบายเรื่องซับซ้อนขนาดนี้ได้เข้าใจชัดเจน พรรคภูเขาหิมะจริงๆ แล้วสอนเจ้าอย่างไร? ปกติเจ้าใช้ชีวิตอย่างไร?
นางพูดว่า “ข้าไม่เคยเจอคนที่มีวาทศิลป์อย่างเจ้าเช่นนี้”
เฉินฉางเซิงชะงักเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้รับความเห็นเช่นนี้ ตั้งแต่เด็กใช้ชีวิตอยู่กับศิษย์พี่อวี๋เหริน เขาพูดน้อยมาก เวลาส่วนใหญ่ล้วนใช้มือทำท่า หลังจากมาถึงจิงตูถูกคนจำนวนมากมองว่าเงียบขรึมไม่พูดจาบ้าง ฉะนั้นตั้งแต่เมื่อไรที่ตนเองสามารถพูดได้เยอะเช่นนี้? เพราะว่าอยู่ในสำนักฝึกหลวงต้องสอนลั่วลั่วและเซวียนหยวนผ้อ? หรือว่าเป็นเพราะในหนึ่งปีนี้ถังซานสือลิ่วคุณชายผู้ร่ำรวยที่ทำให้คนปวดหัวพูดบ่นที่ข้างหูตัวเองทั้งวัน? หรือว่า…เกี่ยวข้องกับคนที่สนทนาด้วย?
มองแสงไฟที่ส่องสว่างใบหน้าอันสดใสของหญิงสาว เขามีความลนลานอย่างไม่มีที่มาเล็กน้อย จากนั้นก็งุนงงสับสน “ก็แค่พูดไปเรื่อยตามใจ”
สวีโหย่วหรงมองเขาพลางถามอย่างตั้งใจว่า “ทำไมเจ้าถึงเข้าใจเหตุผลเหล่านี้?”
เฉินฉางเซิงใจคิด นั่นเป็นเพราะว่าเขาใช้ชีวิตในที่ราบทุ่งหญ้าตั้งแต่เด็ก ตัดขาดกับโลก ไม่มีคนสนทนากับเขา
สวีโหย่วหรงพูดว่า “มองความรับผิดชอบ ความกดดัน และการใช้ชีวิตได้ชัดเจนขนาดนี้ ถ้าไม่คิดไตร่ตรองเองทั้งวันทั้งคืนไม่สามารถทำได้ เจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ”
เฉินฉางเซิงพูดความจริงว่า “กลับไม่ได้คิดเยอะขนาดนั้น เพียงแต่เรื่องของความกดดันเช่นนี้นำมาซึ่งอารมณ์ด้านลบได้ง่าย ไม่ดีต่อสุขภาพ ฉะนั้นข้าจึงไม่ชอบ”
……
……
หลังจากลมโหมหิมะกระหน่ำหยุดลง ทั้งสองคนเดินออกไปจากวัดสักการะแห่งนี้ เดินหน้าต่อไป
จู่ๆ พวกเขาก็เดินเข้าไปยังท่ามกลางห่าฝนรุนแรง
ไม่ทันรอให้พวกเขาคิดหาวิธีหลบฝน ฝนก็หยุดลง
ตะวันส่องที่ราบทุ่งหญ้าอีกครั้ง น้ำฝนจู่ๆ ก็ระเหย ร้อนอบอ้าวไปทั่ว ราวกับมาถึงฤดูร้อน
เดินหน้าต่อไปอีก ก้านหญ้าเหลืองเล็กน้อย ติดเกล็ดหิมะขาว ถนนหญ้าขาวค่อยๆ รวมเข้าไปในที่ราบทุ่งหญ้า มองกิ่งไม้สั่นไหวส่งเสียงซาๆ ไปทั่ว ราวกับเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ
