ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 33-1 ความลับของโลงศพดำ
อ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าตั้งแต่เด็ก ในตำรามีไม้บรรทัดเหล็ก หลังเข้าสุสานโจว เฉินฉางเซิงกวาดศาสตราทรัพย์สมบัติในห้องหินเก้าห้องจนหมดเกลี้ยง กลับไม่เคยคิดถึงวิธีเปิดโลงศพหินภูเขาไฟสีดำแห่งนี้ แม้จะบอกว่าข้างในมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะซ่อนมรดกที่ล้ำค่าที่สุดของเขาเอาไว้ ในทำนองเดียวกัน สวีโหย่วหรงก็เคารพคนในโลงศพ ก็ไม่ได้มีความคิดเห็นเช่นนี้เหมือนกัน
ตอนนี้ได้ยินคำพูดของสวีโหย่วหรง เขาเพิ่งเข้าใจว่าแม้ก่อนหน้านี้ตัวเองอยากจะเปิดโลงศพหินภูเขาไฟสีดำโลงนี้ก็ไม่น่าจะสามารถทำได้
เพราะลงกลอนถึงต้องการกุญแจ ถ้าโจวตู๋ฟูไม่อยากให้ถูกคนอื่นรบกวนการหลับยาวของตัวเอง โลงศพหินภูเขาไฟสีดำที่ราวกับภูเขาลูกเล็กนี้แน่นอนว่าเปิดยากมาก
สวีโหย่วหรงพูดว่า “ไม้จิตวิญญาณน่าจะถูกคนอื่นเอาออกจากสวนโจวไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าตกไปอยู่ในมือของเผ่ามารตั้งแต่เมื่อไร ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว พวกเขาสามารถหลบประตูหลักของสวนโจว ย่องเข้าสวนโจวโดยใช้เส้นทางอื่น อาจจะเกี่ยวข้องกับการนี้ ส่วนไม้จิตวิญญาณกลับมาที่สวนโจว ก็แปลว่าโลงศพหินภูเขาไฟสีดำในที่สุดก็ถึงเวลาเปิดแล้ว”
“เจ้าหมายถึงก่อนโจวตู๋ฟูตาย…” เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีกว่าจะอธิบายอย่างไร พูดต่อว่า “…ก็เตรียมพร้อมที่จะป่าวประกาศเรื่องความลับหรือที่ตัวเองซ่อนมรดกเอาไว้ในโลงศพหินภูเขาไฟสีดำแก่ทั่วหล้าไว้แล้ว ฉะนั้นถึงได้ให้คนเอากุญแจออกไป? ถ้าเป็นเช่นนี้ ทำไมตอนนั้นเขาไม่ทำเช่นนี้ไปโดยตรงเลย?”
“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยพูดประโยคหนึ่ง จริงๆ แล้วมีเหตุผลมาก เวลา ถึงจะเป็นศาสตราที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” สวีโหย่วหรงมองโลงศพหินภูเขาไฟสีดำพลางพูดว่า “ทุกคนรู้หมด โจวตู๋ฟูไม่มีผู้สืบทอด นี่แสดงว่าก่อนตาย เขาหาคนรุ่นหลังที่เขาคิดว่ามีสิทธิ์สืบทอดต่อมรดกของตัวเองไม่เจอ เขาให้กุญแจตกหล่นไปที่นอกสวนโจว อาจจะอยากให้เวลาเลือกผู้สืบทอดแทนเขา”
เขามีความตกตะลึงเล็กน้อย ถามว่า “หรือว่าดาบเล่มนั้นอยู่ในโลงศพหินภูเขาไฟสีดำจริง?”
สวีโหย่วหรงเงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “ยังมีความน่าจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ในโลงศพหินภูเขาไฟสีดำโลงนี้ไม่มีสิ่งสืบทอดของโจวตู๋ฟู แต่มีความลับของเขา”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจพลางพูดว่า “ข้าแค่พูดๆ ไปเรื่อยเปื่อย หรือว่ามีความลับอะไรจริงๆ หรือ?”
