ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 37 กระบี่แรกที่หนาวเหน็บเงียบเชียบ
ใต้แสงพลบค่ำที่มืดหม่น คลื่นสัตว์อสูรดั่งทะเลสีดำจัด เบื้องหน้าทะเลสีดำปรากฏผู้แข็งแกร่งเผ่ามารห้าคน ท้องฟ้าบังเกิดเงาสะท้อนที่ใหญ่ยิ่งกว่า ราวกับเป็นเงาสะท้อนของทะเลสีดำนี้
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงยืนอยู่บนแท่นหินของประตูใหญ่สุสาน ถนนเสินที่ห่างกันเป็นพันจั้ง มองเห็นภาพอันอลังการแต่น่าหวาดผวา มองท่อนไม้สีดำที่แผ่กระจายเส้นสายออกมาจำนวนมากในมือของเด็กผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้าสุด รู้ว่าสิ่งที่คำนวณไว้ล่วงหน้านั้นถูกต้อง ศูนย์กลางจิตวิญญาณอยู่ด้านหน้าของโลงศพหินภูเขาไฟ ไม้จิตวิญญาณกลับอยู่ในมือของเผ่ามาร
สวีโหย่วหรงพูดด้วยเสียดายเล็กน้อย ว่า “ข้าบำเพ็ญเพียรตั้งแต่เด็ก กลับเชื่อวิถีทางเต๋าไม่ใช่เต๋าที่เรียกว่าพยากรณ์ เพียงแค่พยายามเต็มศักยภาพมนุษย์ ตอนนี้ดูๆ แล้ว เจ้าและข้าทำได้เพียงคล้อยตามลิขิตฟ้า”
เฉินฉางเซิงมองทะเลสีดำหน้าสุสานและเงาสะท้อนในท้องฟ้า พูดว่า “ข้าเชื่อเรื่องที่ว่ามีโชคชะตา แต่ข้าไม่เชื่อว่าโชคชะตาสามารถตัดสินได้ทุกเรื่อง”
ตอนที่พูดประโยคนี้ เขาแน่วแน่มาก และก็สงบมากเช่นกัน มีเพียงคำว่าเรื่องในท้ายประโยคที่เสียงสั่นเล็กน้อย แสดงว่าเขายังคงมีความตื่นเต้นเล็กน้อย เขาตั้งสติ พูดต่อว่า “ไม้จิตวิญญาณอยู่ในมือเผ่ามารอย่างที่คาด มิน่าตลอดทางมาถึงสุสานโจว แต่ต้นจนจบไม่ได้เจอสัตว์อสูรอะไร เพียงแต่…เผ่ามารเหล่านี้ทั้งๆ ที่สามารถใช้สัตว์อสูรฆ่าพวกเราตายได้นานแล้ว ทำไมไม่ทำเช่นนี้ กลับกรุยทางให้กับเรา”
สวีโหย่วหรงพูดว่า “ครั้งที่แล้วที่ผ่านดงต้นอ้อฤดูใบไม้ร่วงแห่งนั้นเคยพูดแล้ว ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือพวกเขาต้องการให้พวกเราชี้ทางให้”
ดูจากตรงนี้แล้ว ในสายตาของเผ่ามาร ตำแหน่งของสุสานโจวอย่างน้อยต้องสำคัญกว่าความเป็นตายของเขาและนาง เผ่ามารค้นหาสุสานโจวไปเพื่ออะไร? ในนั้นมีของอะไรที่พวกเขาต้องเอาให้ได้? คิดอย่างไร ล้วนน่าจะเป็นเคล็ดวิชาดาบสองท่อนที่สลักอยู่บนกำแพงโลงศพหินภูเขาไฟ คิดถึงท่อนนี้ เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงจ้องตาซึ่งกันและกันปราดหนึ่ง
ตอนนี้เคล็ดวิชาดาบสองท่อนกร่อนสลายไปแล้ว มีเพียงแค่เอาตัวอักษรและรูปภาพที่จดจำไว้ในสมองของพวกเขามารวมเข้าด้วยกันใหม่ ถึงจะให้เคล็ดวิชาดาบปรากฏออกมาอีกครั้งได้
