ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 40 มีสายรุ้งขึ้น ณ ที่ราบทุ่งหญ้า
เสียงเพี๊ยะหนึ่งเสียง กระบี่สั้นในมือของเฉินฉางเซิงโจมตีโดนข้อมือของหนานเค่ออย่างเหมาะเจาะแม่นยำ ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้นิ้วนั้นของหนานเค่อยอดเยี่ยมเกินไป ทำให้กระบี่สั้นที่แหลมคมสั่นสะท้านขึ้นมาดั่งใบหลิวโดนลมพัด คิดอยากจะตวัดลงมาในระยะเวลาอันสั้น ก็ทำได้เพียงเดินตามน้ำ กระทั่งเขาสามารถฝืนหมุนข้อมือ ใช้กระบี่แหลมคมตัดที่ข้อมือของนาง
แม้จะไม่สามารถ ในกระบี่ของเขาที่มองดูเหมือนบอบบางยังคงแฝงพลังอันยิ่งใหญ่ แม้จะเป็นพลทหารเผ่ามารที่บรรลุนิติภาวะแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเป็นมองไม่เห็น สีหน้าหนานเค่อกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลง ราวกับไม่มีความรู้สึกใดๆ แม้นิ้วมือที่แหลมคมราวกับหางนกยูงเส้นนั้นจะเปลี่ยนทิศทางไปจากตอนแรกสุดเล็กน้อย ยังคงมุ่งไปข้างหน้าอย่างแข็งทื่อ เตรียมจะแทงไปที่หน้าอกของเขา!
บนแท่นสูงหน้าสุสาน อสนีบาตฟาดฉีกฟ้าในฤดูใบไม้ผลิขึ้นมาสายหนึ่ง ร่างกายของเฉินฉางเซิงสลายกลายเป็นแสงไหลวูบไหวไปยังด้านหลังอย่างรวดเร็ว กระแทกประตูหินของสุสานอย่างรุนแรงด้วยหนึ่งเสียงปะทะที่หนักหน่วง ฝุ่นควันพ่นกระจายออกมาตามช่องว่างประตูที่อยู่ตรงด้านล่าง รวมถึงช่องว่างระหว่างประตูหินและพื้นดิน ค่อยๆ กระจัดกระจายออกมาบนแท่นหิน ทำให้ภาพไม่ชัดเจนเล็กน้อย
ในเสียงเสียดสีระหว่างเสื้อผ้าและพื้นหินหยาบ เฉินฉางเซิงไหลลื่นจากประตูหินตกลงไปบนพื้น สองเข่างอเล็กน้อย สีหน้าขาวซีด เลือดสดในลำคอที่เกือบจะพ่นออกมาถูกบังคับให้กลืนกลับไปในท้อง ความเจ็บปวดที่จิตสัมผัสได้รับการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงกลับไม่สามารถลบล้างไป ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ ภูเขาวิญญาณที่อยู่ในส่วนลึกของร่างกายเขามีเศษหินตกลงมาจำนวนมาก การโจมตีทีหนึ่งของหนานเค่อดูเหมือนแล้วแต่อารมณ์ ไม่คาดว่าเกือบจะทำให้บาดเจ็บสาหัสยากที่จะลุกขึ้นมาอีก
เข่าที่งออยู่ค่อยๆ เหยียดตรง น้ำเลือดและปราณแท้ที่ไหลออกมาค่อยๆ ฟื้นฟู เขายืนขึ้นมา จ้องตาของหนานเค่อ รอคอยการโจมตีครั้งต่อไปที่จะมาถึง
หนานเค่อไม่ได้โจมตีครั้งที่สองออกมาทันที แต่กลับมองไปยังมือซ้ายของเขา
มือขวาของเฉินฉางเซิงกำกระบี่สั้น มือซ้ายถือร่มกระดาษทอง หลังเดินออกไปจากสุสาน เขาถือร่มคันนี้ไว้ในมือมาตลอด