สวีโหย่วหรงมองตาของเขาพลางพูดว่า “จริงๆ แล้วโจวตู๋ฟูตายหรือไม่ นี่เดิมก็เป็นความลับที่สำคัญที่สุดบนโลกในพันปีที่ผ่านมา”
เฉินฉางเซิงคิดถึงว่าโจวตู๋ฟูเหล่านั้นเป็นนิทาน ตำนานกระทั่งสามารถเป็นเรื่องราวเทพนิยายไปนานแล้ว สายตาที่มองไปยังโลงศพหินภูเขาไฟสีดำหนักหน่วงขึ้นหลายส่วน
เพียงแค่หนักหน่วง ตั้งใจ มีความตื่นเต้นเล็กน้อย กลับไม่มีความร้อนแรงใดๆ สำหรับขุมทรัพย์ มรดกตกทอดเช่นนี้ของผู้แข็งแกร่งอาวุโส ไม่ว่าเป็นเขาหรือว่าสวีโหย่วหรง ล้วนแสดงออกถึงความไม่แยแสเล็กน้อย ความไม่แยแสเช่นนี้ กระทั่งไม่สามารถใช้คำว่าหนักแน่นที่เกินอายุมาพรรณนา แม้จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่แก่ชราอย่างไร ตอนที่รู้ว่าตัวเองมีโอกาสได้รับมรดกตกทอดของโจวตู๋ฟู แน่นอนว่าต้องมีความรุ่มร้อนอย่างไร้ที่เปรียบขึ้นมา เหมือนกับผู้เฒ่าพรรคตะวันตกที่ดูดเลือดสวีโหย่วหรงในถ้ำหน้าผาคนนั้น ถ้าเวลานี้ตัวเขาปรากฏอยู่ตรงหน้าของโลงศพหินภูเขาไฟสีดำ จะไม่แยแสได้อย่างไร?
สาเหตุที่เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงยังสามารถรักษาความใจเย็นไว้ได้ เป็นเพราะว่าเดิมพวกเขาก็เป็นนักปราชญ์ทางการบำเพ็ญเพียร การบำเพ็ญเพียรเดิมก็เป็นวิชาระดับสูงที่สุดในโลก โจวตู๋ฟูเป็นคนที่พิเศษมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่บนตัวพวกเขาก็มีความพิเศษเช่นกัน มีความมั่นใจในตัวเองและความทะนงที่เพียงพอ…สามารถได้รับ แน่นอนว่าดีมาก ถ้าไม่ได้ ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับโชคชะตา โชคชะตาของพวกเขาตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ในมือของพวกเขา เพียงแค่นึกว่าจะได้เห็นภาพที่มีความเป็นไปได้ว่ามีความสะเทือนใจมากที่สุดในพันปีที่ผ่านนี้ในเร็วๆ นี้ พวกเขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความตื่นเต้นเล็กน้อย เสียงของเฉินฉางเซิงเบาลงตามจิตใต้สำนึก เหมือนกับจะไม่อยากรบกวนดวงวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ในโลงศพดำดวงนั้น
“เมื่อไรโลงศพหินภูเขาไฟสีดำโลงนี้จะเปิด?”