ที่ราบทุ่งหญ้าในสวนโจวแห่งนี้ ลึกลับดังคาด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปัญหาของช่องว่างที่บิดเบี้ยวหรือว่าความเร็วในการไหลของเวลา การหมุนเวียนของสี่ฤดูรวดเร็วอย่างยิ่ง บ่อยครั้งให้ความรู้สึกที่เตรียมตัวไม่ทัน และช่วงเวลาที่อลังการมากที่สุดนั้นอยู่ในระยะทางสั้นๆ สิบกว่าลี้ พวกเขาก็ได้มาถึงฤดูร้อนจากฤดูใบไม้ผลิ แล้วก็จากฤดูใบไม้ร่วงไปสู่ฤดูหนาว
สิ่งแวดล้อมแม้จะโหดร้าย แต่อย่างไรก็สามารถแก้ไขได้ สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกได้รับการปลอบใจมากที่สุดและในขณะเดียวกันก็เพิ่มความน่าตื่นเต้นขึ้นก็คือ ไม่พบสัตว์อสูรสักตัวอีก
วิ่งออกจากฤดูร้อนที่ถูกเมฆฝนปกคลุม เฉินฉางเซิงวางสวีโหย่วหรงลงท่ามกลางดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิที่ละลานตา จากนั้นนำหิมะสะอาดที่ขาวบริสุทธิ์ซึ่งได้เตรียมไว้ในฤดูหนาวรวมถึงอุปกรณ์ที่หยิบมาจากในวัดสองแห่งออกมา เริ่มละลายหิมะต้มน้ำ ในเวลาเดียวกันก็เริ่มดึงขนตัดท้องห่านป่าฤดูใบไม้ร่วงตัวนั้นที่จับไว้ตอนรุ่งอรุณ เตรียมทำกระจับตุ๋นเนื้อห่านป่าหม้อหนึ่ง
กลิ่นหอมของอาหารค่อยๆ ฟุ้งกระจาย ในที่ราบทุ่งหญ้า ข้างถนนกลับเงียบสงบไปทั่ว ไม่มีเสียงใดๆ
ความเงียบเหงาอันพิศวงเช่นนี้ เคยทำให้พวกเขาระมัดระวังอย่างมาก แต่ตอนนี้รู้จักไม่แยแสแล้ว
สิ่งที่พวกเขากังวลยิ่งกว่าคือเรื่องของเวลา ตามเวลาบนกุณฑีชลธารเคลื่อน พวกเขาเข้ามาในสวนโจวไปแล้วยี่สิบกว่าวัน ทุกครั้งสวนโจวจะเปิดเพียงร้อยวัน ครั้งปิดสวน กฎของโลกใบเล็กข้างในจะเกิดการวิปริตแปรปรวนสับเปลี่ยนหนึ่งครั้ง สัตว์อสูรปลาว่ายน้ำที่อาศัยอยู่ในนี้ไม่มีปัญหา แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีห้วงแห่งจิตจะถูกอสนีบาตผ่าฟาดตายโดยตรง
เขาไม่รู้ว่าสถานการณ์โลกนอกสวนโจวในตอนนี้เป็นอย่างไร ตามเหตุผลแล้ว ในเมื่อประตูสวนปิด แน่นอนว่าจะชักจูงความสนใจของคนนอกสวน ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาและผู้ร่ำสุราโดดเดี่ยวใต้แสงจันทร์จะเกิดการตอบสนองอย่างไร เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีวิธีเปิดประตูของสวนหรือไม่ อีกทั้งผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์นับร้อยคนที่รวมตัวกันในสวนโจว จะออกจากสวนป่านั่น จะออกตามหาสหายที่พลัดหลงเหลือคนเดียวในป่าภูเขาหรือไม่?