ก่อนหน้านี้นิ้วมือของหนานเค่อไม่ได้แทงไปที่อกของเขาโดยตรง แต่เป็นการแทงไปที่ส่วนหัวของร่ม
ก็เหมือนกับเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ คิ้วคู่นั้นของหนานเค่อเล็กละเอียดมาก จางเล็กน้อย เวลานี้มองร่มกระดาษทองในมือของเขา คิ้วสองข้างเลิกขึ้นมา แสดงถึงความเหลือเชื่อเล็กน้อย นางเคยได้ยินการรายงานอย่างละเอียดของฮว่าชุ่ยละหนิงชิวผู้รับใช้สาวสองคนเกี่ยวกับการต่อสู้สนามนั้นของเฉินฉางเซิง รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีร่มเก่าคันหนึ่ง ร่มคันนั้นมีความแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่จนกระทั่งช่วงเวลาก่อนหน้านั้น จิตสังหารและพลังที่น่าหวาดกลัวซึ่งแช่อยู่ในบริเวณนิ้วของนางกลับถูกร่มคันนั้นกันไว้เกือบทั้งหมด นางถึงจะรู้ว่าความแปลกประหลาดที่ว่านั้นคืออะไร แต่สิ่งที่ทำในนางเหลือเชื่อที่แท้จริงก็คือ ไม่คิดว่าเฉินฉางเซิงที่ถูกโจมตีจนล้ม กลับยืนขึ้นมาได้
แม้จะมีร่มเก่าที่ความสามารถในการป้องกันยากที่จะจินตนาการคันนั้นเป็นตัวกั้น พลังส่วนใหญ่ของตนก็แน่นอนว่าตกลงบนตัวของเฉินฉางเซิง เขาไม่ใช่สวีโหย่วหรง และก็ไม่ใช่องค์หญิงเผ่าปีศาจที่ชื่อว่าลั่วลั่วคนนั้น ไม่มีสายเลือดพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่พอ แม้จะชำระกระดูกได้สมบูรณ์แบบ ตามหลักแล้วก็ไม่น่าจะทนรับได้ เพราะอะไรเขาถึงยังยืนขึ้นมาได้?
นางไม่ได้คิดมาก เนื่องจากความบังเอิญเป็นครั้งคราวเหล่านี้ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้
สุสานที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ นางใกล้จะได้รับช่วงสืบทอดต่อแล้ว ส่วนสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงใจแตกคู่นี้ ก็แน่นอนว่าต้องตายในมือของนางเช่นกัน
“ย่างก้าวหยั่งเทวาของเจ้าไม่ถูก” นางมองเฉินฉางเซิงพลางพูด
บนที่ราบทุ่งหญ้าด้านหลังของนางคลื่นสัตว์อสูรดั่งทะเล เงาสะท้อนในท้องฟ้าดั่งค่ำคืน
ตอนที่พูดประโยคนี้ คางของนางเชิดเล็กน้อย สีหน้าไม่แยแส ทั้งๆ ที่เตี้ยกว่าเฉินฉางเซิงไม่น้อย กลับปรายตามองลงข้างล่าง ทั้งๆ ที่อายุเด็กกว่าเฉินฉางเซิง อารมณ์คำพูดกลับเหมือนกำลังสั่งสอนนักเรียนของตัวเอง ทั้งๆ ที่เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงที่ตัวเล็กจ้อย กระทั่งผอมอ่อนแอ กลับราวกับเป็นปูชนียาจารย์แห่งยุค
