ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 23 สุสานของบุรุษผู้นั้น
สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงนั้นตั้งใจพูดและตั้งใจทำเช่นนี้
นี่ไม่ได้แปลว่าพวกเขาสงบมากจริงๆ เหมือนกับที่แสดงออกมาอย่างไม่แยแสเช่นนี้ แต่เป็นเพราะมีเพียงเช่นนี้เท่านั้น พวกเขาถึงจะสงบลงมาได้ในเวลาอันสั้นที่สุด
บนใบหน้าของสวีโหย่วหรงนำพารอยยิ้มเล็กๆ ที่สงบและพอใจ ในที่สุดก็ได้เห็นสุสานในตำนานแห่งนี้ก่อนตาย เข้าใกล้ความลับของสวนโจวที่แท้จริง แน่นอนว่าคุ้มค่าแก่การมีความสุข
เฉินฉางเซิงมองร่มกระดาษทองหลายครั้ง มั่นใจว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เจตจำนงกระบี่สายนั้นในตอนที่พวกเขาเห็นสุสานแห่งนี้ก็หายวับไปแล้ว ไม่รู้แปลว่าอะไร
เจตจำนงกระบี่สายนั้นได้ทำการชี้ทางเสร็จสิ้นแล้ว? สระกระบี่อยู่ใกล้ๆ สุสานแห่งนี้? รอบข้างสุสานนั้นเป็นที่ราบทุ่งหญ้าสีขาวที่กว้างใหญ่ไพศาลมองไม่เห็นขอบ ภายนอกสิบกว่าลี้ที่ฝั่งตรงข้าม เหมือนจะสามารถเห็นวัดหลายแห่ง นั่นไม่ใช่วัดสักการะ น่าจะเป็นวัดรอง ไม่มีทะเลสาบ อีกทั้งไม่มีสระ สระกระบี่จะอยู่ที่ไหน?
เฉินฉางเซิงไม่ได้ขบคิดเป็นเวลานานเกินไป แบกสวีโหย่วหรงเดินไปยังสุสาน ใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงหน้าถนนสายยาวราวกับถนนสวรรค์ที่ทำจากหินธรรมดาเส้นนั้น
เหยียบย่ำบนถนนหิน มีฝุ่นธุลีใต้เท้ากระจายออกมา ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาค่อยๆ เพิ่มความเร็ว ท้ายที่สุดคาดไม่ถึงว่าจะเริ่มวิ่ง
สวีโหย่วหรงกอดคอเขา คิดพลางแย้มยิ้ม อย่างไรก็ยังเป็นผู้ชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าปี จะสงบสุขุมอย่างไรนั้นเป็นแค่ภาพลวงตา ก็จริง สิ่งที่พรรคภูเขาหิมะสืบทอดนั้นเป็นสายเลือดของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง และมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งเป็นเผ่ามังกรที่เลื่องชื่อในเรื่องการชอบขุดขุมทรัพย์ และสุสานแห่งนี้มีขุมทรัพย์จำนวนมหาศาลแน่นอน การก้าวเท้าของเขาจะไม่เร่งรีบได้อย่างไร?