ใช้สิ่งนี้ขู่เผ่ามารเพื่อแลกกับการมีชีวิตรอด? เขาใช้สายตาถาม
“ใช้ไม่ได้” สวีโหย่วหรงมองดวงตาที่เย็นชาคู่นั้นของเด็กสาวผู้นั้นที่อยู่ด้านล่างของถนนเสิน ส่ายหัวไปมา
หงส์สวรรค์และนกยูง คู่ต่อสู้แห่งโชคชะตา พรสวรรค์ที่แตกต่างกันสองสายพันธุ์ พบเจอกันในสวนโจว นำมาซึ่งเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในภายหลังจำนวนมาก
ในการต่อสู้ที่เด็ดขาด หรือกระทั่งพูดได้ว่ารุนแรงที่หุบเขาอัสดง ไม่ว่าหนานเค่อแสดงความสามารถระดับขั้นที่น่าสะพรึงอย่างไร นางล้วนตอบสนองด้วยความสงบ เกือบชนะแบบคาบเส้น แม้ตอนหลังผู้เฒ่าดีดพิณจะเข้ามาในสนามต่อสู้ นางบาดเจ็บสาหัส ตกลงสู่เหวลึก ชั่วขณะที่มองดูแล้วใกล้จะเข้าสู่สถานการณ์สิ้นหวัง กลับทำให้สายเลือดรู้ตื่นครั้งที่สอง จุติปีกคู่ที่ขาวบริสุทธิ์ ทะลวงม่านฟ้าแล้วโผทะยานโบยบินออกไป
ถ้าไม่ใช่ว่าต้องช่วยเฉินฉางเซิง ในสนามรบนี้ นางเป็นผู้ชนะอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงพอจะทำให้นางมีชีวิตรอดออกจากสวนโจวได้ แต่นางในตอนนี้ แม้ชีวิตจะไม่เป็นอะไรชั่วคราว กลับยังคงอ่อนแอเหนื่อยล้า แต่หนานเค่อฟื้นคืนกลับไปสภาพดุจเดิมอย่างเห็นได้ชัด ยังคงแข็งแกร่งเหมือนตอนอยู่ที่ยอดเขาอัสดง กระทั่งเผด็จการยิ่งกว่า
ควรนึกย้อนเสียใจไหม? สมควรนึกย้อนเสียใจสิ นางมองเฉินฉางเซิงด้วยสีหน้าสงบ ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่านางมองตัวเองอยู่ เพราะว่าเวลานี้เขากำลังจ้องทะเลสีดำที่อยู่ข้างหน้าสุสาน
ทะเลสีดำแห่งนั้นเกิดจากการรวมตัวกันของสัตว์อสูรนับพันนับหมื่นตัว ไอพลังปราณที่แข็งแกร่ง แต่คาวเลือดจำนวนมาก พวยพุ่งทะลุชั้นฟ้า ราวกับจะฉีกกระชากท้องฟ้าบนที่ราบทุ่งหญ้าให้แยกจากกัน
ในคลื่นสัตว์อสูรประกอบด้วยมังกรวารีสีเทา ปีศาจแร้ง ยังมีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเหนือคณานับจนจิตสัมผัสของเขาไม่สามารถตระหนักรู้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเงาสะท้อนที่น่าหวาดกลัวสายนั้นที่ด้านหลังของท้องฟ้า
ถ้าสัตว์อสูรในที่ราบทุ่งหญ้าจากสี่ทิศแปดทางเริ่มการโจมตี ทะเลสีดำแห่งนี้สามารถท่วมสุสานได้ทันที ไม่ต้องพูดถึงเขา แม้จะเป็นเหล่าขุนพลเทพที่แข็งแกร่งระดับรวบรวมดวงดาวขั้นปลาย กระทั่งนักปราชญ์ขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนทำได้แค่หลบหนีไป นอกจากโจวตู๋ฟูจะฟื้นชีวิตกลับมาแล้ว ใครจะต่อต้านกับคลื่นอสูรที่น่ากลัวขนาดนี้ได้ด้วยพลังของตัวเองเพียงคนเดียวกัน?