เฉินฉางเซิงรู้ว่านางพูดไม่ผิด ย่างก้าวหยั่งเทวาของเขา มาจากคนเผ่าเยียซื่อที่ไล่ฆ่าลั่วลั่วคนนั้นรวมถึงการสังเกตเจอในคัมภีร์ลัทธิเต๋า เป็นเพียงแค่ฉบับง่าย พูดให้ถูกต้องแม่นยำกว่าก็คือ ย่างก้าวหยั่งเทวาฉบับนี้ก็คือการเลียนแบบชนิดหนึ่งที่นักปราชญ์รุ่นเก่าท่านหนึ่งของสำนักฝึกหลวงในหลายปีก่อนได้พยายามทำการทดลองเอาไว้
หนานเค่อไม่ใช่คนเผ่าเยียซื่อ แต่นางเป็นเชื้อพระวงศ์ที่สายเลือดสูงส่งบริสุทธิ์ที่สุดในเผ่ามาร สายเลือดพรสวรรค์ทำให้นางสามารถครอบครองย่างก้าวหยั่งเทวาได้ อีกทั้งยังเป็นย่างก้าวหยั่งเทวาที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ย่างก้าวหยั่งเทวาที่เมื่อครู่เขาใช้ต่อสู้กับนาง ไม่พูดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่โง่เง่าบัดซบ
สาเหตุที่หนานเค่อพูดประโยคนี้ เป็นเพราะว่าในพลองพลิกขุนเขาของสำนักฝึกหลวงสายนั้นของเฉินฉางเซิงมีเจตนาสั่งสอนอย่างเห็นได้ชัด นี่ทำให้นางไม่พอใจมาก นางต้องการให้เขาเข้าใจ ตกลงใครมีสิทธิ์สั่งสอนใครกันแน่
พูดประโยคนี้เสร็จ เป้าหมายของนางทำสำเร็จแล้ว แน่นอนว่าไม่พูดโอ้เอ้ไปมากกว่านี้อีก
เงาหลังของนางหายไปอย่างกะทันหันที่ข้างแท่นหิน เวลาต่อมาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเฉินฉางเซิงอีกครั้ง ยังคงใช้นิ้วเดียวแทงออกมา ยังคงชี้ไปที่หว่างคิ้วของเขา
หลายสิบวันก่อน ในพื้นที่เปียกชื้นที่ขอบข้างที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนั้น เฉินฉางเซิงมองนางที่อยู่บนชายฝั่ง บอกว่านางป่วย บอกว่านางตาเหล่ บอกว่าใจกลางซงกั่วในหว่างคิ้วของนางถูกวิญญาณเทพก่อปัญหาใหญ่ ฉะนั้นวันนี้นางก็จะตอกหลุมโลหิตที่บริเวณหว่างคิ้วของเขา ดูว่าในนั้นของเขามีปัญหาหรือไม่ ในขณะเดียวกันก็อยากรู้ว่าระหว่างตาสามดวงกับตาเหล่อย่างไหนน่าเกลียดกว่ากัน
นางคือองค์หญิงเผ่ามารผู้ทรงสายเลือดพรสวรรค์อันน่าเหลือเชื่อ แต่อย่างไรนางก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงอายุสิบกว่าปี อาการงอแงแน่นอนว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ว่าการโจมตีของนางไม่ใช่เป็นเรื่องเล่นๆ อย่างแน่นอน น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
การออกกระบวนท่าโจมตีครั้งก่อนแพ้อนาถ เฉินฉางเซิงก็รู้อย่างแม่นยำ ตัวเองเป็นไปไม่ได้ที่จะเร็วกว่านาง ไม่ว่าจะเป็นความเร็วท่าร่างหรือว่าการออกเพลงกระบี่ ฉะนั้นเขาจึงไม่มีความสามารถในการแย่งชิงโจมตีกับนาง เช่นนั้น ก็ทำได้เพียงป้องกัน
ลมหนาวพันกรูเกรียวเข้ามาในสุสานอย่างกะทันหัน ราวกับมาถึงวันเหมายัน แสงกระบี่หลายสายสว่างวาบขึ้นรอบตัวเขา จากนั้นก็เก็บกลับไป ราวกับแสงตะวันแสงแรกของรุ่งอรุณส่องสว่างเศษหิมะหน้ากระท่อม