บาดแผลของเฉินฉางเซิงค่อยๆ ฟื้นฟู แม้จะยังคงเหนื่อยล้า แต่ความเร็วยังคงเร็วมาก ใช้เวลาไม่นาน ก็แบกสวีโหย่วหรงวิ่งมาถึงปลายทางถนนเสิน (ถนนเทพ) ยาวพันจั้งสายนี้ มาถึงส่วนกลางของสุสานที่ใหญ่โตแห่งนี้ มองประตูหินที่หนักหน่วงสูงประมาณสิบกว่าจั้งที่อยู่ด้านหน้าบานนี้ เขาหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง สองมือดันไปที่ข้างหน้า กลับรู้สึกว่าสบายกว่าที่คิดไว้
จู่ๆ ประตูของสุสานก็ถูกเปิดออก ในซอกหลืบที่ยิ่งมายิ่งกว้าง กระจายฝุ่นที่เล็กละเอียดออกมาบ้าง
เฉินฉางเซิงดึงกระบี่สั้นออกมา วางขวางอยู่เบื้องหน้ากาย เดินเข้าไปข้างในของสุสาน ระมัดระวังเป็นอย่างมาก
สวีโหย่วหรงพิงอยู่ที่หัวไหล่ของเขา สีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน นิ้วมือยื่นออกมาอย่างต่อเนื่อง คำนวณอย่างเงียบๆ
สุสานแห่งนี้ สามารถพูดได้ว่าเป็นสถานที่ที่ลึกลับที่สุดของต้าลู่ดินแดนตะวันออก ในนั้นฝังบุรุษที่เคยทำให้ผู้คนทั้งโลกหวาดกลัว
ตอนนี้แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่า ที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลแห่งนั้นเป็นแค่สวนสุสานของสุสานแห่งนี้
ขนาดสวนสุสานยังกว้างใหญ่อันตรายเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวสุสาน
ไม่ว่าใครก็ไม่ทราบว่าในสุสานแห่งนี้มีอะไร
เพิ่งได้เดินเข้าประตูหิน เพียงระยะห่างไม่กี่ก้าว จู่ๆ ความมืดมิดที่บริเวณไกลๆ ก็มีแสงไฟจุดสว่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน ราวกับในท้องฟ้าค่ำคืนที่ไม่มีดวงดาว มีคนจุดกองเพลิงขึ้นมาในป่า
เฉินฉางเซิงจ้องมองไปยังสถานที่ห่างไกล เตรียมต่อสู้หรือว่าหันหลังหนีอยู่ตลอดเวลา
เวลาต่อมา แสงสว่างดวงที่สองในส่วนลึกของสุสานพลันสว่างขึ้นมา ต่อจากนั้น แสงสว่างที่ยิ่งมายิ่งมากปรากฏขึ้นมาต่อเนื่องกัน มุ่งมายังพวกเขา กลายเป็นเส้นแสงที่สว่างสองเส้น
ในที่สุด แสงสว่างก็มาถึงข้างหน้าของพวกเขา ที่จริงแล้วเป็นไข่มุกราตรีที่ประดับอยู่บนกำแพงถนนสู่ใจกลางสุสานสว่างขึ้นมา
ไข่มุกราตรีเหล่านั้นกลมมน ใสโปร่ง ทุกเม็ดล้วนมีขนาดประมาณชาม
ไข่มุกราตรีเหล่านี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนเม็ดที่ลั่วลั่วให้เขา แต่ไม่เล็กไปกว่าไข่มุกราตรีเหล่านั้นที่อยู่บนแท่นกานลู่ อีกทั้งถนนสู่ใจกลางสุสานเส้นนี้ก็ยาวมาก เชื่อมไปยังบริเวณส่วนลึกของสุสาน ไข่มุกราตรีบนกำแพงอย่างน้อยมีเป็นพันเม็ด ยากที่จะจินตนาการ ตอนที่โจวตู๋ฟูสร้างสุสานให้กับตัวเอง หาไข่มุกราตรีที่แทบจะเหมือนกันมามากขนาดนี้จากที่ไหน
ภายใต้เส้นแสงส่องสว่างอันนุ่มนวลของไข่มุกราตรี เขาแบกสวีโหย่วหรงเดินตรงไปที่ส่วนลึกของสุสาน
ถนนสู่ใจกลางสุสานที่เชื่อมไปยังส่วนลึกของสุสานเส้นนี้ น่าจะเป็นถนนสู่ปรโลกที่จักรพรรดิตั้งกฎขึ้นมาในสุสาน หมายความว่าเชื่อมไปยังอเวจี แน่นอนว่า ในคัมภีร์นิกายหลวง ถนนสู่ใจกลางสุสานโดยปกติเรียกว่าถนนหมิง หมายความว่าเชื่อมไปยังแดนเทพที่แสงสว่างอนันต์ในทะเลดวงดาว ก็เหมือนกับถนนหินข้ามผ่านท้องฟ้าที่ยาวหลายพันจั้งเส้นนั้นที่นอกสุสาน ถูกเรียกว่าถนนเสิน เป็นความหมายเดียวกัน
