ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 24 ขุมทรัพย์ที่เขาตามหา
สุสานของโจวตู๋ฟู สิ่งที่ใช้แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งของธรรมดา ชั้นวางไม้ในการจัดวางศาสตราวิเศษเหล่านั้น น่าจะทำมาจากไม้เบญจชิงชันที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งใต้ท้องฟ้าดวงดาวท่านนั้นไม่ค่อยถนัดเครื่องของโบราณ รู้เพียงแค่ไม้เบญจชิงชันล้ำค่าหายากอย่างยิ่ง ทนการกัดแทะของแมลง กลับไม่รู้ว่าไม้แข็งเช่นนี้จำเป็นต้องเก็บรักษาในสภาพแวดล้อมที่เปียกชื้น ในสภาพเย็นแห้งเช่นนี้ในห้องสุสาน เพียงแค่หลายสิบปีก็ผุพังได้ ไม้ผุพังกองนั้น ณ มุมห้องหิน ในเวลาที่ยังสมบูรณ์ อาจจะสามารถขายได้ราคาสูงลิบ แต่ตอนนี้อย่างมากก็เป็นแค่กองไม้ผุไร้ราคา
สิ่งที่สามารถทำให้หญิงสาวนักปราชญ์ผู้เปี่ยมด้วยความรู้รอบด้านมากเช่นนี้แสดงอาการตกตะลึงออกมา แน่นอนว่าไม่ใช่กองไม้ผุพังกองนั้น แต่เป็นสิ่งของชิ้นนั้นในกองไม้
เฉินฉางเซิงเดินเข้าไป หยิบศาสตราที่เหมือนกับไม้บรรทัดขึ้นมาเขี่ยกองไม้ผุออก สังเกตเห็นว่าที่ฝังอยู่ข้างล่างก็เป็นศาสตราชิ้นหนึ่งเช่นกัน ศาสตรานั้นสีดำดั่งหมึก ไม่รู้ว่าใช้วัสดุอะไรทำ ลูบแล้วเกลี้ยงเกลาหาที่เปรียบมิได้ เหมือนเป็นซากดึกดำบรรพ์ของไม้ยืนต้นชนิดพิเศษประเภทหนึ่งที่ชายทะเลฝั่งตะวันตก
“นี่คืออะไร?” เขาเอาศาสตราสีดำก้อนนั้นยื่นให้สวีโหย่วหรง พลันเอ่ยถาม
สวีโหย่วหรงรับศาสตราชิ้นนั้น สังเกตอย่างละเอียดเป็นเวลานาน ใช้นิ้วมือลูบสัมผัสช้าๆ สุดท้ายพูดว่า “ถ้าดูไม่ผิด นี่น่าจะเป็นศูนย์กลางจิตวิญญาณของเมืองไป๋ตี้”
เฉินฉางเซิงรู้สึกเหนือคาดเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นชื่อนี้ในคัมภีร์ลัทธิเต๋าสามพันมหามรรค ถามว่า “ศูนย์กลางจิตวิญญาณ?”
สวีโหย่วหรงเอาศาสตราสีดำชิ้นนี้คืนให้เขา ใช้สายตาบอกเขาว่าเก็บให้ดี พูดว่า “ใช่ พลังที่เหลือเชื่อมากที่สุดของศูนย์กลางจิตวิญญาณชิ้นนี้ก็คือสามารถขับไล่สัตว์อสูร แม้จะเป็นสัตว์อสูรระดับสูงในตำนานที่ใกล้จะเข้าเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นก็ไม่สามารถต่อต้านคำสั่งของศูนย์กลางจิตวิญญาณได้ ราชวงศ์จักรพรรดิขาวสามารถปกครองเขตแดนปีศาจเป็นเวลาหลายปีขนาดนี้ สิ่งที่ใช้พึ่งพิงในตอนแรกสุดก็คือจุดนี้ แน่นอนว่า นี่ก็เป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา นอกจากตระกูลของจักรพรรดิขาว มีคนนอกรู้น้อยมาก ถ้าไม่ใช่ว่าข้าเคยเห็นภาพฉากหนึ่งที่บริเวณผู้อาวุโสก็คงจะดูไม่ออก”
หลังหยุดสักพัก นางพูดต่อว่า “ไม่คิดว่าสมบัติล้ำค่าอย่างยิ่งของเผ่าปีศาจชิ้นนี้จะถูกโจวตู๋ฟูแย่งชิงไปจากเมืองไป๋ตี้ อีกทั้งยังถูกเขาใช้ในสวนโจว ที่สัตว์อสูรในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนั้นไม่กล้าเข้าใกล้สุสานแห่งนี้ กลับปกป้องสุสานแห่งนี้เป็นเวลาหลายร้อยปีอีกด้วย อาจเป็นเพราะการมีอยู่ของศูนย์กลางจิตวิญญาณ”