เกล็ดหิมะหนาวเหน็บล่องลอยคล้อยตามเจตจำนงกระบี่ มายังเบื้องหน้าประตูหลักของสุสาน สลายกลายเป็นกระจกน้ำแข็งจำนวนหลายร้อยบาน รูปร่างและผิวสัมผัสของกระจกน้ำแข็งเหล่านั้น ยืดหยุ่นไร้ใดเปรียบ กระจกน้ำแข็งทุกบานล้วนเป็นเจตจำนงกระบี่ของเขา
ได้ยินเพียงเสียงดังเพี๊ยะชัดเจน กระจกน้ำแข็งสลายเป็นเศษเกล็ดหิมะจำนวนมาก บินกระจัดกระจายออกไป กลายเป็นลูกบอลหิมะกลางอากาศอันมืดมน แตกสลาย ณ จุดนี้
แทบจะในเวลาเดียวกัน กระจกน้ำแข็งหลายสิบบานก็แตกสลายพร้อมกันข้างหน้าเขา
ข้างหน้าประตูหลักของสุสานก่อนหน้านี้มีหิมะตกอย่างประหลาดรอบหนึ่ง เม็ดน้ำแข็งแข็งมาก กระทั่งก่อเกิดเป็นแท่งน้ำแข็ง ลมหนาวยิ่งแรงมาก
ในลมหิมะเกิดบนชั้นบรรยากาศที่ชัดเจนมากสายหนึ่ง ไม่ว่าใครก็มองออกว่านั่นเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากเงาหลังที่ผอมบาง
ลมหนาวพัดโชยหน้าเฉินฉางเซิง พัดจนขนตาที่ละเอียดยาวสั่นอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถหยุดได้
เงาหลังของหนานเค่อปรากฏออกมา ยังคงเป็นนิ้วมือที่เรียวยาวนิ้วนั้น ยังคงชี้ไปที่หว่างคิ้วของเขา
พรึ่บหนึ่งเสียง มือซ้ายของเฉินฉางเซิงกางร่มกระดาษทอง กระบี่สั้นในมือขวาตวัดตัดลงไปตรงกลาง กระบี่เที่ยงแท้ของสำนักฝึกหลวง!
ปลายนิ้วยาวของหนานเค่อตกลงบนส่วนหัวของร่ม ราวกับไม้กิ่งหนึ่งตอกเข้าไปที่ผ้าห่มผืนเปียก เกิดเสียงหนักหน่วงเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น
จากนั้นนางก็ลอยตัวบินถอยไป หลบท่ากระบี่ที่ยอดเยี่ยมบริสุทธิ์ยิ่งสายนั้น กลับไปยืนที่ขอบข้างแท่นหิน ปีกคู่ขยับช้าๆ ในท้องฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยเกล็ดหิมะ
นิ้วมือของนางไม่ใช่กิ่งไม้ แต่เป็นภูเขาลูกหนึ่ง
ร่างของเฉินฉางเซิงถูกแรงสั่นสะเทือนจนปลิวอีกครั้ง กระแทกลงบนประตูหินของสุสานอย่างแรง
เขายืนอยู่ใกล้ประตูหินที่สุด กลับชนแรงยิ่งกว่า กระทั่งน้ำฝนและเศษหิมะที่สะสมอยู่บนพื้นล้วนถูกการปะทะครั้งนี้กระแทกจนลอยขึ้นมา
ฝุ่นธุลีฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง เขาไถลจากบนประตูหินสุสานลงไปที่พื้น ครั้งนี้เขาใช้เวลานานกว่าเดิม ถึงจะยืนขึ้นมาอย่างยากลำบาก ในเวลานั้นฝุ่นธุลีพลันอันตรธานไปแล้ว
มองหนานเค่อที่ยืนอยู่ข้างแท่นหิน สายตาของเขาไม่มีการขยับใดๆ กลับมีความทำอะไรไม่ถูก
