ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 4 การบำเพ็ญเพียรไม่เคยมีความสุข
ทั้งด้านนอกและด้านในถ้ำหน้าผาเงียบสงบไปทั่ว มีเพียงเสียงแซกๆ แผ่วเบาที่เกิดจากการปล่อยละอองพิษแพร่เข้าไปยังต้นอู๋ถงอย่างไม่หยุดหย่อน ฟังดูแล้วก็เหมือนกับตัวไหมนับหมื่นกำลังกัดกินใบไม้เขียว มีความรู้สึกที่สยองขวัญเล็กน้อย
สวีโหย่วหรงเงียบขรึมไม่พูดจา เผ่ามารที่ย่องเข้ามาในสวนโจวเป็นศัตรูที่แท้จริง อีกทั้งนางไม่มีความมั่นใจในการเอาชนะผู้อาวุโสพรรคตะวันตกที่อยู่ระดับทะลวงอเวจีขั้นปลายผู้นี้ ฉะนั้นเมื่อครู่นางจึงเสนอสิ่งล้ำค่าที่เพียงพอ เพื่อแลกกับการจากไปของฝ่ายตรงข้าม ถ้าฝ่ายตรงข้ามกลัวการแก้แค้นภายหลังของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ นางเตรียมกระทั่งจะใช้เลือดแท้หงส์สวรรค์ในการสาบาน
แต่แล้ว นางไม่คิดว่าสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการนั้นเป็นเลือดของตัวเอง
ไม่ว่าเอกสารในพระราชวังหลีหรือข้อมูลของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ความเห็นของสองพรรคเหนือใต้นิกายหลวงที่มีต่อผู้อาวุโสพรรคตะวันตกผู้นี้ล้วนคือเย็นชากระหายเลือด แต่กระหายเลือดสองคำนี้ในที่นี้หมายถึงอารมณ์นิสัย ไม่ได้แปลว่าคนผู้นี้เหมือนกับเผ่ามารที่บ้าคลั่งบางพวกที่ชอบกินเนื้อดื่มเลือดมนุษย์ มิฉะนั้นก็ไม่ต้องรอให้พระราชวังหลีและเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ออกหน้า พรรคกระบี่หลีซานคงสังหารคนคนนี้ไปนานแล้ว
นางไม่ค่อยเข้าใจเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงวิชาบำเพ็ญเพียรของพรรคตะวันตกที่เกี่ยวข้องกับเพลิงปฐพีก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
ถ้าสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการคือเลือดแท้หงส์สวรรค์ของตัวเอง ฉะนั้นแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก
“ก่อนที่ข้าจะเริ่มบำเพ็ญเพียร เป็นบัณฑิตทางใต้คนหนึ่ง เป้าหมายของชีวิตในตอนแรกสุดคือสอบเข้า มีชื่อเสียง เป็นข้าราชการ หาเงิน สมรสกับสาวงามคนหนึ่ง แต่ท่านอาศัยอยู่ที่เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาหลายปี น่าจะรู้ว่าเหล่าข้าราชสำนักทางใต้ความจริงแล้วเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดของแต่ละพรรคสำนักและตระกูลดัง ถึงแม้รับใช้ข้าราชการจนเป็นถึงองคมนตรี ก็เป็นได้แค่สุนัขที่ถูกเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรเรียกมาตะคอกไป”
ไป๋ไห่นึกถึงเรื่องเก่าๆ เมื่อหลายปีก่อน มีความทอดถอนใจเล็กน้อย “ลอยอยู่ในวงการขุนนางมาหลายปี ในที่สุดข้าก็เข้าใจเหตุผลข้อนี้ ฉะนั้นอยากจะบำเพ็ญเพียร แต่อายุมากแล้ว ยากมากที่จะบำเพ็ญเพียรวิชาถูกต้องตามต้นตำรับของพรรคให้ถึงขั้นสูงสุด ฉะนั้นข้าเลือกเดินทางลัดเข้าพรรคตะวันตก พูดแล้วก็รู้สึกโชคดี คุณสมบัติในด้านความรู้ของข้าสูงมาก วิชาความสามารถก็เยี่ยมยอดยิ่งเช่นกัน ใช้เวลาเพียงยี่สิบปี ก็บำเพ็ญถึงขั้นทะลวงอเวจี”