สวีโหย่วหรงมองเส้นแสงที่กระจายออกมาจากศูนย์กลางจิตวิญญาณยิ่งมายิ่งอ่อนจาง คำนวณสักพัก พูดว่า “น่าจะใกล้แล้ว”
นอกสุสาน คลื่นอสูรราวกับเส้นดำค่อยๆ มุ่งมา กุญแจที่เปิดโลงศพหินภูเขาไฟสีดำดวงนั้นปลุกศูนย์กลางจิตวิญญาณ การเปิดของโลงศพหินภูเขาไฟสีดำก็อยู่ตรงหน้าแล้ว
……
……
ที่ตรงหน้าของพวกเขา ครึ่งบนของโลงศพหินภูเขาไฟสีดำเริ่มขยับ ไหลครืดอย่างช้าๆ
ในสุสานที่อึมครึมกว้างใหญ่ พัดลมหอบใหญ่ขึ้นมา
เส้นแสงที่กระจายออกมาจากด้านบนของศูนย์กลางจิตวิญญาณถูกพัดจนมืดมนกว่าเดิม ราวกับเปลวไฟที่มีโอกาสดับอยู่ตลอดเวลา
เฉินฉางเซิงขยับเฉียงไปยังข้างหน้า มั่นใจว่าบังร่างกายของนางไว้ทั้งหมด กระบี่สั้นออกจากปลอกแล้ว ถูกเขากำอยู่ในมืออย่างแนบแน่น
ครืน! โลงศพหินภูเขาไฟสีดำขนาดใหญ่มหึมาค่อยๆ เปิดออก ระหว่างฝาโลงหนักและตัวโลงเกิดเสียงเสียดสีที่น่ากลัวออกมา เหมือนกับฟ้าร้องจริงๆ
โลงศพดำที่เหมือนภูเขา แยกบนล่างออกจากกันอย่างช้าๆ มองดูแล้วเหมือนกับฟ้าแลบสายหนึ่ง ผ่าภูเขาสีดำออกเป็นสองส่วนโดยตรง
เห็นภาพฉากนี้ นัยน์ตาของสวีโหย่วหรงหดลงเล็กน้อย พูดพึมพำเสียงต่ำว่า “สองส่วน…”
ครึ่งบนของโลงศพหินภูเขาไฟสีดำเริ่มไหลขยับอย่างช้าๆ ต่อไป จนกระทั่งผ่านไปเป็นเวลานาน ถึงหยุดลงมา
สายลมยังคงพัดอื้ออึงอยู่ในโถงสุสานกว้างใหญ่ วนรอบโลงศพหินภูเขาไฟสีดำทั้งสี่ทิศ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของตัวโลงศพ เสียงลมก็ยิ่งรุนแรง ยิ่งแหลมเล็ก แสดงให้เห็นถึงความอึมครึมไร้ที่เทียบ ราวกับใครครวญไห้อย่างไม่หยุดหย่อนอยู่ในขุมอเวจีอันมืดมน เสียงฮือๆ ไม่หยุดปนเข้าไปในทำนองที่ไม่เป็นเพลง ความหมายของวิญญาณเอ๋ยคืนกลับมาค่อยๆ ลดลง บรรยากาศยิ่งมายิ่งเข้มข้น
ศูนย์กลางจิตวิญญาณในที่สุดก็ดับความสว่างลงทั้งหมด โถงสุสานกลายเป็นอึมครึมลงมาอีกครั้ง พวกเขายืนอยู่บนพื้นดินมองไม่เห็นภาพด้านบน แต่สามารถจินตนาการ โลงศพหินภูเขาไฟสีดำเปิดออกแล้ว ถ้าผู้ชายที่ยิ่งใหญ่คนนั้นนอนอยู่ในโลงอย่างเงียบๆ เวลานี้อาจจะกำลังมองยอดโถง แน่นอนว่า ความเป็นไปได้ที่มากกว่านั้นคือหลับตาอยู่ หรืออาจจะกลายเป็นกระดูกโครงหนึ่งไปแล้ว
แต่คนที่อยู่ในโลงศพหินภูเขาไฟสีดำโลงนั้นชื่อโจวตู๋ฟู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อขนาดไหน เมื่อเกิดบนตัวเขาแล้ว ล้วนเหมือนกับเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
เสียงลมค่อยๆ สงบ เสียงดนตรีค่อยๆ หยุดบรรเลง วิญญาณเอ๋ยคืนกลับมาแล้ว หรือว่าไม่อยู่
ในสุสานเงียบสงบไปทั่ว สวีโหย่วหรงมองโลงศพหินภูเขาไฟสีดำที่ราบกับภูเขาขาดตอน สีหน้ามีความซับซ้อนเล็กน้อย ไม่พูดจาเป็นเวลานานมาก
มือขวาที่จับด้ามจับกระบี่ของเฉินฉางเซิงไม่มีเหงื่อ แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกมีความเหนียวลื่น นั่นเป็นสภาพจิตใจที่ตื่นเต้น
คนเก่าแก่ตายแล้ว นั่นก็สงบดี ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่จะทำอย่างไร? หรือหากพูดให้แม่นยำกว่านี้ ตื่นมาจากการนอนเป็นเวลานาน ฟื้นคืนชีพ หรืออาจจะ เขาไม่ยอมที่จะจากไปจากโลกใบนี้ มุ่งไปสู่ทะเลดวงดาวที่เงียบเหงาโดดเดี่ยว ฉะนั้นก่อนตายจึงใช้ความลับบางอย่างเปลี่ยนตัวเองให้มีชีวิตนิรันดร์แต่ชั่วร้ายจนหาที่เปรียบมิได้ ฉะนั้นต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น?