องค์หญิงเล็กของเผ่ามารเข้มแข็งเกินไป เข้มแข็งจนถึงระดับน่าหวาดหวั่นชนิดหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นจำนวนของปราณแท้ ระดับความเข้มแข็ง หรือว่าเป็นขั้นบำเพ็ญเพียร รวมถึงปฏิภาณไหวพริบในการต่อสู้ ตลอดจนพลังและความเร็วที่เป็นพื้นฐานมากที่สุด เขาล้วนสู้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้
หัวใจกระบี่ของเขาตอนนี้ทะลุปรุโปร่ง เจตจำนงกระบี่สงบนิ่งไร้ฝุ่นธุลี กระทั่งเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เขาใช้เจตจำนงกระบี่สร้างกระจกน้ำแข็งเหล่านั้น
เจตจำนงกระบี่ที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบเหล่านี้กลายเป็นกระจกน้ำแข็งที่สมบูรณ์แบบ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิงเล็กเผ่ามารคนนี้กลับ…แหลกสลายใต้หนึ่งฝ่ามือ
นางเป็นบรรพตสูงตระหง่าน
สิ่งก่อสร้างในสวนป่าจะงดงามขนาดไหน สภาพจิตใจจะกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตเท่าไร ร่างกายจะแข็งแกร่งอย่างไร เจตจำนงกระบี่จะสงบปานไหน ต่างล้วนถูกภูเขาลูกใหญ่กดทับจนกลายเป็นผุยผง
ทำอย่างไรถึงจะเอาชนะนางได้?
นอกจากเขาจะมีสายเลือดพรสวรรค์อย่างนาง และจำนวนปราณแท้ที่เหมือนกัน
แต่ว่าเขาไม่มี
เส้นลมปราณที่ขาดตอนในร่างกายของเขากำหนดไว้แล้วว่าเขายากที่จะมีอายุเกินกว่ายี่สิบปี และก็หมายความว่าเส้นทางการบำเพ็ญเพียรจะยากเย็นกว่าผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาเช่นกัน แม้เขาจะดึงแสงดวงดาวได้มากกว่านี้ ขังน้ำทะเลสาบนอกแดนลี้ลับได้มากกว่านี้ ทับถมกองหิมะในพื้นที่รกร้างได้หนากว่านี้ หรือจะแผดเผาอย่างบ้าคลั่งไม่กลัวตายแค่ไหน ก็ยังคงไม่อาจมีจำนวนปราณแท้ที่เพียงพอได้
ฉะนั้นเขาเหลือเพียงวิธีเดียว นั่นก็คือทำให้กระบี่ของตัวเองแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
คัมภีร์ลัทธิเต๋าสามพันมหามรรค หมื่นวิชากระบี่ก็อยู่ตรงนั้น เตรียมรอให้คนอ่าน จากนั้นก็บำเพ็ญเพียร แม้จะท่องจำได้อย่างแตกฉานจนขึ้นใจ ก็เป็นเพียงแค่คัมภีร์ลัทธิเต๋าสามพันมหามรรคหมื่นวิชากระบี่
อยากจะทำให้กระบี่ของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นภายในเวลาอันสั้น ไม่เกี่ยวข้องกับท่าร่างเพลงกระบี่ ทำได้เพียงให้เจตจำนงกระบี่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
หรือจะพูดว่า หาเจตจำนงกระบี่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ให้เจอสักสายหนึ่ง
แล้วจะไปหาเจตจำนงกระบี่ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้จากที่ไหน?
ทุกสิ่งอย่างดำเนินมาถึงตรงนี้ ในที่สุดก็มาถึงจุดจบแล้วหรือ?