เฉินฉางเซิงคาดไม่ถึงว่าศาสตราชิ้นนี้เป็นสิ่งของสำคัญถึงเพียงนี้ เก็บเข้าไปอย่างไม่ลังเลสักนิด
ตามเหตุผลรวมถึงนิสัยในเวลาปกติแล้ว เขาน่าจะสนทนากับสวีโหย่วหรง ทรัพย์สมบัติที่หาเจอในสุสานแห่งนี้จะแบ่งกันอย่างไร แต่ตอนนี้เขารีบหาสิ่งของชิ้นอื่น มิได้พะวงใส่ใจในการพูดสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งที่สำคัญคือ ในเมื่อศูนย์กลางจิตวิญญาณเป็นของตระกูลจักรพรรดิขาว เขาคิดว่าสิ่งของชิ้นนี้สมควรคืนให้แก่ลั่วลั่ว
สวีโหย่วหรงพยายามมองการแสดงออกของเขาทั้งหมด กลับไม่มีการตอบสนองใดๆ สัจจะสัญญาและความเชื่อใจตลอดทางที่ผ่านมานี้ ทำให้พวกเขายากที่จะเกิดความเข้าใจผิดซึ่งกันและกันมานานแล้ว ในทางกลับกันนางยังเตือนเขาประโยคหนึ่ง “ตามคำอธิบายในภาพวาดนั้น ศูนย์กลางจิตวิญญาณน่าจะต้องคู่กับไม้จิตวิญญาณ ถึงจะสามารถแสดงความสามารถออกมาได้ทั้งหมด แต่ไม้จิตวิญญาณไม่ได้อยู่ตรงนี้”
เฉินฉางเซิงเอาศาสตราผุๆ พังๆ ราวไม้บรรทัดเหล็กคุ้ยไปมาในกองไม้ผุ สวีโหย่วหรงอธิบายเมื่อเห็นศาสตราที่เขาคุ้ยออกมาแต่ละชิ้น ขุดเจอที อธิบายที เขาเพิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วศาสตราที่เหมือนเศษเหล็กทองแดงผุพังเหล่านี้ ตอนนั้นล้วนมีชื่อเสียงมาก แม้กระทั่งยังมีศาสตราสามชิ้นที่เคยถูกจัดอยู่ในอันดับร้อยศาสตราโดยหอความลับสวรรค์
ศาสตราเหล่านี้ไม่สามารถทำให้เขาหยุดการก้าวเท้าเป็นเวลานาน มั่นใจว่าในห้องหินไม่มีสิ่งของที่ตัวเองต้องการ เขาหันหลังจากไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เดินไปยังห้องหินที่สองที่อยู่ทางขวามือ ในระหว่างการขยับตัวเคลื่อนไหว ถึงจะหาเวลาว่างพูดคุยกับสวีโหย่วหรงว่า “สิ่งของที่หาเจอทั้งหมด พวกเราแบ่งเท่ากัน”
สวีโหย่วหรงพิงอยู่ที่ไหล่ของเขา หัวเราะเบาๆ พลางพูดว่า “ถ้าสามารถออกไปได้”
ของในห้องหินที่สองไม่เสียง สิ่งของเหล่านั้นแม้จะไม่ใช่สิ่งของที่ล้ำค่าที่สุดในโลก แต่แน่นอนว่าเป็นสิ่งของที่ทุกคนล้วนชมชอบ แม้จะถูกชนชั้นสูงติว่าเชยอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งเอาคำว่าดินปนอาจมไปพรรณนา แต่ถ้าให้พวกเขาเห็นภาพที่อยู่ข้างหน้าภาพนี้ ต้องตื่นเต้นจนตัวสั่นอย่างยากจะควบคุมเหมือนกันเป็นแน่
นั่นเป็นทองคำอร่ามมลังเมลืองเต็มห้อง แม้จะผ่านไปเป็นเวลาหลายร้อยปี ยังคงสว่างไสวสะดุดตา ทำให้คนที่เห็นมันไม่หรี่ตาไม่ได้ ราวกับต้องทำเช่นนี้ถึงจะไม่ถูกแผดเผาจนบาดเจ็บ