ละอองพิษค่อยๆ แพร่เข้าไปยังต้นอู๋ถง เขาและสวีโหย่วหรงยืนอยู่ในถ้ำและนอกถ้ำ ห่างกันในระยะประชิด กลับไม่สามารถสัมผัสกันได้ เขาจึงมีเวลาหวนคำนึงถึงเรื่องราวในอดีตอย่างจริงจัง ก็ถือว่าเป็นการให้คำอธิบายแก่ฝ่ายตรงข้ามแล้วกัน
“แต่ว่าก็มาถึงตรงนี้แล้ว” เขาพูดด้วยความเศร้าหมองเล็กน้อยว่า “ข้าไม่มีปัญญาก้าวไปข้างหน้าอีก การบำเพ็ญเพียรของร้อยกว่าปีให้หลัง ทั้งหมดล้วนเป็นการสิ้นเปลืองเวลาชีวิต ข้าไม่ยอมจริงๆ ทั้งๆ ที่ตัวเองมีสติปัญญาและการศึกษาที่เพียงพอ ถ้านับระดับความขยันยิ่งไม่แพ้ใคร แต่ทำไมกลับตั้งแต่ต้นจนจบไม่อาจผ่านขั้นทะลวงอเวจีไปได้? หรือเป็นเพราะสาเหตุของสายเลือดพรสวรรค์มันธรรมดาสามัญยิ่ง?”
พูดถึงตรงนี้ เขามองไปยังสวีโหย่วหรงที่อยู่หลังต้นไม้ ไม่ปิดบังความอิจฉาและโมโหในสายตาตัวเองแม้แต่นิด พูดว่า “แต่ว่าสายเลือดพรสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองเลือกได้ เป็นสิ่งที่สวรรค์แบ่งสันมั่วซั่ว เรื่องอะไรที่คนอย่างพวกเจ้ามีสายเลือดพรสวรรค์ที่ประเสริฐขนาดนี้ แต่คนอย่างพวกเราเช่นนี้ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหนก็ไม่มีวันไล่ตามพวกเจ้าได้? เรื่องอะไรที่เจ้าปีนี้อายุแค่สิบห้าก็บำเพ็ญเพียรถึงระดับทะลวงอเวจีขั้นปลาย แต่ข้ากลับต้องใช้เวลาร้อยกว่าปี?”
“ตอนหลังข้าสังเกตเห็นตำราวิเศษหายากวิชาแขนงหนึ่งในพรรค สามารถช่วยให้ข้าทะลุธรณีประตูขั้นทะลวงอเวจีนี้ได้ เพียงแต่การบำเพ็ญเพียรวิธีของวิชานี้ลำบากเกินไป ต้องการผลึกเพลิงที่บริสุทธิ์ที่สุดในการช่วยให้ข้าชำระกระดูกเปลี่ยนเลือดใหม่ แต่ว่าผลึกเพลิงปฐพีของพรรคในปีนั้นถูกท่านเจ้าสำนักหลอมเข้าไปในกระบี่ จากนั้นก็หายไปพร้อมกับเขา แล้วข้าจะไปหาจากที่ไหน? ข้าจะมีปัญญาเดินทางข้ามไปยังเกาะน้อยใหญ่เหล่านั้นในมหาสมุทรไห่หนานเพื่อหามังกรแดงหรือ? ข้าค้นหามันมาเป็นเวลาสิบกว่าปีอย่างยากลำบาก ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีความก้าวหน้าใดๆ ในที่สุดข้าก็นึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา”
ไป๋ไห่หันข้างมองไปยังทิศของที่ราบทุ่งหญ้าที่ห่างไกล พูดว่า “ท่านเจ้าสำนักตายแล้ว ผลึกแห่งเพลิงปฐพีก็หายไปอย่างไร้วี่แววพร้อมกับกระบี่ของเขา ในปีนั้นเขาเกือบจะเข้าใกล้ขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว ใครจะฆ่าเขาได้? ความเป็นไปได้ที่มากที่สุด แน่นอนว่าเป็นโจวตู๋ฟู ฉะนั้นกระบี่ของเขาจะตกหล่นในสวนโจวหรือไม่? อยู่ที่สระกระบี่ในตำนานอย่างนั้นหรือ?”