เดินอยู่บนถนนสู่ใจกลางสุสานที่ยาวไกล ได้ยินเพียงเสียงสะท้อนของฝีเท้า แม้จะมีแสงไข่มุกราตรีส่องสว่างตลอดเส้นทางด้านหน้า แต่ก็ยังคงรู้สึกอึมครึมน่ากลัวอยู่ดี
เฉินฉางเซิงจู่ๆ ก็รู้สึกถึงเหมือนกับบริเวณหัวใจส่งความเหน็บหนาวสายหนึ่งมา แบ่งแยกเป็นห้วงแห่งจิตสายหนึ่งแล้วเข้าสำรวจตนเอง สังเกตเห็นว่าในสระหนาวเหน็บที่นอกแดนลี้ลับแห่งนั้นเหมือนจะมีสัญญาณการตื่นขึ้นมาของมังกรดำ เขาชะงักเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้ มุมปากแสดงรอยยิ้มออกมา ใจคิดสมกับที่เป็นมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งในตำนานที่ชอบอัญมณีหินแร่มากที่สุด แม้จะอยู่ในสภาพหลับลึกก็รู้สึกถึงการมีอยู่ของไข่มุกราตรีเหล่านี้
สวีโหย่วหรงมองหน้าของเขาจู่ๆ เผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาก ไม่เข้าใจอย่างมาก อีกทั้งรู้สึกประหลาดเล็กน้อย ถามด้วยเสียงแผ่วเบา
เฉินฉางเซิงไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ทำได้เพียงยิ้มแล้วก็ยิ้ม มองดูเหมือนมีความโง่งมเล็กน้อย
เกินกว่าที่พวกเขาสองคนคาดไว้ ถนนสู่ใจกลางสุสานนี้ไม่มีกลไกใดๆ ไม่พบอสูรร้ายที่เฝ้าสุสานเหล่านั้น และแล้วก็เดินไปถึงบริเวณลึกสุดของสุสาน ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
ปลายทางของถนนหมิงเป็นประตูหินอีกบาน
ตอนที่ฝ่ามือของเฉินฉางเซิงวางลงไป พลันนึกถึงตอนชุมนุมไม้เลื้อยที่ตัวเองถูกม่ออวี่ขังอยู่ในวังถง ตลอดจนเดินไปถึงพื้นใต้สระน้ำมังกรดำแล่นวาบเข้ามา ภาพตอนที่ผลักประตูหินบานนั้นออก ตอนนั้นเขาผลักประตูหินบานนั้นออกด้วยความคิดที่ว่าต้องตายแน่ๆ ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอมังกรดำที่หลังประตูหิน และต่อจากการได้พบเจอในครั้งนี้มันก็ช่วยเหลือชีวิตเขาไว้หลายครั้ง
หากผลักประตูหินบานนี้ออก จะได้เจออะไรอีก?
คล้อยตามเสียงแรงเสียดทานที่เบามาก ประตูหินค่อยๆ ถูกเปิดออก
ประตูหินบานนี้ไม่ได้เปิดมาหลายร้อยปีแล้ว
หลังประตูเป็นโลกที่หลายร้อยปีไม่เคยมีใครมาเยี่ยมเยือน
เสาหินที่สูงหลายสิบจั้ง ค้ำยอดโถง
พื้นที่ว่างแสดงถึงความยิ่งใหญ่จนหาที่เปรียบมิได้
บริเวณส่วนลึกของสุสาน ที่จริงแล้วไม่ใช่ห้องสุสาน แต่เป็นพระราชวังหลังหนึ่ง
ส่วนที่ลึกที่สุดของพระราชวัง มีโลงศพหินสีดำโลงหนึ่ง
เฉินฉางเซิงแบกสวีโหย่วหรงเดินไปถึงหน้าโลงศพหินสีดำโลงนั้น ถึงสังเกตเห็นว่าโลงศพหินสีดำโลงนี้ใหญ่โตไร้ใดเปรียบ เหมือนกับภูเขาหินสีนิลลูกหนึ่ง
ยืนอยู่หน้าโลงศพหินสีนิล เงาร่างของพวกเขาสองคนเล็กมาก
โลงศพหินโลงนี้ทำมาจากหินภูเขาไฟ ผิวนอกมืดสนิทไร้แสง สะท้อนกลิ่นอายของความเงียบสงัด มองไม่เห็นร่องรอยซอกหลืบและรอยเชื่อมต่อรวมตัวใดๆ กลับมีความเป็นไปได้สูงที่ทำมาจากหินภูเขาไฟ ทั้งก้อน
เฉินฉางเซิงคิดอย่างเงียบขรึมว่า หรือว่านี่เป็นภูเขาหินสีดำลูกหนึ่ง?
