ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 30 บทสนทนาใกล้ปากเหวและคนใจเต้นคนหนึ่ง
ได้ยินคำตอบนี้ เฉินฉางเซิงดีใจเล็กน้อยอย่างไม่รู้เหตุผล และมีความทะนงตนเล็กน้อย พูดว่า “ขอบคุณ”
สวีโหย่วหรงพูดว่า “ไม่ต้องเกรงใจ”
“อย่างไรก็แล้วแต่ข้ามีศิษย์พี่ชาย คำพูดที่เขาพูดข้าล้วนเชื่อ” เฉินฉางเซิงดึงหัวข้อกลับไปอีกครั้ง
สวีโหย่วหรงถามอย่างตั้งใจว่า “สำหรับเรื่องเลือดของเจ้า ศิษย์พี่ชายของเจ้าว่าอย่างไร?”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “ศิษย์พี่พูดว่า มีเพียงนักปราชญ์ถึงจะรับมือกับความยั่วยวนของเลือดข้าได้”
สวีโหย่วหรงใจคิดทำไมเจ้าถึงหัวดื้อขนาดนี้? แล้วสนทนาต่อไป
“ในเมื่อเลือดของเจ้าไม่ถูกดูดจนหมด แสดงว่าไม่เคยมีใครรับบททดสอบของความยั่วยวนเช่นนี้มาก่อน”
“มี”
“ใคร?”
“ศิษย์พี่”
“…เจ้ายังมีชีวิตอยู่ แสดงว่าเขาไม่ได้ดูดเลือดเจ้า แต่ไม่ใช่ว่าเขาบอกว่ามีเพียงนักปราชญ์ถึงจะสามารถรับกับความยั่วยวนเช่นนี้ไหว?”
“ใช่สิ ศิษย์พี่ของข้าก็คือนักปราชญ์”
ถึงตอนนี้ ในที่สุดสถานการณ์ก็สงบลงมา เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงจ้องมองตากันและกัน ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร ที่จริงแล้วพวกเขาล้วนไม่ใช่คนที่ช่างพูด ช่วงเวลาขณะก่อนตายนี้ ตั้งใจจะพูดคุยอย่างมีความสุข นอกจากจะไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้แล้ว กลับแสดงออกถึงความทึ่มทื่อและโง่เขลาเล็กน้อย
ในใจพวกเขาสองคนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน จากนั้นก็หันศีรษะไป เบนสายตาออก สวีโหย่วหรงมองโลกแท้จริงที่ฝั่งนู้นของใบเขียว มองเส้นสีดำที่เกิดจากการรวมตัวของคลื่นอสูรสายนั้นที่บริเวณห่างไกลของที่ราบทุ่งหญ้า ถามว่า “ประมาณเมื่อไรจะมาถึง?”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “น่าจะก่อนพลบค่ำ”
สวีโหย่วหรงสงบนิ่งสักพัก พูดว่า “เช่นนี้แล้ว นี่ก็เป็นวันสุดท้ายของพวกเราแล้ว”
เฉินฉางเซิงเป็นคนหนึ่งที่อ่อนไหวต่อเวลามาก พูดแก้ไขให้ถูกว่า “เป็นกลางวันสุดท้าย”
สวีโหย่วหรงยิ้มน้อยๆ ไม่ถกเถียงกับเขาในสิ่งที่ไม่สำคัญอีก
เฉินฉางเซิงรับรู้ถึงสภาพจิตใจของนางในตอนนี้ หลังจากเงียบขรึมสักพักพูดว่า “ศิษย์พี่เคยพูดว่า ถ้าตั้งใจหรือสุดท้ายแล้วสังเกตเห็นว่ายังคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้อยู่ดี ดังนั้นทำไมไม่ลองลิ้มรสหรือเพลิดเพลินกับทุกสิ่งอย่างที่โชคชะตานำมาให้กับเจ้า”
สวีโหย่วหรงเพิ่งรู้ว่าต้นตอของคำพูดเหล่านั้นที่เขาพูดกับตนในวัดคืนนั้นมาจากไหน รับรู้อย่างเงียบๆ สักพัก รู้สึกว่าประโยคที่ง่ายดายประโยคนี้มันไม่ง่ายเลย การนับถือของนางที่มีต่อเฉินฉางเซิงสูงมาก ได้ยินเขาเคารพศิษย์พี่ท่านนั้นขนาดนี้ ยิ่งรู้สึกว่าศิษย์พี่ท่านนั้นไม่ใช่คนธรรมดา…ขอบเขตการบำเพ็ญของพรรคภูเขาหิมะเสื่อมถอยแล้ว ใครจะคิดได้ว่ายังมีลูกศิษย์วัยเยาว์ที่ยอดเยี่ยมมากขนาดนี้