“ฉะนั้นเมื่อสวนโจวเปิดในปีนี้ ข้าเข้ามาอย่างไม่ลังเล พูดตามจริง ข้าเห็นสัญญาณดอกไม้ไฟของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า กระทั่งข้ายังเห็นผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์คนหนึ่งถูกเผ่ามารคนหนึ่งกรอกยาพิษตาย แต่แล้วอย่างไร? เรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่าการหากระบี่ของท่านเจ้าสำนักให้เจอ เพียงแต่…ข้าอยู่ตรงนี้หาร่องรอยใดๆ ของกระบี่เล่มนั้นไม่เจอเลย กระทั่งกลิ่นอายของผลึกเพลิงปฐพีข้าก็สัมผัสมันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ข้าหมดหวังแล้ว”
เขาหันไปมองสวีโหย่วหรงอีกครั้ง เนื่องจากความแก่ชราจึงแสดงให้เห็นถึงความขุ่นมัวในสายตา ค่อยๆ ปรากฏสีหน้าละโมบ “และแล้วในตอนที่ข้าหมดหวัง ข้ามองเห็นท่านสยายปีกไฟบินลงมาจากยอดเทือกเขาอัสดง ข้ารู้ว่าท่านได้รับบาดเจ็บ ข้ารู้ว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของการทะลวงระดับขั้นของข้า กระทั่งอาจเป็นโอกาสสุดท้ายของข้า!”
“สิ่งสุดยอดแห่งเพลิงปฐพีนับเป็นอะไร? สิ่งที่ซ่อนอยู่เลือดแท้แห่งหงส์สวรรค์ในร่างกายของท่านนั้นยิ่งรุนแรง ยิ่งเร่าร้อน พลังที่ยิ่งบริสุทธิ์! เพียงแค่ดื่มเลือดของท่าน ข้าจะบำเพ็ญเพียรวิชาลับวิธีนั้นได้สำเร็จอย่างเป็นแน่! ข้าสามารถทะลุขั้นทะลวงอเวจีได้อย่างสบาย หลอมเพลิงสำเร็จ! กระทั่งในอนาคตอาจมีโอกาสเหยียบย่ำเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์! สิ่งยั่วยวนเช่นนี้สำหรับคนอย่างพวกข้าเหล่านี้มันยิ่งใหญ่แค่ไหน ท่านรู้ไหม?”
ไป๋ไห่ยิ่งพูดยิ่งเป็นประกาย เสียงยิ่งมายิ่งแหบ
สวีโหย่วหรงมองเขาพลางพูดว่า “ข้าไม่รู้”
ไป๋ไห่ชะงักเล็กน้อย ถามว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“บำเพ็ญเพียรทะลุระดับขั้นสำหรับข้าแล้วเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก ก็เหมือนกับกินข้าวดื่มน้ำ ตั้งแต่ข้าเกิดมาก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าในอนาคตต้องเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้น…”
สวีโหย่วหรงมองเขาพลางพูดอย่างสงบว่า “ข้าไม่สามารถเข้าใจสภาพจิตใจของเจ้า”
ตอนที่พูดประโยคนี้ นางไม่แยแสอย่างยิ่ง
ไป๋ไห่จึงโมโหอย่างไร้ที่เปรียบ ปะทุความผิดหวังที่รุนแรงอย่างยิ่ง
ถ้าเวลานี้เฉินฉางเซิงตื่นอยู่ คงพอจะเข้าใจความรู้สึกของผู้เฒ่าพรรคตะวันตกคนนี้ ไม่ใช่เพราะเขาเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ แต่เพราะเขาก็เหมือนกันกับสวีโหย่วหรง มักจะทำให้คนอื่นรู้สึกถึง…การพูดความจริงที่ตรงไปตรงมาอย่างตั้งใจ ฝ่ายตรงข้ามกลับถูกบังคับให้รับความอับอายอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจนกระทั่งพูดไม่ออก
ถังซานสือลิ่วที่ได้รับประสบการณ์เช่นนี้มากที่สุด เคยให้ความเห็นไว้เช่นนี้ ‘เจ้าและสวีโหย่วหรง ล้วนเป็นคนที่ทำให้ผู้อื่นไร้คำพูด’
ไป๋ไห่ไร้คำพูดจริงๆ จึงทำได้เพียงตะคอกอย่างโมโหว่า “สายเลือดพรสวรรค์? สวรรค์ไม่ยุติธรรม เดี๋ยวรอข้าดูดเลือดของเจ้าจนหมด สายเลือดพรสวรรค์ของเจ้าก็จะเป็นของข้า! ข้าจะเปลี่ยนแปลงความไม่ยุติธรรมชนิดนี้!”