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าไอพลังปราณที่หลงเหลือของโจวตู๋ฟูในสุสานแห่งนี้หรือไม่ หรือว่าเป็นเพราะถูกควบคุมโดยไม้ดำที่ปล่อยเส้นแสงจำนวนมากออกมาท่อนนั้น เหล่าสัตว์อสูรมีการขยับเคลื่อนที่ช้าลงเล็กน้อย โดยเฉพาะมังกรวารีสีเทาและปีศาจแร้งที่สหายร่วมสายพันธุ์ของพวกมันจำนวนมากเคยถูกสวีโหย่วหรงสังหาร ต่างเปล่งเสียงโหยหวนอย่างต่อเนื่อง กลับหยุดอยู่นอกสุสานสิบลี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้ขยับเข้าใกล้มาสักก้าวอีก
ทะเลสีดำเปลี่ยนเป็นฉากหลังผืนหนึ่ง แสงไหลที่งดงามสายหนึ่งพลันวาดขึ้นมาอยู่บนนั้น
มองเห็นภาพนี้ เฉินฉางเซิงนึกถึงเรื่องที่ได้เผชิญอันยากจะลืมในทะเลสาบวันนั้นของเมื่อหลายสิบวันก่อน นัยน์ตาหดลงเล็กน้อย มือที่จับด้ามจับกระบี่กระชับขึ้นภายใต้จิตใต้สำนึก
แสงไหลเส้นนั้นก็ข้ามถนนเสินที่ดูเหมือนยาวไกล มาถึงตรงกลางของสุสานที่สูงหลายร้อยจั้ง มาถึงกลางอากาศข้างหน้าเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง
ปีกแสงที่สวยงามและมีชีวิตชีวาขยับแผ่วเบาในเส้นแสงที่มืดมิด ระหว่างปีกแสงเป็นสาวน้อยสวยงามสองคนที่ราวกับรวมเป็นร่างเดียว
วงคิ้วดวงตาของพวกนางงดงามโดยกำเนิด แต่สีหน้าและรูปลักษณ์กลับต่างกันอย่างยิ่ง กระทั่งสามารถพูดได้ว่ากลับกัน คนหนึ่งดั่งสตรีในหอ คนหนึ่งเย้ายวน คนหนึ่งตาฉายทิวทัศน์หมื่นชนิดหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนราวกับโฉมสะคราญของเหล่าบุปผา คนหนึ่งสายตาสงบนุ่มนวล ใสบริสุทธิ์ราวกับคุณหนูผู้สูงศักดิ์ ทั้งสองยืนชนไหล่อยู่ด้วยกัน ทำให้คนเกิดแรงปะทะอย่างมากจากสายตาสู่จิตใจ
ถ้าอายุของเฉินฉางเซิงมากกว่านี้หน่อย อาจจะรับรู้ถึงการยั่วยวนชนิดนี้ แต่ตอนนี้เขาแค่อายุสิบห้า อีกทั้งคิดแต่การบำเพ็ญเพียรเพื่อมีชีวิตยืนยาวอย่างเดียว ไม่เคยไปขบคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ในสายตาของเขา สตรีสองนางนี้ยังคงเป็นอสุรีสาวที่น่ากลัวผู้เกือบฆ่าตัวเองตายในทะเลสาบแห่งนั้น
สวีโหย่วหรงพูดว่า “พวกนางก็คือปีกคู่ของหนานเค่อ หรือพูดว่าเป็นสาวรับใช้คู่ คนหนึ่งชื่อฮว่าซุ่ย คนหนึ่งชื่อหนิงชิว”
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงรู้จักชื่อพวกนาง ชะงักเล็กน้อย สายตาที่มองพวกนางอีกครั้งก็เกิดอารมณ์ที่ต่างจากเดิม
ร่วมเดินทางและพูดคุยเล่นกับสวีโหย่วหรงตลอดทาง เขารู้ว่าปีกคู่ของหนานเค่อคู่นี้เป็นร่างวิญญาณที่เผ่าพ่อมดมังกรเทียนใช้วิธีบวงสรวงบางอย่างสร้างขึ้นมา มีจิตสัมผัสและความรับรู้เป็นของตัวเอง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบต้องฟังคำสั่งของเจ้านาย ความเป็นตายก็ไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง เพียงแค่เจ้านายเกิดความคิดเล็กน้อย พวกนางก็จะดับสลาย และตายไปจากตรงนี้
ตอนนี้ได้ยินชื่อสองชื่อนี้ เขายิ่งไม่ชอบ ฮว่าซุ่ย? หนิงชิว? นี่เป็นชื่อสาวรับใช้ที่เคยได้ยินมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ให้ความรู้สึกที่ต่ำต้อยแก่ผู้คน ความรู้สึกที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข แน่นอนว่า เขารู้ว่าชื่อนี้ไม่ใช่ที่พวกนางตั้งกันเองแน่นอน สิ่งที่เขาไม่ชอบคือการตั้งชื่อเช่นนี้ให้กับพวกนาง อีกทั้งองค์หญิงน้อยของเผ่ามารยังควบคุมความเป็นตายพวกนางได้
ผู้รับใช้คู่หนานเค่อรับใช้เจ้านายบ้านตัวเองทุกวัน จะมองความหมายในสายตาของเขาไม่ออกสักนิดได้เสียที่ไหน
หนิงชิวก็คือสาวสวยยั่วยวนที่มีเส้นโค้งเว้าอันอ่อนนุ่ม สายตานุ่มนวล กลับไม่ชอบความเห็นใจกระทั่งความสงสารในสายตาของเขาอย่างยิ่ง ใจคิดวันนั้นที่ข้างทะเลสาบ เจ้าเกือบตายในมือของพวกเราสองคน ไม่คิดว่าจะมาสงสารการถูกควบคุมโดยเจ้านายของพวกข้าสองคน ช่างน่าขันจริงๆ ไม่เคารพยำเกรงจริงๆ
นางพุ่งขึ้นไปบนแท่นด้วยอารมณ์โมโห
“ไอ้หยา! เจ้ารีบอะไร! ข้ายังไม่ได้พูดคุยกับเขาเลย!”