แน่นอนว่า สำหรับเรื่องหลังเขาไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองนัก
“เมื่อยิ่งเข้าไปถึงส่วนลึกของที่ราบทุ่งหญ้า เวลายิ่งช้า สถานที่ที่ตอนนี้พวกเราอยู่ หนึ่งวันเท่ากับเวลาประมาณเพียงหนึ่งเค่อของด้านนอก ฉะนั้นตอนนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องปิดสวนโจวชั่วคราว” ไม่กี่วันนี้ตอนที่สวีโหย่วหรงปลอดโปร่งสติแจ่มใส ใช้ถาดดาวโชคชะตาทำการคำนวณอยู่ตลอดเวลา ผ่านความแตกต่างที่ละเอียดเล็กน้อยของกุณฑีชลธารเคลื่อนสองชิ้นและความเร็วของดวงตะวันเส้นขอบที่ราบทุ่งหญ้าที่เหมือนจะตกแต่ก็ไม่ตกสักที ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำพอสมควรประการหนึ่ง
ตอนที่พูดคำพูดเหล่านี้ นางอยู่บนหลังของเฉินฉางเซิง มองกุณฑีชลธารเคลื่อนที่ถืออยู่ มีเพียงมือเดียวที่สามารถจับไหล่ของเขา แน่นอนว่าซบอยู่บนหลังทั้งหมดของเขา
ถึงตอนนี้ พวกเขาสองคนสนิทสนมกันมากขึ้น อยู่ด้วยกันอย่างอิสระขึ้นมาไม่น้อย ท่าทีที่นางกอดเขาก็ธรรมชาติขึ้นมาก ไม่เหมือนตอนแรกสุด แม้จะอ่อนแอถึงขั้นไร้พลังยึดเหนี่ยว ยังคงสองมือจับไหล่ของเขา เพื่อรักษาระยะห่างเล็กน้อยระหว่างร่างกายของตัวเองและหลังของเขา ลำบากอย่างยิ่ง
ตอนนี้เฉินฉางเซิงก็ไม่ระมัดระวังเหมือนในตอนแรกเช่นนั้นอีก ใช้ท่าทีที่มีความเป็นไปได้ว่าจะสบายที่สุดในการประคองขาของนาง และไม่กังวลว่าสูงเลยต้นขาเกินไปหน่อย
ในขณะเดียวกัน ความอิสระของนางทำให้เขารู้สึกถูกปลอบใจมากขึ้น สามารถรู้สึกถึงความนุ่มนวลของร่างกายหญิงสาว ได้เพิ่มพลังให้กับเขาอย่างมากมายในการเดินทางที่ยาวนานดั่งไม่มีที่สิ้นสุด
สัมผัสที่ส่งมาจากด้านหลังนิ่มมากจริงๆ เขาจินตนาการร่างกายของนางด้วยความเขินอายเล็กน้อย กลับได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมาก อย่างที่ในตำนานกล่าวไว้ หญิงสาวเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์น่าหลงใหลจริงๆ
นึกถึงหญิงสาวตอนนี้บาดเจ็บยังไม่หายดี ตนเองกลับคิดเรื่องพรรค์นี้ รู้สึกผิดเล็กน้อย อาจเป็นเพราะต้องการสลัดอารมณ์เช่นนี้ เขาพูดว่า “วันหลัง…เรียกเจ้าว่าหรวนหร่วน (นุ่มนิ่ม) ดีหรือไม่?”
นี่ยังคงเป็นการไม่มีอะไรจึงพูดหาอะไรพูด อีกทั้งเป็นตัวอย่างที่โง่เง่าที่สุดและย่ำแย่ที่สุดอีกด้วย คำพูดครั้นหลุดปาก เขาก็รู้สึกเสียดายภายหลัง
ตลอดทางที่ผ่านมา เขารู้แจ้งเห็นชัดมากว่านางเป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์และสงบนิ่ง เหมือนกันกับสตรีในห้องหอเล็กน้อย ไม่ชอบการหยอกเล่นเช่นนี้อย่างแน่นอน
แน่นอนว่าสวีโหย่วหรงไม่ชอบ ถ้าเป็นเวลาปกติ นางโมโหอย่างยิ่งแน่นอน จากนั้นก็จะตีเฉินฉางเซิงจนแม้แต่ลั่วลั่วยังจำไม่ได้
แต่ไม่รู้ทำไม บนใบหน้าของนางในตอนนี้เต็มไปด้วยความเขินอาย กลับไม่ได้พูดอะไร และก็ไม่ได้ทำอะไร