นึกถึงเรื่องพวกนี้ นางก็นึกเชื่อมโยงไปถึงคนร่วมพรรคของตนเองเสียดื้อๆ ช่วงชีวิตที่ไปขอร่วมเรียนที่กระทรวงสิบสามชิงเหย้าเลยผ่านไปไกลแล้ว ในสถานศึกษาหนานซีมีเพียงนางซึ่งเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียว นางกลับสนิทกับเหล่าลูกศิษย์ของพรรคฉางเซิงและพรรคกระบี่หลีซาน อีกทั้งนางกับพวกเขาเรียนร่วมแขนงเดียวกัน เดิมทีก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน
“ข้าก็มีศิษย์พี่ท่านหนึ่ง” คนที่นางพูดถึงแน่นอนว่าคือชิวซานจวิน
จากนั้นนางสงบนิ่งไปเป็นเวลานาน ในช่วงที่บำเพ็ญเพียรอยู่ทางใต้ในหลายปีนี้ ชิวซานจวินดีต่อนางมากตลอด กระทั่งดีจนนางคาดไม่ถึง ยิ่งไม่มีจุดไหนที่ไม่สบายใจเลย ผู้คนล้วนพูดว่าพวกนางเป็นคู่สร้างคู่สมสวรรค์สร้างคู่หนึ่ง นางก็รู้ว่าชิวซานจวินมีความรักลึกซึ้งต่อตนเอง ไม่อาจไม่คิด ถ้าตัวนางตายในสวนโจว เขาจะเสียใจเศร้าโศกเพียงใด?
“แล้ว?” เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจว่าทำไมนางจู่ๆ เงียบไป จึงถาม
สวีโหย่วหรงพูดว่า “ในวัดแห่งนั้นพวกเราได้พูดคุยเรื่องความสมบูรณ์แบบ เจ้าพูดว่าบนโลกใบนี้เป็นไปไม่ได้ที่มีคนสมบูรณ์แบบ ข้ายอมรับว่ามีเหตุผล แต่ศิษย์พี่ชายเป็นคนที่ใกล้เคียงคำว่าสมบูรณ์แบบมากที่สุดในชีวิตนี้ที่ได้เห็นมา”
เฉินฉางเซิงใจคิดข้าก็คิดว่าศิษย์พี่ชายของตัวเองสมบูรณ์แบบมากเช่นกัน แต่ในสายตาของคนบนโลก เขาเป็นเพียงแค่คนประหลาด
“อีกทั้งศิษย์พี่ชายดีต่อข้ามาก” สวีโหย่วหรงมองตาของเขาพลางพูด ไม่รู้ว่าทำไมถึงเพิ่มประโยคมาแค่นี้
เฉินฉางเซิงก็ไม่รู้เช่นกัน ยิ่งไม่รู้ว่าทำไมหลังจากได้ยินประโยคนี้ รู้สึกมีความหึงหวงเล็กน้อย ขนาดประโยคนั้นต่อมาของเขา ก็ยังมีความเปรี้ยวเล็กน้อยเช่นกัน ความเปรี้ยวเช่นนี้ไม่ได้ปรากฏอยู่บนตัวอักษร แต่เป็นการปรากฏออกมาจากโทนเสียง มีความไม่แยแสและตั้งใจไม่สนใจชนิดหนึ่ง
“เช่นนั้น…เจ้าเลยชอบเขา?”
เขามองกลับมาที่ตาของนางอย่างเงียบๆ พลางเอ่ยถาม ในเค่อนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมาก
ถ้าเป็นเวลาอื่น ชายหนุ่มคนอื่นถามคำถามเช่นนี้ออกมา สวีโหย่วหรงไม่ตอบแน่นอน แต่ตอนนี้อยู่บนสุสานของโจวตู๋ฟู คนที่ถามคือเขา…หรือบางทีนางก็รอเขาถามคำถามนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เอ่ยอ้างความกดดันจากความตายและ…ภาษาของเขา แล้วมามองดูหัวใจที่แท้จริงของตัวเองให้ชัดเจน
นางถามตัวเองในใจอย่างตั้งใจยิ่ง จากนั้นก็ให้คำตอบออกมา
นางไม่ได้พูดจา เพียงแต่ส่ายหัวไปมา
ความเปรี้ยวที่ชืดจางอย่างยิ่งนั้นไม่ได้หายจากตรงนี้ไป เพราะว่านางยังคงคิดแล้วก็คิด…เขาไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องชายหญิง จึงไม่เข้าใจ แต่เพราะนี่เป็นคำตอบหลังจากนางขบคิดอย่างตั้งใจแล้วถึงตอบออกมา จึงคู่ควรที่เขาจะดีใจ
เขาคิดแล้วคิดอีก ถามว่า “เขาชอบเจ้า?”