ฮว่าซุ่ยถูกนางพาบินขึ้นไปบนแท่นหิน พูดด้วยความลนลานเล็กน้อย มองดูเหมือนมีความเร่งรีบกระวนกระวายเล็กน้อย ปลายนิ้วมือกลับมีสีเขียวที่อึมครึมซึมออกมาแล้ว ร้ายกาจอย่างยิ่ง
ในเสียงพึ่บพั่บที่ดังขึ้น กลางอากาศที่อยู่ข้างหน้าแท่นสูงของสุสาน เกิดจุดสีเขียวจำนวนมาก เต็มไปด้วยดวงดาวเป็นจุดๆ อย่างแน่น
สีเขียวเหล่านั้นล้วนเป็นพิษของขนปีกนกยูง ครั้นเข้าสู่เลือดเนื้อ ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ในตอนที่ต่อสู้ข้างทะเลสาบ พวกนางพยายามคิดทุกวิถีทาง ล้วนไม่สามารถแทงทะลุผิวหนังของเฉินฉางเซิงได้ เวลานี้กลับยังคงโจมตีมาเช่นนี้ คิดว่าต้องแอบซ่อนวิธีการบางอย่างเอาไว้แน่นอน
สวีโหย่วหรงมองภาพนี้อย่างเงียบเชียบ มือขวากำธนูยาว นิ้วมืออยู่ที่คันธนูเกลี้ยงเกลาและโบราณโจมตีออกไปเบาๆ ตามจังหวะบางอย่าง เตรียมออกมือเมื่อเฉินฉางเซิงรับไม่ทันอยู่เสมอ
นางในเวลานี้ไม่มีแรงต่อสู้ใดๆ อย่างแท้จริง แต่อย่างน้อยยังสามารถใช้ธนูอู๋ ต้านการโจมตีของศัตรูได้สักคราหนึ่ง เฉินฉางเซิงไม่ได้ให้โอกาสนี้แก่นาง เท้าขวาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ใต้เท้าย่ำน้ำกระเซ็นออกแตกกระจายบนแท่นหิน พลังส่งจากบริเวณเอวไปยังหัวไหล่ สืบต่อไปยังข้อมืออีกที กระบี่สั้นสลายกลายเป็นเส้นตรงที่ตรงดั่งพู่กันสายหนึ่ง แทงไปที่เส้นขอบด้านนอกของแท่นหิน!
เสียงควับดังขึ้นมาอย่างชัดเจน อากาศรอบข้างแท่นหินราวกับถูกเขากรีดขาดไปด้วยกระบี่หนึ่ง
ที่ยิ่งมหัศจรรย์กว่าคือ รอบข้างเส้นตรงที่ถูกกระบี่ของเขากรีดผ่านไปในอากาศจู่ๆ ก็ปรากฏบุปผาหิมะสีขาวพิสุทธิ์จำนวนมาก เกล็ดหิมะแข็งเป็นบุปผา แน่นอนว่าใหญ่กว่าบุปผาหิมะที่ผลิบานตามธรรมชาติ อย่างน้อยก็หลายสิบเท่า สวยงามอย่างมีเอกลักษณ์
บุปผาหิมะปลิวละล่อง ครอบปีกแสงคู่นั้นพอดี
ผู้รับใช้คู่ในปีกแสง แม้จะเป็นพละกำลังเพียงลำพัง ก็ล้วนอยู่ที่ระดับทะลวงอเวจีขั้นปลาย เหมือนกับเขา หลังจากรวมกันเป็นหนึ่ง พลังต่อสู้ยิ่งเพิ่มขึ้นมหาศาล ฉะนั้นวันนั้นที่ข้างทะเลสาบถึงได้โจมตีจนเฉินฉางเซิงไม่มีโอกาสใดๆ วันนี้เพื่อที่จะแสดงความสามารถต่อหน้าเจ้านาย พวกนางแอบเตรียมวิธีการอื่นเอาไว้เงียบๆ แต่ไม่คิดว่า วิธีที่ตามมาทีหลังทั้งหมดนั้นยังไม่ทันได้แสดงออกมา ก็ถูกกระบี่หนึ่งของเฉินฉางเซิงแทงทะลุจนอันตรธาน