ในบุปผาวสันต์ คิมหันต์พิรุณ สุกงอมเดือนสารท เหมันต์หิมะพรม พวกเขาเดินผ่านสี่ฤดู เดินหน้าต่อไป พักผ่อนเป็นครั้งคราว ล่าสัตว์ประหลาดทำอาหาร ปรับลมหายใจสงบสติ จากนั้นก็จะหาวัดแห่งหนึ่งได้อยู่เสมอ พวกเขายิ่งมายิ่งรู้จักกัน แม้จะในเวลาที่ไม่ได้พูดคุย มองซึ่งกันและกันอย่างเงียบๆ ก็ไม่รู้สึกประดักประเดิดอีก กระทั่งบางครั้ง เขาทำหน้าทะเล้นแลบลิ้นปลิ้นตา เย้าแหย่นางที่อ่อนแอให้ยิ้มสักครา
แน่นอนว่า ตอนที่พักรอเนื้อสุก พวกเขายังคงสนทนาพูดคุยบ่อยๆ อีกทั้งมักจะเป็นสวีโหย่วหรงที่ร้องขอให้เขาพูดอะไรบางอย่าง ตอนที่นางเด็กมาก ก็กลายเป็นคนที่โด่งดังที่สุดในดินแดนต้าลู่ ถูกจับตามองจากสายตานับหมื่น เข้าออกล้วนมีผู้ติดตามแข็งแกร่งจำนวนมาก แต่นางนั้นโดดเดี่ยว ตอนอยู่เมืองซีหนิงเขามีเพียงศิษย์พี่ชายคนเดียวอยู่เป็นเพื่อน หลังมาถึงจิงตู ได้คุ้นเคยกับความสงบของสำนักฝึกหลวง แต่เขาไม่เคยโดดเดี่ยว เขารู้สึกถึงความโดดเดี่ยวของนางได้ ฉะนั้นทุกครั้งที่นางอยากฟังอะไรบางอย่าง เขาล้วนอ้าปากเริ่มพูด พูดเรื่องเล็กน้อยตามใจอย่างไร้ขอบเขต อย่างเช่นปลาประเภทไหนอร่อยและไม่มีพิษ ตอนที่น้ำคลองสะอาดที่สุด สามารถมองเห็นพื้นสระลึกกี่จั้ง ที่นั่นมีปลาปักเป้าชนิดหนึ่ง เพียงเอาอวัยวะภายในที่เป็นพิษออก อร่อยอย่าบอกใคร ยังมีต้นสนเหล่านั้นบนภูเขาเหมือนสัตว์อสูรมากจริงๆ
บางทีนางก็พูดบ้าง อย่างเช่นในเมืองเล็กซ้อคนไหนชอบก่นด่าตามท้องถนนมากที่สุด อาหารของร้านอาหารไหนอร่อยที่สุด เขาฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง คาดเดาว่าน่าจะเป็นสถานที่ที่นางเติบโต เพียงแต่เป็นเพราะยิ่งมายิ่งอ่อนแอ อีกทั้งนางรู้สึกว่าชีวิตตัวเองในสิบห้าปีนี้ที่ผ่านมาในสายตาคนอื่นนั้นสว่างตายิ่งนัก เทียบกับการใช้ชีวิตของเฉินฉางเซิงกลับช่างแห้งแล้งไร้รสชาติเช่นนั้น ฉะนั้นรู้สึกอัปยศเล็กน้อย ไม่อยากสนทนามากอีก
นางขอบใจเฉินฉางเซิงมากที่พูดคุยเป็นเพื่อนกับคนที่ไม่สนุกเช่นนี้คนหนึ่ง
วันไหนสักวันหนึ่งเมื่อลมหิมะมาเยือนอีกครั้ง พวกเขาพักผ่อนอยู่ในวัดเก่าแห่งที่เจ็ดข้างถนนหญ้าขาว
ที่ข้างกองไฟ เฉินฉางเซิงได้จบความทรงจำในวัยเด็กของตัวเองลง
นางมองเขาพูดด้วยความจริงใจว่า “เจ้าเป็นคนดีจริงๆ”
เฉินฉางเซิงในใจคิดคำติชมนี้ยังพอใช้ได้
นางอวยพรด้วยเสียงเบาว่า “ขอให้แสงศักดิ์สิทธิ์สถิตกับเจ้า”
วัดเก่าฝนกลางคืน เริ่มสนทนาอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก จนถึงตอนนี้ ผ่านไปสิบกว่าวันแล้ว
ขอให้แสงศักดิ์สิทธิ์สถิตกับเจ้า
ทุกวันนางจะพูดคำอวยพรประโยคนี้หนึ่งครั้ง
พวกเขาห่างจากสุสานของโจวตู๋ฟูยิ่งมายิ่งใกล้ นางก็ยิ่งมายิ่งอ่อนแอ