สีหน้าของเฉินฉางเซิงยังคงสงบ แต่ความจริงแล้วในใจตื่นเต้นถึงขีดสุด ตามเหตุผลแล้ว ไม่ว่าโจวตู๋ฟู จะฟื้นชีวิต จะใช้วิชาลับเปลี่ยนตัว เพียงแค่เขายังคงมีสติอยู่ ฉะนั้นก็น่าจะสามารถช่วยพวกเขาต่อสู้กับคลื่นอสูรและเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่ามารที่น่ากลัวและยิ่งมายิ่งเข้าใกล้ เพราะว่าโจวตู๋ฟูเป็นผู้แข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์ วีรบุรุษแห่งยุทธภพที่รบชนะราชามาร…น่าจะเป็นความเป็นไปได้เดียวที่ทำให้เขาและสวีโหย่วหรงสามารถออกไปจากสวนโจว มีชีวิตต่อไปได้…แต่ไม่รู้ทำไม เขาถึงมีความรู้สึกที่รุนแรงชนิดหนึ่ง ถ้าโจวตู๋ฟูยังไม่ตายจริง ฉะนั้นทุกคนในสวนโจว…ล้วนต้องตาย กระทั่งทั้งต้าลู่จะได้ต้อนรับซึ่งพิรุณโลหิตวายุคลุ้งคาวเลือดสนามหนึ่ง
“ข้าอยากขึ้นไปดู” เสียงของสวีโหย่วหรงตีความเงียบในโถงสุสานแตกกระเจิง
นางมองโลงศพหินภูเขาไฟสีดำ ดวงตาที่มีความมืดหม่นเล็กน้อยเนื่องจากบาดเจ็บไม่รู้ว่ากลายเป็นสว่างไสวอย่างยิ่งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร
เฉินฉางเซิงพยุงนางเดินไปถึงหน้าโลงศพหินภูเขาไฟสีดำ เงยหน้ามองสักพัก ยืนยันเส้นทางที่ปีนป่าย แบกนางไว้บนหลัง
หลังจากนั้นสักพัก พวกเขายืนอยู่ข้างหน้าผาของภูเขาดำที่ขาดตอน มองไปข้างใน
ข้างในของโลงศพหินภูเขาไฟสีดำ ช่องว่างใหญ่มาก ไม่ต้องพูดถึงว่าจะวางคนคนเดียว สามารถเปิดงานเลี้ยงฉลองข้างใน เชิญสตรีสิบกว่าคนมาร้องรำทำเพลงได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ข้างในโลงศพหินภูเขาไฟสีดำไม่มีใครสักคน
ไม่มีใครสักคน
สวนโจวเป็นโลกของโจวตู๋ฟู
สุสานแห่งนี้เป็นพระราชวังมรณะของเขา
ที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลที่อันตรายลี้ลับแห่งนั้นเป็นสวนสุสานที่ล้อมรอบจตุรทิศของสุสาน สัตว์อสูรที่ยิ่งใหญ่ไร้ที่เปรียบเหล่านั้นเป็นผู้คุ้มกันของสุสาน
ชัดเจนมากว่าเขาไม่อยากให้ใครมารบกวนการหลับยาวของเขา นอกจากกุญแจที่ตกหล่นไปนอกสวนโจวดอกนั้นจะเลือกเจ้าของใหม่ได้ภายใต้การช่วยเหลือของเวลา
แต่ว่า เขากลับไม่ได้นอนหลับลึกในโลงศพหินภูเขาไฟสีดำโลงนี้
ยังคงไม่เคยมีใครเห็นศพของเขา
ความเป็นตายของเขายังคงเป็นปริศนา
มีความเป็นไปได้สูงมากที่เขายังมีชีวิตอยู่
นี่ ก็คือความลับที่แท้จริงของสวนโจว
นี่ ก็คือความลับที่แท้จริงซึ่งที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลต้องการจะปกป้อง