ผิวนอกของโลงศพหินภูเขาไฟสีดำไม่มีลวดลายใดๆ อีกทั้งไม่มีตัวอักษรที่แสดงสถานะตัวตนของคนในโลงศพ มีเพียงเช่นนี้ถึงจะยิ่งเคร่งขรึม
บุรุษที่ตอนนี้นอนแน่นิ่งอยู่ในโลงศพหินภูเขาไฟผู้นั้น ไม่จำเป็นต้องมีลวดลายใดๆ มาเพิ่มสีสันให้กับตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีการจดบันทึกใดๆ เพื่อสรรเสริญคุณธรรมของตัวเอง
ตอนที่บุรุษผู้นั้นอยู่ในวัยหนุ่ม เคยถูกขนานนามว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของแม่น้ำลั่ว
ต่อมา เขาชนะจักรพรรดิไท่จงขาดลอย จึงถูกขนานนามว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของที่ราบลุ่ม
ต่อมา เขาเดินทางไกลไปทางใต้ ชนะยอดฝีมือจำนวนมากของพรรคฉางเซิงและสำนักต้นไหว ย่ำซุ้มประตูของสถานศึกษาหนานซีจนแบน ฉีกผ้าคลุมหน้าของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ในรุ่นนั้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาถูกขนานนามว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของเผ่ามนุษย์
ต่อมา เขาอยู่ท่ามกลางการโอบล้อมของผู้แข็งแกร่งเผ่ามารจำนวนมาก โจมตีราชามารจนบาดเจ็บหนัก แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว เขาถูกขนานนามว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของต้าลู่
ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของต้าลู่ในที่นี้ กระทั่งไม่มีการจำกัดเวลา ไม่ใช่แค่จำกัดอยู่แค่ในสมัยนั้น แต่เป็นการมองไปในอนาคตห้าร้อยปี มองไปในอดีตห้าร้อยปี เขาล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด ไม่มีหนึ่งใน
ฉะนั้นเขามีฉายาอีกอันหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งพันปี
มองไปรอบจักรวาลไร้คู่แข่ง น่าจะเป็นเพราะความเงียบเหงาเช่นนั้น จึงทำให้เขาหายไปจากตรงนั้น เหลือเพียงแค่ความมหัศจรรย์ที่ไม่สามารถเลียนแบบได้
สุดท้าย ใต้หล้าขนานนามเขาว่า ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งใต้ท้องฟ้าดวงดาว
เขาใช้ภูเขาหินภูเขาไฟสีดำทั้งก้อนมาทำเป็นโลงศพ ใช้ที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลทั้งแห่งเป็นสวนสุสาน ใช้โลกใบหนึ่งเป็นที่ฝังกลบของตัวเอง ยังจะต้องการตั้งแผ่นป้ายอนุสรณ์สลักชื่อตัวเองลงบนแผ่นป้ายไปทำไม
เขาคือโจวตู๋ฟู
เขาเป็นไปได้แค่โจวตู๋ฟู
……
……
ยืนอยู่หน้าโลงศพหินภูเขาไฟขนาดใหญ่ เฉินฉางเซิงเงียบขรึมสักพัก ทำความเคารพอย่างเงียบๆ ครั้งหนึ่ง แล้วก็แบกสวีโหย่วหรงเดินต่อไปยังข้างหน้า ไม่ได้หยุดอยู่เป็นเวลานาน
สวีโหย่วหรงไม่สามารถเข้าใจความสงบของเขาได้ ถามว่า “เจ้าน่าจะรู้ว่าคนในโลงศพหินดำโลงนี้คือใคร”
เฉินฉางเซิงพูดเหมือนกับท่องหนังสือว่า “ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งใต้ท้องฟ้าดวงดาว มหัศจรรย์แห่งความไม่พ่ายแพ้ พี่น้องร่วมสาบานของจักรพรรดิไท่จงแห่งต้าโจว”