พึ่งพาความหนาวเย็นของเกล็ดน้ำแข็งมังกรดำ บาดแผลของเฉินฉางเซิงค่อยๆ ฟื้นฟู แต่สภาพของนางกลับไม่มีอะไรดีขึ้น พิษขนนกยูงแพร่ท่วมร่างกายของนางอย่างไม่หยุดหย่อน ค่อยๆ เริ่มปลิดชีวิตอย่างเลือดเย็น เลือดแท้หงส์สวรรค์ของนางไหลออกไปมากเกินไป ไม่มีวิธีใดๆ เฉินฉางเซิงเคยเสี่ยงผจญภัยเข้าสู่ที่ราบทุ่งหญ้า ล่าสังหารสัตว์อสูรมาจำนวนประมาณหนึ่ง แต่ถึงตอนนี้ เลือดของสัตว์อสูรเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นธาตุไฟหรือธาตุน้ำ ก็ล้วนไม่สามารถนำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ ให้กับนาง
นางหุ้มร่างด้วยเสื้อชั้นนอกของเขา พิงอยู่บนกองหญ้าอย่างเงียบๆ มองต้นไฟที่มีชีวิตชีวาในกองฟืน ไม่พูดจาอีก
วัดหิมะเงียบสงบไปทั่ว แม้กระทั่งลมก็หยุดลงแล้ว
มองสีหน้าของนางที่ขาวซีด อีกทั้งนัยน์ตาที่น้ำเริ่มแห้งขอดคู่นั้น เฉินฉางเซิงรู้สึกเศร้าโศกมาก
นั่นเป็นการเศร้าโศกล่วงหน้า
เขาอยากพูดอะไรบางอย่าง เพื่อตีความเงียบเหงาของวัดในตอนนี้แตกกระเจิง กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
มองเขาที่ก้มหน้า สวีโหย่วหรงรู้ความรู้สึกของเขา พูดด้วยความสงบว่า “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้นมา มองนางพลางพูดว่า “แม้ถึงตอนนี้ เจ้าก็ไม่ยอมพูดเรื่องราวของคืนแรก แต่ข้ารู้ว่าต้องเป็นเจ้าที่ช่วยข้าแน่ๆ อีกอย่างเจ้าไม่ทิ้งข้ามาตลอด”
สวีโหย่วหรงมองเขาอย่างเงียบๆ พูดว่า “เจ้าก็เหมือนกัน”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “ตอนนี้ข้าจู่ๆ ก็เข้าใจคำพูดของเจ้าในคืนนั้น ถ้าความสามารถของข้าแข็งแกร่งพอ แข็งแกร่งเหมือนก่อนหน้านี้ที่เจ้ายังไม่ได้รับบาดเจ็บ วันนั้นเผชิญหน้ากับเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่ามาร ข้ายังคงสามารถพาเจ้าจากไปได้ แต่ไม่ใช่โดนบีบคั้นให้หนีเข้ามาในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ เดินเข้าสู่ทางตันเส้นนี้”
สวีโหย่วหรงพูดว่า “ในทางกลับกัน ข้ารู้สึกว่าคำพูดที่เจ้าพูดในคืนนั้นถึงจะมีเหตุผล ถ้าไม่ใช่ว่าข้าฝืนขนาดนี้ ข้าอาจจะไม่ได้รับบาดเจ็บโดยสิ้นเชิง”
นี่เป็นความคิดของนางที่แท้จริงในตอนนี้ ถ้าหลังจากที่ได้สังเกตเห็นร่องรอยของเผ่ามารในสวนโจว ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะความทะนงตนของนาง เดินไปยังถนนภูเขาเส้นนั้นคนเดียว แต่เลือกที่จะร่วมมือกับผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์คนอื่น อย่างเช่นเหล่าชายหนุ่มที่รู้จักกันดีของพรรคกระบี่หลีซาน หรืออย่างเช่นเจ้าคนที่ชื่อเฉินฉางเซิง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นไปได้ว่าจะไม่เกิด
ในวัดหิมะเงียบสงบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เงียบขรึมจนทำให้ผู้คนไม่เป็นสุข
เฉินฉางเซิงไม่ชอบความสงบนี้ นึกถึงคำอวยพรที่นางพูดก่อนหน้านี้ ถามว่า “นี่เป็นธรรมเนียมตามความเคยชินของเผ่าพวกเจ้าหรือ?”