สวีโหย่วหรงสะท้านใจไร้คำพูด ใจคิดโจวตู๋ฟูในตอนนั้นกวาดราบในดินแดนต้าลู่ จริงๆ แล้วได้ทำเรื่องปล้นฆ่าชิงทรัพย์ไปเท่าไร? เฉินฉางเซิงสงบกว่ามาก ไม่ใช่เป็นเพราะการอบรมบ่มนิสัยของเขาสูงกว่า จึงมองความหรูหราเหมือนเมฆลอยอะไรเทือกนั้น แต่เป็นเพราะเขาเคยอยู่ที่ใต้ดินของพระราชวังต้าโจว ในช่องว่างที่หนาวเหน็บแห่งนั้น เขาเคยเห็นทองคำอร่ามมลังเมลืองมากกว่านี้
คนที่เคยมีประสบการณ์ แน่นอนว่าไม่ถูกทำให้ตื่นเต้นได้ง่าย แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจต่อทองคำที่ถูกทิ้งขว้างเต็มห้องนี้
ก่อนหน้านี้ตอนที่ยืนยันได้ว่าในสุสานไม่มีความอันตรายใดๆ เขาได้เก็บกระบี่สั้นเข้าปลอกไปแล้ว เวลานี้ เขาดึงทั้งกระบี่สั้นและปลอกกระบี่ออกจากบริเวณเอว เดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยทอง เริ่มชี้ไปชี้มา
คำพูดของมหาปูชนียาจารย์ แม้ศิลาก็ต้องพยักหน้ารับ เขานั้นไม่มีความสามารถในการชี้ทองคำเปิดปัญญาบรรลุวิชาเต๋า ชี้หินสามารถกลายเป็นทองคำ เขาก็ไม่ปรารถนาจะเปลี่ยนทองคำเป็นหินอีกครั้ง แล้วทำให้อนุชนสัมผัสหมื่นสิ่งกลายเป็นหนึ่งเดียว เหตุผลของการรักษาซึ่งเสถียรภาพ สิ่งที่เขาจะทำ คือเก็บทองคำเหล่านี้ทั้งหมดขึ้นมา หนึ่งชิ้นก็ไม่เหลือ
ถ้ารอมังกรดำตื่นขึ้นมา สังเกตเห็นว่าเขาเหลือทองคำไว้ก้อนหนึ่ง ต้องโวยวายกับเขาไม่จบไม่สิ้นแน่
ตามการขยับเล็กน้อยของปลอกกระบี่ในมือเขา ทองคำในห้องหินลดลงด้วยความเร็วที่สามารถมองด้วยตาเปล่า จนกระทั่งหายวับไปทั้งหมด ไม่รู้ว่าหายไปไหน
สวีโหย่วหรงรู้นานแล้วว่ากระบี่ในมือของเขาเล่มนั้นมีความแปลกประหลาด น่าจะเป็นศาสตราช่องว่างชิ้นหนึ่ง บนตัวของนางก็มีศาสตราที่คล้ายคลึงกัน ลูกธนูอู๋ธนูถงและยังมีสิ่งของเครื่องใช้ที่ติดตัวบางอย่าง ล้วนเก็บอยู่ด้านใน ฉะนั้นนางจึงไม่รู้สึกตกตะลึง เพียงแต่มีความสงสัยเล็กน้อย ช่องว่างในกระบี่ด้ามนี้เหมือนจะใหญ่ไปหน่อย ตลอดทางที่เดินมาเห็นเขายัดของเข้าไปข้างในเยอะมากเกินไป
ย้ายทองคำทั้งหมดที่เต็มห้องออก ก็ไม่ได้ใช้เวลามากเกินไป เฉินฉางเซิงแบกนางไปจากอย่างรวดเร็ว มาถึงในห้องหินที่สาม
ในห้องหินห้องนี้เต็มไปด้วยหินผลึก ตามเวลาที่เคลื่อนผ่าน พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในหินผลึกเหล่านั้นต่างกระจัดกระจายหายไปบ้าง เหลือประมาณเศษสามส่วนหนึ่งของเดิม แต่ยังคงเป็นของดี ไม่ต้องให้สวีโหย่วหรงพูดอะไร เขาก็จัดการเหมือนที่อยู่ในห้องหินที่สองแบบนั้น กวาดเกลี้ยงจนในห้องเหลือแต่ความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
ในห้องหินที่สี่เป็นอัญมณีหลากหลายแบบ
ท่าทีของเฉินฉางเซิงครั้งนี้ยิ่งเร็ว สวีโหย่วหรงทันแค่กะพริบตา ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เหล่าอัญมณีพวกไข่มุกราตรี ปะการัง มรกต หยกขาว ถูกเขาเก็บเข้าไปในปลอกกระบี่ จนทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองใช่ตาลายหรือไม่ หรือว่าเมื่อครู่อาจจะไม่มีอะไรในห้องหินห้องนี้เลย?