“ถ้าเพียงแค่แข็งแกร่งนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาถูกผู้คนบนโลกจดจำเป็นเวลานานขนาดนี้”
สวีโหย่วหรงพูดว่า “เผ่ามนุษย์สามารถรบชนะเผ่ามาร จริงๆ แล้วมีสาเหตุที่สำคัญสุดข้อหนึ่งซึ่งถูกตั้งใจลืมโดยหนังสือประวัติศาสตร์และเหล่าผู้คนมาโดยตลอด นั่นก็คือโจวตู๋ฟูรบชนะและโจมตีราชามารจนบาดเจ็บสาหัส”
เฉินฉางเซิงไม่ได้หยุดการก้าวเท้า กลับเพิ่มความเร็วในการก้าวเดิน พูดว่า “ข้ารู้เรื่องนี้ และก็รู้ระดับความสำคัญของเรื่องเรื่องนี้”
“ฉะนั้น เขานอกจากมหัศจรรย์แล้ว ยิ่งเป็นวีรบุรุษผู้หนึ่ง” สวีโหย่วหรงพูดว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรวัยเยาว์ที่ข้าเคยพบมาทั้งหมด ส่วนใหญ่ล้วนมองเขาเป็นต้นแบบ กราบไหว้เขาอย่างกระหายรุ่มร้อน ถ้าให้พวกเขามาถึงหน้าโลงศพของโจวตู๋ฟูนี้ แน่นอนว่าต้องกราบไว้อย่างตั้งใจ จะไม่แยแสอย่างเจ้าเช่นนี้เสียที่ไหน”
“ถ้าเป็นเวลาอื่น ข้าก็น่าจะเป็นเช่นนั้น” เฉินฉางเซิงพูดว่า “แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีเวลาไปอารัมภ์พร่ำเพ้อถึงอดีต อีกทั้งอย่างไรเขาก็ตายไปแล้ว”
สวีโหย่วหรงถามว่า “แล้ว?”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “จะวีรบุรุษอย่างไร ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์อย่างไร เพียงแค่ตายแล้วก็ไม่สามารถฟื้นกลับมาได้อีก ไม่สามารถบอกพวกเราได้ว่าจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้อย่างไร สถานการณ์ของพวกเราตอนนี้ย่ำแย่มาก ในเวลาเช่นนี้ยังคิดแต่จะอาวรณ์ผู้อาวุโส ฉะนั้นพวกเราจะกลายเป็นผู้ถูกอาลัยอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่า ยิ่งมีความเป็นไปได้ที่จะถูกผู้คนลืมเลือนอย่างรวดเร็ว”
พูดคำพูดเหล่านี้จบ พวกเขาก็มาถึงบันไดหินของด้านหลังโถงสุสาน ข้างหน้ามีประตูเรียงเป็นแนว บนพื้นดินที่หน้าประตูปิดด้วยฝุ่นชั้นบางๆ มองไม่เห็นร่องรอยใดๆ ขนาดร่องรอยของลมยังไม่มี มองดูแล้ว สุสานแห่งนี้ไม่เคยมีใครเปิดจริงๆ อีกทั้งไม่มีใครเคยเข้ามา พวกเขาเป็นอาคันตุกะชุดแรก
เหมือนกับประตูสุสานของสุสานแห่งนี้ ประตูของห้องศิลาเหล่านี้ไม่มีกลอน
เดินเข้าไปในห้องศิลาห้องแรก ลมปนเปื้อนกลิ่นเหม็นเน่าพัดมาปะทะหน้า เขากลั้นหายใจ หรี่ตา ยืมเส้นแสงที่ทะลุผ่านมาจากด้านหลัง มองไปยังข้างในห้อง เห็นเพียงในห้องหินมีแกนไม้ที่ผุพังจำนวนมาก อย่างน้อยมีศาสตราวิเศษหลายร้อยชิ้นกระจายอยู่ทุกแห่ง มองจากรูปร่าง ศาสตราเหล่านั้นไม่ธรรมดาแน่นอน เพียงแต่เป็นเพราะว่าวางไว้นานเกินไป ไอพลังปราณในศาสตราวิเศษกระจายหายไปแล้ว ไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็กทองแดงผุพัง
จู่ๆ สวีโหย่วหรงก็เปิดปากตกตะลึงส่งเสียงออกมาเบาๆ
เฉินฉางเซิงมองตามไปที่สายตาของนาง เห็นเพียงในกองไม้ผุที่มุมสุดนั่นเหมือนมีอะไรบางอย่าง