“ใช่ หมายความว่าขอให้เจ้าปลอดภัยตลอดชีวิต”
“ขอบคุณเจ้า”
“ข้าก็ขอบคุณเจ้า”
……
……
สวีโหย่วหรงอ่อนแอลงทุกวัน กลับไม่เคยลืมประโยคนั้น
นั่นเป็นการอวยพรและความหวังของนางอย่างจริงใจ
นางรู้ว่าตัวเองน่าจะออกจากที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ได้ยาก ฉะนั้นถ้ายังมีความเป็นไปได้ในการมีชีวิตอยู่ นางอยากมอบมันให้กับศิษย์พรรคภูเขาหิมะที่ใจดีคนนี้ให้มากที่สุด
และในตอนที่ชีวิตสิบห้าปีของนางราวกับใกล้ที่จะเดินไปถึงจุดสิ้นสุดของปลายทาง ถนนหญ้าขาวมาถึงปลายทางล่วงหน้า
ในตอนที่ดวงตาของนางใกล้จะหลับลง ในที่สุดนางได้เห็นสุสานแห่งนั้น
นางอยู่บนหลังของเฉินฉางเซิง สูงกว่าเขาเล็กน้อย จึงได้เห็นก่อนเขาชั่วครู่
มองไกลๆ ไปที่สุสานแห่งนั้น เหมือนภูเขาลูกหนึ่งมากกว่า ในภูเขาไม่มีผาไส้ขาด ต้นไม้สีเขียวก็มีน้อย ฉะนั้นจึงมองเห็นเส้นตรงหลายเส้นลากจากยอดสุสานถึงปลายสุสานด้านล่างได้อย่างชัดเจน
เฉินฉางเซิงเห็นแล้วรู้สึกคุ้นตาเล็กน้อย เดินเข้าไปใกล้สุสานแห่งนั้นมากขึ้นหน่อย ถึงนึกขึ้นมาได้ ที่จริงแล้วเหมือนสุสานเทียนซูมาก
เดินอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าหลายสิบวัน ในที่สุดก็หาสุสานโจวในตำนานเจอ จะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร เพียงแต่เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงในตอนนี้เหนื่อยล้ามากแล้ว ยากมากที่จะแสดงความดีใจหรือตื่นเต้นออกมา
เดินหน้าต่อไปตามถนนหญ้าขาว ระยะห่างสิบกว่าลี้ ยังคงใช้เวลายาวนานมากช่วงหนึ่ง ในที่สุดทั้งสองคนก็เดินมาถึงข้างหน้าของสุสานสีเขียวแห่งนั้น
จากส่วนนี้ก็สามารถคำนวณออกมาได้ว่า สุสานแห่งนี้จริงๆ แล้วสูงเท่าไร ใหญ่ขนาดไหน
เมื่อมาถึงบริเวณใกล้ๆ มองเห็นรายละเอียดของสุสานได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เทียบกับเมื่อตอนที่เห็นแวบแรกจากที่ไกลๆ ดูอลังการขึ้นมาหลายเท่ามาก ไอพลังกดดันและเคร่งขรึมลอยมาปะทะหน้า
เฉินฉางเซิงสังเกตเห็น รอบๆ สี่ทิศของสุสานแห่งนี้ มีเสาหินสิบแท่ง เสาหินเหล่านั้นสูงประมาณหลายจั้ง ลวดลายบุปผาที่สลักบนพื้นผิวถูกลมฝนกร่อนหลายร้อยปีจนมองร่องรอยไม่ชัดไปนานแล้ว มองดูเก่าคร่ำทรุดโทรมอย่างยิ่ง เทียบกับตัวสุสานที่โอ่อ่าอลังการ เสาหินเหล่านี้มองดูมีความประหลาดเล็กน้อย ไม่ใช่เป็นเพราะอย่างอื่น เป็นเพราะเตี้ยเกินไป มองดูแล้วมีความไม่ค่อยเข้ากัน