ในห้องหินห้องที่ห้าเป็นวิชาตำราลับหลายแบบหลายอย่าง สวีโหย่วหรงเดิมคิดว่าครั้งนี้เขาน่าจะระมัดระวังหน่อย เพื่อให้มั่นใจว่าวิชาตำราลับเหล่านั้นจะไม่เสียหายระหว่างการขนย้าย ต้องรู้ว่า วิชาตำราลับเหล่านี้เป็นที่ครอบครองของผู้แข็งแกร่งจำนวนมากของดินแดนต้าลู่ในสมัยนั้น แทนจำนวนสนามรบมหาศาลของโจวตู๋ฟู เป็นประวัติศาสตร์ของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ระดับความล้ำค่าและความสำคัญไม่พูดก็รู้ แต่แล้วเฉินฉางเซิงยังคงออกจากห้องหินนี้อย่างรวดเร็วมาก ไม่ได้หยุดอยู่เป็นเวลานาน ทิศที่ปลายแหลมกระบี่ชี้ สิ่งที่เห็นนั้นเป็นความว่างเปล่า ในสายตาของเขา วิชาตำราลับเหล่านี้ไม่ต่างอะไรกับเศษกระดาษไร้ค่า
สวีโหย่วหรงไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ตอนที่เขาอยู่ที่หน้าประตูห้องหินที่หก เพียงแค่มองข้างในปราดเดียวก็หันหลังจากไป ความไม่เข้าใจชนิดนี้แตะถึงขั้นขีดสุด
นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับห้องเต็มไปด้วยทองคำ หรือว่าหินผลึกศาสตราวิเศษ สายตาของเขาล้วนสดใสเช่นนั้น ไม่มีสีหน้าความโลภใดๆ ขนาดความดีใจที่ทุกคนน่าจะมีก็มองไม่เห็นสักเศษเสี้ยว ท่าทางที่ไม่สนใจในตอนที่เขาเอาเหล่าทองคำหินผลึกศาสตรา ราวกับแค่ได้เห็นก็เลยหยิบขึ้นมา ฉะนั้นที่จริงแล้วเขากำลังหาอะไรอยู่?
“ในสุสานแห่งนี้มีอะไรที่เจ้าต้องการจะเอาให้ได้หรือ?” นางถาม
เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบคำถามของนาง ไม่มีเวลาตอบคำถามของนาง การเดินระหว่างห้องหิน ความเร็วยิ่งมายิ่งเร็ว
ในตอนที่เขาเดินมาถึงห้องหินที่เก้า สวีโหย่วหรงสังเกตเห็น ดวงตาของเขาจุดประกายสว่างขึ้นมาในที่สุด อีกทั้งมองเห็นถึงความดีใจ
ในห้องหินห้องนี้ไม่มีชั้นวางไม้ใดๆ โถแจกันจำนวนมากถูกวางอยู่บนพื้นอย่างตามใจ แจกันบางอันทำมาจากเครื่องสังคโลก โถบางชิ้นเหมือนเหยือกดินเผาที่เอาไว้ตุ๋นน้ำแกงไก่ และก็ดีที่ไม่ได้วางไว้บนชั้นวางไม้ มิฉะนั้นขวดถังเหล่านี้ต้องตกแตกเป็นแน่
เฉินฉางเซิงเดินมาถึงข้างหน้าพวกขวดถังแจกันโถเหล่านี้ ปลายนิ้วขยับเล็กน้อย สายตาตั้งใจอย่างยิ่ง
จู่ๆ นิ้วมือของเขาก็หยุดลง หยิบกล่องหยกขึ้นมา บนกล่องไม่มีสัญลักษณ์ ไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร ฝาของกล่องหยกถูกเปิดออกมา กลิ่นหอมที่อ่อนจางอย่างยิ่งลอยม้วนออกมา เขายื่นจมูกไปข้างหน้าสูดดม หลังลิ้มลองสักพักมั่นใจว่าไม่ผิด ความดีใจในแววตาเจิดจรัสถึงบนใบหน้า ในขณะเดียวกันร่างกายของเขาก็ผ่อนคลายลงมาในที่สุด