กระบี่นี้ที่เฉินฉางเซิงใช้ เป็นเวลาอย่างน้อยสิบกว่าปีไม่ได้ปรากฏออกมาในต้าลู่ มีเพียงแค่ปรากฏออกมาครั้งหนึ่งในการสอบใหญ่เมื่อสองเดือนก่อน จึงไม่มีใครดูออก
สิ่งที่เขาใช้เป็นพลองพลิกขุนเขาของสำนักฝึกหลวง
ถ้าจะพูดถึงความเร็วกระบี่ พลองพลิกขุนเขาของสำนักฝึกหลวงนั้นสู้กระบี่แสงชั่วพริบตาของสำนักเทียนเต้าไม่ได้ ถ้าจะพูดถึงท่ากระบี่ พลองพลิกขุนเขาของสำนักฝึกหลวงสู้กระบี่เวิ่นสุ่ยสามกระบวนท่าไม่ได้ และก็สู้มหากระบี่วายุพิรุณเหล่านั้นของพรรคกระบี่เขาหลีซานไม่ได้เช่นกัน แต่พลองพลิกขุนเขาเป็นวิชาพลองที่นำมาสั่งสอนนักเรียนที่ละเมิดกฎของสำนักฝึกหลวงในปีนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่ที่คำว่าเหตุผล
กระบี่นี้ของเขาดูเหมือนจะไม่ใช้เหตุผล แต่ความจริงแล้วมีเหตุผลมาก เหตุผลอยู่ที่ในกระบี่แฝงด้วยไอหนาวเกล็ดน้ำแข็ง อยู่ที่บุปผาหิมะหมื่นจุดที่ลอยอยู่กลางอากาศบนแท่นหิน
ผู้รับใช้คู่ของหนานเค่อเร็วเกินไป เร็วจนกระทั่งเขาใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาก็ไม่มีความหมาย อีกทั้งพื้นที่บนแท่นหินเล็กเกินไป ไม่สะดวกในการใช้ เขายิ่งไม่มีวิธีในการต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามกลางอากาศ ฉะนั้นเขาจำเป็นที่จะต้องจำกัดความเร็วของฝ่ายตรงข้าม ควบคุมการต่อสู้สนามนี้ให้อยู่ในช่องว่างที่เล็กแคบ
ในเวลาเดียวกัน พลองพลิกขุนเขาของสำนักฝึกหลวง อยู่ที่คำว่าเข้มงวด
เข้มงวดก็คือไม่บิดพลิ้ว เจ้า…ห้ามหลบหลีก!
อักษรสองตัวนี้ก็คือหัวใจกระบี่ของกระบี่นี้ของเฉินฉางเซิง
บวกกับไอหนาวเกล็ดน้ำแข็ง กระบี่นี้สามารถพูดได้ว่าหนาวเหน็บเงียบเชียบถึงที่สุด
บุปผาหิมะตกลงมา สัมผัสสีเขียวคล้ำเหล่านั้น ในระยะเวลาอันสั้นเปลี่ยนสีเขียวเหล่านั้นให้หมองหม่นไร้ที่เปรียบ
กระบวนท่ากระบี่ที่เหน็บหนาวเงียบเชียบ ฉวยโอกาสเข้าแทงสตรีสองคนที่อยู่ข้างในปีกแสงโดยตรง
กลางอากาศหน้าแท่นหินในสุสาน จู่ๆ ก็เกิดเสียงร้องประหลาดที่แฝงความเกรี้ยวกราดดึงดันเสียงหนึ่ง
ปีกแสงขยับอย่างรวดเร็ว บุปผาหิมะถูกพัดกระจาย จู่ๆ ก็ถอยออกไปหลายสิบจั้ง
สีหน้าฮว่าซุ่ยและหนิงชิวขาวซีด
โลหิตสดสายหนึ่ง ไหลลงมาอย่างช้าๆ ระหว่างร่างกายของสองคน
มองเฉินฉางเซิงที่ยืนตรงถือกระบี่อยู่ข้างแท่นหิน สายตาของพวกนางเต็มไปด้วยความตกตะลึงและสีหน้าที่เหลือเชื่อ