“เจ้าอาจไม่รู้ นอกพระราชวังหลีก็มีเสาหินจำนวนมาก ตอนนั้นตอนที่ข้าเห็นครั้งแรกก็รู้สึกแปลกมาก ไม่คิดว่าที่นี่ก็มี”
เขาพูดว่า “ไม่รู้ทำไม สุสานแห่งนี้ข้ามองดูแล้วช่างแปลกประหลาด จะบอกว่าเหมือนสุสานเทียนซู ก็รู้สึกเหมือน แต่ก็มีตรงไหนสักตรงที่ไม่เหมือน”
สวีโหย่วหรงยิ้มเล็กน้อยอย่างอิดโรย ใจคิดตอนที่ตัวเองอายุสามขวบ ก็ปีนเสาหินเหล่านั้นเล่นที่นอกพระราชวังหลีทุกวัน
นางซบอยู่บนไหล่ของเขา เงยศีรษะอย่างยากลำบากมองสุสานแห่งนี้ปราดหนึ่ง สีหน้าอ้างว้างเล็กน้อยพูดว่า “กฎระเบียบของโถงสุสานเหมือนโถงทองของพรรคฉางเซิงเล็กน้อย”
“ถูก ก็คือปัญหานี้” เฉินฉางเซิงพูดว่า “สุสานแห่งนี้เหมือนสิ่งก่อสร้างจำนวนมากที่มีชื่อเสียงที่นอกสวนโจวอย่างมาก แต่ทั้งหมดรวมอยู่ด้วยกันที่หนึ่งแล้ว รู้สึกมีความ…เล็กน้อย”
สวีโหย่วหรงกับเขาพูดขึ้นมาพร้อมกันว่า “…หัวมังกุท้ายมังกร*”
พูดหกคำนี้เสร็จ สองคนมองซึ่งกันและกันและหัวเราะ
สำหรับโจวตู๋ฟูผู้แข็งแกร่งอย่างยิ่งและมหัศจรรย์ที่สุดท่านนี้ ไม่ว่าใครก็เกรงกลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้ มาถึงข้างหน้าสุสานของเขา คิดว่าแม้ขนาดพูดจายังคงไม่กล้าเสียงดัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าติชมเช่นนี้
ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรอื่น มาถึงหน้าสุสานของโจวตู๋ฟู ไม่ต้องพูดถึงตื้นตันจนไม่เป็นตัวของตัวเอง น้ำตาไหลพราก คิดว่าก็คงสะเทือนใจจนพูดไม่ออก กระทั่งอาจตะโกนร้องลั่นเพื่อปลดปล่อยความตื่นเต้นในใจออกมา
แต่เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงนั้นไม่ พวกเขาสงบมาก กระทั่งไม่ความไม่ไยดีเล็กน้อย
และในชั่วขณะที่พวกเขาพูดสี่คำนั้นออกมาอย่างไม่ค่อยเคารพเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าและยากลำบากที่เดินทางหนีตายมาตลอดทางก็เหมือนกับหายไปอย่างไร้วี่แววจากตรงนี้
*หัวมังกุท้ายมังกร หมายถึง ไม่เข้าสำรับกัน ไม่เข้ากัน