สวีโหย่วหรงพิงอยู่บนตัวเขา ได้รับความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุด สังเกตได้ว่าสองไหล่ของเขานุ่มนวลกว่าเดิมมาก ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่แข็งทื่อตื่นเต้น
“นี่คืออะไร?” นางถาม
“นี่คือโอสถกระแสอัคคี”
เฉินฉางเซิงเอาเม็ดยาเม็ดหนึ่งออกมาจากกล่อง พูดว่า “ส่วนประกอบหลักคือสารสกัดจากพืชหนามธาตุไฟ ธาตุไฟแข็งแกร่งรุนแรงมาก สามารถจัดลำดับอยู่ในสามอันดับแรกในโลก มีผลชะงักในการเพิ่มเลือด โดยเฉพาะสำหรับเจ้า”
ฟังประโยคนี้เสร็จ สวีโหย่วหรงชะงัก นิ่งเงียบเป็นเวลานานมิได้เปล่งวาจา
จนถึงตอนนี้ นางเพิ่งรู้ว่าทำไมเขาถึงตื่นเต้นขนาดนี้ ฝีเท้าเร่งรีบขนาดนี้ ทำไมถึงไม่เหลือบแลเหล่าหินผลึกขุมทรัพย์ตำราลับเพียงนี้
แท้จริงแล้วเขารีบหายาให้นาง
นี่ทำให้นางประทับใจอย่างมาก
สิ่งที่นางบำเพ็ญเพียรเป็นวิชาเหนือโลก สิ่งที่ต้องขจัดออกคือการข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลก ถ้าต้องการให้เส้นทางแห่งจิตปลอดโปร่ง ต้องไม่เบิกบานโศกาต่อสิ่งของและมนุษย์ ฉะนั้นในสายตาของผู้คนบนโลก นางจึงหยิ่งยโสอย่างยิ่ง เย็นชาอย่างมาก เป็นหงส์สวรรค์ที่สูงส่งตัวหนึ่ง นางก็มองตัวเองอย่างนี้เช่นกัน นางคิดว่าตัวเองไม่ควรมีอารมณ์ที่ทำลายเส้นทางแห่งจิตเช่นนี้ นางมิควรซาบซึ้งต่อเรื่องอันใดก็ตาม
ในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ ตั้งแต่ดงต้นอ้อแห่งนั้นจนถึงสุสานแห่งนี้ มีหลายครั้งแล้ว นางเกือบที่จะถูกเขาทำให้ซาบซึ้งอย่างแท้จริง กลับถูกพลังสมาธิที่นางจินตนาการได้ยากควบคุมเอาไว้ สำหรับนางแล้ว การควบคุมความเศร้าโศกดีใจง่ายดายอย่างยิ่ง การควบคุมโทสะก็ง่ายมากเช่นกัน แต่ซาบซึ้งใจเป็นอารมณ์ที่พิเศษชนิดหนึ่ง ควบคุมได้ยาก
อารมณ์เช่นนี้ไม่เคยมี จู่ๆ ก็ปรากฏออกมา ต้องใช้เวลานานมากในการแทรกซึม แต่วินาทีที่ปรากฏออกมาอย่างแท้จริง กลับต้องการจุดบางจุดที่ทำให้ปะทุออกมาอย่างกะทันหัน สะสมล้ำลึก จากนั้นทะลักล้นออกมาง่ายดาย…ประโยคนี้น่าจะเอามาพูดในการบำเพ็ญเพียร และก็สามารถเอามาพรรณนาอารมณ์เช่นนี้ได้เช่นกัน ถึงเวลานี้เค่อนี้ อารมณ์ชนิดนั้นในที่สุดก็ผลักกำแพงภูเขาที่แข็งแกร่งทะลุทะลวงออกไป เริ่มงอกเงยเจริญเติบโตในสายลมสดชื่น
นางซาบซึ้งอย่างแท้จริง