ไม่ เฉินฉางเซิงไม่ได้คิดเช่นนี้ เนื่องจากเดิมทีเขาเดินผ่านที่ราบทุ่งหญ้าอันยาวไกล จนมาถึงสุสานแห่งนี้ ก็เพื่อเจตจำนงกระบี่สายหนึ่ง
วันเวลาเหล่านี้ เขาขบคิดอยู่เสมอว่าเจตจำนงกระบี่สายนั้นเรียกตัวเองให้มาถึงตรงนี้จริงๆ แล้วเพื่ออะไร เจตจำนงกระบี่สายนั้นต้องการให้ตัวเองทำอะไรบางอย่างใช่หรือไม่ ตอนนี้ดูๆ แล้วการคาดคะเนในข้อนี้ไม่คิดว่าผิด แต่อย่างน้อยในเวลานี้ ไม่ใช่เจตจำนงกระบี่สายนั้นต้องการเขา แต่เป็นเขาที่ต้องการเจตจำนงกระบี่สายนั้น
เจตจำนงกระบี่สายนั้นอยู่บริเวณสุสานที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ เป็นเพราะสาเหตุบางอย่างจึงเร้นกายอยู่
เจตจำนงกระบี่สายนั้นต้องรอเขาอยู่เป็นแน่
……
……
ที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลที่แสงอัสดงมืดครึ้มอึมครึมไปหมด ท้องฟ้าที่บริเวณไกลถูกเงาสะท้อนที่น่าหวาดกลัวสายนั้นปิดบัง กลิ่นคาวโลหิตที่เลือดเย็นยิ่งกว่าของคลื่นสัตว์อสูรซึ่งเป็นราวกับมหาสมุทรสีดำบนที่ราบทุ่งหญ้าปลดปล่อยออกมาล่องลอยไปในอากาศไม่หยุดหย่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุเหล่านี้หรือไม่ ท้องฟ้าบนสุสานค่อยๆ รวมกันเป็นเมฆอึมครึมจำนวนมาก อากาศก็ค่อยๆ เย็นลงมา
ไม่มีสัญญาณใดๆ ฝนหนาวเทโครมลงมา ทำหินใหญ่ในสุสานเปียกชื้น ทาบทาสีสันของทั้งโลกให้เข้มกว่าเดิมเล็กน้อย
สวีโหย่วหรงที่ห่มหุ้มด้วยผ้ากระสอบป่านพิงอยู่ตรงมุมข้างประตูหลักของสุสาน คาดไม่ถึงว่าจะถูกฝนหนาวนี้สาดกระเซ็นใส่จนเปียก
เฉินฉางเซิงกางร่มกระดาษทองยืนอยู่ท่ามกลางฝนหนาว มองหนานเค่อที่อยู่ข้างแท่นหิน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
จู่ๆ ดวงตาของเขาพลันสว่างวาบขึ้นมา
ไม่ใช่เป็นเพราะว่าหนานเค่อปลดปล่อยแสงสว่าง ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขานึกอะไรออก แต่เป็นเพราะสายตาของเขาทะลุผ่านหนานเค่อ ตกลงไปที่บริเวณส่วนลึกของที่ราบทุ่งหญ้าอันไกลโพ้น มองเห็นรุ้งสายหนึ่ง
รุ้งสายนั้นที่จริงแล้วควรจะพูดว่าเป็นเส้นแสง เนื่องจากไม่มีสีเจ็ดสี เพียงแค่ขาวจ้าจนแสบตา
ความสว่างในตาของเขา ก็คือเงาของเส้นแสงสายนั้น
ร่มกระดาษทองในมือของเขาค่อยๆ สั่นสะท้านขึ้นมา
เส้นแสงสายนั้นเกิดขึ้นที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือห่างออกไปหลายสิบลี้
ที่ราบทุ่งหญ้าที่นั่นไม่มีฝนตก ข้างใต้หญ้าป่าและดงต้นอ้อทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยเวิ้งน้ำ ยิ่งเหมือนเป็นทะเลแห่งหนึ่ง
ที่นั่นมีหญ้าป่าต้นหนึ่ง จู่ๆ ก็แตกสลายไป
หญ้าป่าแตกสลายเป็นเสี่ยงเสี้ยว หยดน้ำเลือนมลายเป็นด่างดวง
เส้นลวดลายเหล่านั้น คล้ายกับลวดลายบนตัวกระบี่ที่เห็นได้บ่อยครั้งอย่างยิ่ง