สวีโหย่วหรงรู้สาเหตุแล้ว จึงไม่สนใจฝ่ายตรงข้ามอีก สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรเลือดเย็นที่เต็มไปด้วยการตะโกนโวยวายตามอารมณ์ นางไม่รู้สึกถึงความน่าสนใจใดๆ
นางเดินไปนั่งข้างเฉินฉางเซิง ขัดสมาธิแล้วเริ่มปรับลมหายใจ ในมือมีหินผลึกที่สวยงามเพิ่มขึ้นมาตอนไหนไม่รู้
ในสวนโจวไม่สามารถติดต่อกับดวงดาวเต็มท้องฟ้าได้ นางไม่สามารถรับรู้ถึงดาวโชคชะตาของตัวเอง เมื่อคืนต้องใช้หินผลึกอย่างยากลำบากถึงจะรวบรวมปราณแท้ขึ้นมาได้ ตอนนี้ยังมีสัญญาณของความหละหลวมขึ้นมาอีกครั้ง
ความจริงเรื่องนี้ทำให้นางไม่มีความสุขเล็กน้อย ก็เหมือนกับที่แม้นางจะไม่สนใจเล่ห์เหลี่ยมโหดร้ายของไป๋ไห่ แต่ในฐานะที่เป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไปของทางใต้ เพื่ออนาคตของเผ่ามนุษย์ จึงไม่หลับไม่นอนวิ่งวุ่นในสวนโจวสองวันคืน ต่อสู้เลือดอย่างต่อเนื่องกับองค์หญิงเผ่ามาร สุดท้ายถูกบีบบังคับให้เข้าสู่สภาพแวดล้อมที่สิ้นหวัง กลับต้องมาตายใต้เงื้อมมือของเผ่ามนุษย์ นี่ทำให้นางรู้สึกไม่มีความสุขอย่างยิ่ง
กั้นกันด้วยใบไม้สีเขียวของต้นอู๋ถง ไป๋ไห่มองเห็นนางเลิกคิ้วเล็กน้อย เดาความรู้สึกในตอนนี้ของนางออก พูดเชิงเยาะเย้ยเล็กน้อย “รู้สึกไม่ยุติธรรม?”
สวีโหย่วหรงนั่งขัดสมาธิบนพื้น สีหน้าสงบนิ่ง แม้จะไม่ได้ตอบ กลับรู้สึกเหมือนว่ากำลังพูดว่า จะมีใครคิดว่านี่ยุติธรรมด้วยหรือ?
“ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกว่าเผ่ามนุษย์อย่างข้าเย็นชาเห็นแก่ตัว มีเล่ห์เหลี่ยมเลศนัย…แต่เจ้าเคยคิดไหม ที่จริงแล้วเจ้ากับพวกข้าไม่ได้ต่างอะไรเลย เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นหงส์สวรรค์จริงๆ หรือ? เจ้าคิดว่าเจ้าบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับที่ตัวเองจินตนาการไว้อย่างนั้นหรือ? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นตัวแทนของคุณธรรมหรือ?”
บนใบหน้าที่แก่ชราของไป๋ไห่แสดงความดูถูกออกมา ชี้เฉินฉางเซิงที่อยู่ด้านหลังของนางพลางพูดว่า “เมื่อคืนข้าเห็นเจ้าบินลงมาจากเขาอัสดง จากนั้นจึงตามหลังมาอย่างเงียบๆ แม้จะไม่ได้เห็นว่าเจ้าช่วยชีวิตคนผู้นี้อย่างไร แต่คิดดูแล้วน่าจะอยู่ต่อหน้าเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่ามาร แล้วก่อนหน้านี้ทำไมเจ้าเตรียมที่จะปล่อยให้เขาอยู่ที่ดงกกอ้อคนเดียว? ข้าไม่ได้เห็นเจ้าไปทำอะไรในป่าไม้ คิดดูแล้วน่าจะเป็นแค่จิตใจดิ้นรนไร้สาระเหล่านั้น แต่เจ้าจะดิ้นรนทำไม? จะมีหรือไม่มีคนเห็นทำไมถึงมีผลกระทบต่อเจ้า? แสดงว่าสิ่งที่เจ้าให้ความสนใจที่แท้แล้วไม่ใช่คุณธรรมเมตตาอันใด แต่เป็นมุมมองของคนอื่นที่มีต่อเจ้า!”