ครั้งนี้สวีโหย่วหรงไม่ได้คิดนานเกินไป พยักหน้าทันที
นางไม่คาดคิดว่า การแสดงออกเช่นนี้แสดงถึงความทะนงตนเล็กน้อย เนื่องจากสิ่งที่นางพูดเป็นความจริงซึ่งเป็นที่รับรู้โดยทั่วไป
เฉินฉางเซิงทำให้ตัวเองสงบลงมา แสดงถึงความไม่ค่อยเข้าใจ ความจริงแล้วเพียงแค่อยากให้ตัวเองดีใจยิ่งกว่าเดิมนิดหน่อย จึงถามต่อไปว่า “ในเมื่อเป็นคนสมบูรณ์แบบ และก็ชอบเจ้าด้วย ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมรับ?”
สวีโหย่วหรงเคยตอบคำถามที่คล้ายคลึงกันแล้วอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนคนที่ถามนั้นเป็นซวงเอ๋อร์ เป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ หรือว่าตัวนางเอง โดยสรุปแล้ว นางตอบได้สงบนิ่งและคล่องแคล่วมาก
“ก่อนอื่น เขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็แข็งแกร่งได้เพียงเทียบเท่าข้าเช่นนี้”
คำพูดยังไม่ทันพูดจบ ก็ต้องตอบโต้กับการคัดค้านของเฉินฉางเซิงก่อน เขาในเวลานี้ ลืมสถานะของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง ก็เหมือนกับวันนั้นในวัด รู้สึกว่าความคิดของหญิงสาวคนนี้มีปัญหาอย่างยิ่ง เขาอยากเปลี่ยนความคิดของนาง ทำให้นางสามารถใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข ยังจะจำได้ที่ไหนว่าคลื่นอสูรกำลังจะมาถึง
“สภาพจิตใจของเจ้าเช่นนี้ไม่ถูก หาเพื่อนไม่ใช่คู่ต่อสู้ ใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอจะมีความเกี่ยวข้องอย่างไร?”
สวีโหย่วหรงไม่รู้ในใจเขาคิดอะไรอยู่ คิดแล้วคิดอีกจึงพูดว่า “ที่เจ้าพูดมามีเหตุผล ในฐานะที่เป็นคู่บำเพ็ญเพียร ระดับขั้นความสามารถของเขาอันที่จริงก็เพียงพอแล้ว กระทั่งสามารถพูดได้ว่า ในวัยเดียวกัน ข้ายากที่จะหาคนที่เหมาะสมกว่าเขา แต่เส้นทางการบำเพ็ญเพียรยืดยาวเพียงนี้ ในเมื่อต้องร่วมหอลงโรงในระยะยาว ก็ต้องหาคนตามที่ใจชอบ”
ตามใจชอบสามคำนี้ดีมาก เฉินฉางเซิงมองดวงตาที่สดใสของนาง พูดอย่างตั้งใจว่า “ข้าสนับสนุนเจ้า”
สวีโหย่วหรงยิ้มแย้มไร้คำพูด คิดในใจว่าเรื่องนี้ต้องการให้เจ้าสนับสนุนเสียที่ไหน…คนเหล่านั้นล้วนดีมากๆ แต่ข้าก็ไม่ชอบ ศิษย์พี่ดีไปเสียหมดหัวจรดเท้า แต่ข้าไม่ได้ต้องใจ นี่เป็นเหตุผลเดียว
แม้พิษจะค่อยๆ หายไป แต่ตอนนี้นางยังคงอ่อนแอมาก สีหน้าขาวซีดมาก พูดไม่ได้ว่าสวยงาม แต่รอยยิ้มในสายตาของนาง สำหรับเฉินฉางเซิงแล้ว กลับดูสวยงามมาก ทำให้เขาใจเต้นขึ้นมาทันที
ใจเต้นเป็นคำศัพท์ที่ลึกซึ้งมาก บรรยายยากมาก ใจของคนเต้นอยู่ตลอดเวลา แล้วอย่างไรถึงจะเรียกว่าใจเต้น? ใจเต้นเร็วขึ้นก็คือใจเต้นหรือ? อัตราการเต้นหัวใจของเจ๋อซิ่วทุกๆ ครั้งก็จะเร็วขึ้นในทุกช่วงเวลาหนึ่ง แต่นั่นมันโรค
เฉินฉางเซิงก็ไม่รู้เช่นกัน
แต่เขารู้ว่า เวลานี้ เขาใจเต้นแล้ว
………………..