ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 41 การปรากฏตัวของเจตจำนงกระบี่สายหนึ่ง
ความสั่นสะเทือนของผิวน้ำยิ่งมายิ่งเร็ว ลายน้ำยิ่งมายิ่งขมวดแน่น เส้นลวดลายที่กระจัดกระจายออกไปสี่ทิศค่อยๆ อัดเข้าด้วยกัน ต่างปะทะฉีกดึงทึ้งซึ่งกันและกัน สุดท้ายกลายเป็นเม็ดน้ำกลมกลิ้งจำนวนมาก ถูกสั่นสะเทือนกระเซ็นออกจากพื้นผิวน้ำ ปนอยู่กับเศษหญ้าที่แตกสลายเป็นผุยผงเหล่านั้น กลายเป็นกลุ่มก้อนหมอกสีเขียวอ่อน โปร่งใสเล็กน้อย เส้นแสงที่บริเวณห่างไกลทะลุเข้าไปข้างใน ราวกับจะมองเห็นเงาพร่าเลือนที่เบาบางอย่างยิ่งได้
เงาสายนั้นละเอียดเล็กเรียวและตรงดิ่งมาก ราวกับเส้นตรงที่ยังวาดไม่เสร็จเส้นหนึ่ง อ่อนบางอย่างยิ่ง ราวกับน้ำทะเลสาบจำนวนนับไม่ถ้วนรินรดลงไปในหมึกที่ใช้วาดเส้นสายนี้ เกิดเป็นความรู้สึกชนิดหนึ่ง เงาที่ผอมเรียวสายนี้ทั้งๆ ที่อยู่ในหมอก กลับเหมือนว่าอยู่ที่อื่น ทั้งๆ ที่อยู่ตรงหน้า กลับเหมือนว่าไม่มีอยู่จริง แม้จะมีอยู่จริงก็อยู่ที่โลกใบอื่น เพียงแค่มีวัตถุบางอย่างสะท้อนเงาอยู่ในสวนโจวเท่านั้น
หมอกไอสีเขียวกลุ่มนั้นก็คือเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างโลกความเป็นจริงและโลกอื่น ตามเหตุผลแล้ว ม่านกั้นของช่องว่างแบ่งเขตเช่นนี้น่าจะแข็งแกร่งผิดปกติ แต่แล้วในเวลาต่อมาหลังจากที่มันปรากฏขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย หมอกไอสีเขียวก็แผ่กระจายออกมา การแยกกระจายออกจากกันของมันรวดเร็วเช่นนั้น จนทำให้ช่องว่างรอบข้างตอบสนองไม่ทัน ทำให้ในที่ราบทุ่งหญ้าพลันเกิดลมไต้ฝุ่นที่น่าหวาดกลัวขึ้นหอบหนึ่ง
… สิ่งของแยกกระจายออกจากกันอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ความจริงแล้วก็คือระเบิด ใช้ภาษาที่ง่ายมาอธิบายภาพในตอนนี้ ก็น่าจะพูดว่า กลุ่มก้อนหมอกไอสีเขียวพลันระเบิดออกจากกัน เพียงแต่ว่า…การระเบิดครั้งนี้ไม่ได้เกิดเสียงใดๆ นอกจากเสียงลมหวีดหวิวที่ผ่านมาแล้วผ่านไป เงียบสงบจนแปลกประหลาดน่าหวาดกลัวไร้ใดเปรียบ
เงียบเชียบกะทันหัน ไม่ได้แปลว่านุ่มนวลอ่อนแรง ไอพลังปราณที่น่ากลัวจำนวนหลายสายและเส้นแสงไร้รูปร่างที่ยากจะจินตนาการ หายไปพร้อมกับหมอกไอสีเขียวกลุ่มนั้น กระจายออกไปรอบที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนั้น ไล่ตามและพุ่งนำลมไต้ฝุ่นที่ถูกช่องว่างดันออกจนเปลี่ยนรูปเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย และแผ่สัมผัสสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิตเหล่านั้นในที่ราบทุ่งหญ้าก่อน