คำพูดชุดนี้ช่างแทงใจดำอย่างยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้เฒ่าพรรคตะวันตกผู้นี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ เด็กผู้หญิงมังกรดำคนหนึ่งก็มีความเห็นต่อสวีโหย่วหรงเหมือนกันกับเขา
อย่างไม่ต้องสงสัย คำพูดชุดนี้ช่างช้ำใจยิ่งนัก ยากที่จะโต้แย้ง
สีหน้าสวีโหย่วหรงสงบนิ่งราวกับไม่ได้ยินคำพูดชุดนี้อย่างสิ้นเชิง ไม่คุ้มที่จะโต้แย้งโดยสิ้นเชิง
ความไม่คุ้มค่าเช่นนี้ ไม่ใช่การเสแสร้งหลังจากที่ไร้คำพูด แต่เป็นเพราะนางไม่รู้สึกใดๆ ต่อคำพูดเหล่านี้
คนอื่นจะมองนางอย่างไร นางไม่เคยสนใจอย่างแท้จริง นางไม่สนใจผู้แข็งแกร่งเผ่ามารเหล่านั้นจะมองนางอย่างไร แน่นอนว่าก็ไม่สนใจผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่ไร้ยางอายคนนี้จะคิดอย่างไรเช่นกัน
ในทางกลับกัน หลังได้ยินคำพูดเหล่านี้ของไป๋ไห่ นางแอบสบายใจขึ้น
เพราะว่าคำพูดเหล่านี้เปิดเผยข้อมูลอย่างหนึ่ง คนคนนี้ไม่ได้เห็นตอนนางออกไปจากดงต้นอ้อก่อนหน้านี้ ไปทำอะไรบ้างในป่าไม้ที่อยู่ชายฝั่ง
แต่ว่าถูกคนเยาะเย้ยทำให้อับอายเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่มีความสุข
นางมองไปยังเฉินฉางเซิงที่อยู่ด้านหลัง เลิกคิ้วเล็กน้อย ใจคิดถ้าไม่ใช่เพราะต้องพาคนคนนี้มาด้วย เมื่อคืนตัวเองก็คงจากไปได้อย่างตัวเบา แม้ก่อนหน้านี้จะเจอไป๋ไห่ที่บริเวณหน้าผาภูเขา อย่างน้อยก็มีสามวิธีที่จะหลีกเลี่ยง ไม่ต้องมาถูกกักขังในถ้ำภูเขาเหมือนตอนนี้ หลังจากนี้อาจเป็นไปได้ที่ถูกฝ่ายตรงข้ามดื่มเลือดตัวเองไป…
หลังจากที่สายเลือดพรสวรรค์รู้ตื่น ฐานะของนางในโลกเผ่ามนุษย์ก็พิเศษมาก ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ หรือว่าอาจารย์เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ล้วนรักใคร่เป็นพิเศษ ส่วนเหล่าผู้ร่วมเรียนในกระทรวงสิบสามชิงเหย้า คนพรรคเดียวกันของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดในโลก มีเวลาไหนกล้าไม่เคารพต่อนางสักนิดบ้าง? คิดไม่ถึงว่ายังอยากจะดื่มเลือดของตัวนางอีก?
นี่แน่นอนว่าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเรื่องที่มีความสุข
นางไม่สามารถรับได้
นางเอาถาดดาวโชคชะตาออกมา นิ้วมือเลื่อนอย่างรวดเร็ว เส้นสายที่ซับซ้อนเหล่านั้นเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง รวมเป็นรูปภาพที่ซับซ้อนกว่าเดิม
“นี่คืออะไร? นี่คือถาดดาวโชคชะตา?” ไป๋ไห่มองภาพนี้จากนอกถ้ำ เหมือนจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย
สวีโหย่วหรงไม่สนใจคนผู้นี้ ทำเรื่องของตัวเองต่อไป