ไม่ว่าจะเป็นดงต้นอ้อที่เกิดขึ้นตามป่าหรือว่าเบญจมาศย้อยที่มีเฉพาะในป่าพรุทางใต้ ดงหญ้าจำนวนมากถูกหั่นขาดละเอียดกลายเป็นฝนสีเขียวโปรยพลิ้วห่าหนึ่ง เสียงดังพึ่บพั่บกระจัดกระจายไปยังสี่ทิศ ก้อนหินในดงหญ้าก็ถูกหั่นละเอียด กลายเป็นกรวดหินที่ใหญ่ประมาณเล็บมือ ถูกลมพัดจนกระเด็นออกมาจากในน้ำของพื้นที่เปียกชื้นอย่างรวดเร็วดั่งลูกธนูแหลม โจมตีกบและปลาที่ซ่อนอยู่ในโคลนตมเหล่านั้นจนสลบ ต่อจากนั้น กบและปลาเหล่านั้นก็ล้วนแหลกละเอียดเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นครีบปลาหรือว่าเกล็ด ล้วนกลายเป็นผง พื้นดินในพื้นที่เปียกชื้นก็แตกสลายเช่นกัน ราวกับถูกชาวนาผู้โง่เขลาเป็นแต่ใช้แรงงานพลิกไปเจ็ดสิบสองตลบ ในที่สุดพื้นผิวน้ำก็แตกสลายแล้ว กลายเป็นหยดน้ำจำนวนมหาศาล อากาศก็แตกสลาย กลายเป็นสายลมที่พัดแผ่วเบาจำนวนหลายสาย
หมอกไอสีเขียวกระจายออกไป เงาที่เรียวเล็กสายนั้น ในที่สุดก็ปรากฏตัวจริงออกมา
ในพื้นที่โดยรอบของที่ราบทุ่งหญ้าสิบกว่าลี้ สรรพสิ่งทั้งหมดถูกหั่นขาดแหลกสลายไปทั้งหมด พื้นดินผืนป่าทั่วทั้งแห่ง สิ่งสรรพนับหมื่นล้วนกลายเป็นผุยผง
ตัวจริงของเงาเรียวเล็กสายนั้น ยังคงเป็นเงาสายหนึ่ง เล็กอย่างมาก มองเห็นได้ไม่ชัด ดูออกคร่าวๆ ได้แค่ว่า เป็น…กระบี่
เงาเรียวเล็กสายนี้ไม่ใช่ตัวจริงของกระบี่ แต่เป็นเงาของกระบี่ หรือจะพูดว่า นี่เป็นเจตจำนงของกระบี่สายหนึ่ง
……
……
ครั้นตอนที่เจตจำนงกระบี่ตัดสรรพสิ่งให้แหลกสลายแล้วปรากฏร่างจริงออกมา ทั่วทั้งที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล กระทั่งพูดได้ว่าทั้งสวนโจวล้วนรู้สึกถึง แรงสั่นสะเทือนที่ลึกมากสายหนึ่งส่งมาจากใต้พิภพสุสานโจว ในทะเลสีดำที่เกิดจากการรวมร่างของคลื่นสัตว์อสูร โหมเป็นคลื่นคลั่งขึ้นมาจำนวนหลายลูก นั่นเป็นปฏิกิริยาของสัตว์อสูรนับพันหมื่นที่มองไปยังเจตจำนงกระบี่สายนั้น เงาสะท้อนที่น่าหวาดกลัวสายนั้นในท้องฟ้าลดต่ำลงมาเล็กน้อย ราวกับจะปกคลุมทั้งที่ราบทุ่งหญ้า ที่หน้าประตูหลักของสุสาน หนานเค่อจู่ๆ ก็หันหลัง มองไปยังบริเวณห่างไกลของที่ราบทุ่งหญ้า ตาหรี่ลงมา สายตาที่ปกติไม่แยแสกระทั่งมีความโง่งมเล็กน้อยกลายเป็นแหลมคมอย่างไร้ที่เปรียบ แต่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรนับหมื่นพันหรือว่านาง กระทั่งเงาสะท้อนแห่งนั้นในท้องฟ้า ล้วนเห็นเพียงที่ราบป่าขนาดสิบลี้ตรงบริเวณส่วนลึกของที่ราบทุ่งหญ้าเท่านั้น กลับไม่เห็นเงากระบี่สายนั้น
เพราะว่าก่อนหน้านี้ ในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนั้นเกิดลมพัดสดชื่นขึ้นมาหอบหนึ่ง
เจตจำนงกระบี่สายนั้นเกิดขึ้นตามลม หายไปตามลม เลือนหายไร้เสียง ชั่วพริบตาไร้ร่องรอย เป็นธรรมดาที่จะไร้เงา
ไม่มีใครเฉลียวใจว่า เจตจำนงกระบี่สายนั้นลอยตามกระแสลมสดชื่น มุ่งไปในที่ราบทุ่งหญ้ามืดมน เข้าไปในหมู่เมฆอึมครึม ไม่สนหยาดฝนที่ตกลงมาจากฟ้า มาถึงหน้าสุสานของโจวตู๋ฟู จากนั้นก็เหมือนกับเกสรดอกไม้ของดอกเหมยแรกแย้มที่ตกลงบนพื้นดินผืนใหญ่ซึ่งถูกหิมะหนาปกคลุม เหมือนกับน้ำขุ่นสายแรกที่ไหลจากต้นน้ำไปในร่องแม่น้ำซึ่งแห้งแล้งมาเป็นพันปี ก็เลือนหายไปเข้าในสุสานเช่นนี้
แน่นอนว่ายิ่งไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นว่าเจตจำนงกระบี่สายนี้ไปที่ไหน
มือซ้ายของเฉินฉางเซิงถือร่มเอียงๆ ไม่ได้บังฝน แต่เป็นการป้องกันการโจมตีของหนานเค่อ ทั้งตัวถูกน้ำฝนจนเปียก
ฝนตกเร็วขึ้นเรื่อยๆ เม็ดฝนขนาดประมาณไข่มุกโจมตีปะทะส่วนหัวของร่มกระดาษทองอย่างไม่หยุดหย่อน เกิดเสียงราวกับรัวกลอง
ร่มกระดาษทองสั่นขึ้นมาเล็กน้อย แรงสั่นสะเทือนสายนั้นส่งมาตามส่วนหัวและก้านร่มแล้วส่งมาถึงด้ามจับร่ม จากนั้นก็ส่งไปในมือของเขา ในร่างกายของเขา ในใจของเขา อย่างชัดเจน
เสียงฝนค่อยๆ ดังขึ้น แท่นสูงหน้าสุสานกลับมีความเงียบสงบไร้ที่เปรียบ
หนานเค่อหันหลังมา มองเขาอย่างไร้สีหน้า ไม่รู้ทำไม รู้สึกอยู่เสมอว่าชายหนุ่มที่เปียกชื้นไปทั่วตัว มองดูแล้วน่าอนาถอย่างหาที่เปรียบมิได้ผู้นี้ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้เล็กน้อย นางไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มาจากไหน มีความเกี่ยวข้องอะไรกับการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในที่ราบทุ่งหญ้าก่อนหน้านี้ แต่นางรู้ว่า มีเรื่องบางอย่างกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลง นางไม่ยอมรับการขัดขวางใดๆ จากการเปลี่ยนแปลงที่จะห้ามมิให้ตัวเองเข้าไปในสุสานที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ ฉะนั้นนางพลันตัดสินใจจบการต่อสู้ ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะมาถึง เพียงแต่นางคงคิดไม่ถึง การเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้ว
พรึ่บ! นั่นไม่ใช่เสียงฝนรุนแรง แต่เป็นเสียงกางปีกของปีกคู่ท่ามกลางสายฝน
ปีกสีเขียวสิบกว่าจั้ง กางออกมาที่ด้านหลังของนาง แยกสายฝนออกเป็นสองสาย สะท้อนเส้นแสงที่มืดมน เม็ดน้ำเหล่านั้นเหมือนกับหยดเลือด งดงามแต่สะเทือนขวัญ
ปีกสีเขียวทำให้บนแท่นหินหน้าประตูหลักของสุสานเกิดลมคลั่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วกะทันหันไม่ทันตั้งตัว น้ำฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้าค่อยๆ โปรยเอียงแล้วจากไป ไอพลังปราณที่แข็งแกร่งสายหนึ่งสะท้อนน้ำฝนทั้งหมดกลับเข้าไปในท้องฟ้าโดยตรง หนานเค่อหายไปจากข้างแท่นหิน เวลาต่อมาก็นำพาเจตจำนงการฆ่าฟันที่ติดน้ำฝนเล็กน้อยและเย็นชาอย่างยิ่ง โจมตีมายังเฉินฉางเซิง
สายตาของเฉินฉางเซิงทะลุผ่านม่านน้ำฝนและลมหนาวเหล่านี้ พบเจอกับสายตาของสาวน้อย สิ่งที่มองเห็นนั้นมีแต่การตัดสินใจอันเย็นชาและไอสังหาร ในช่วงเวลานี้ ขนตาของเขาถูกสายลมและจิตสังหารอันเหน็บหนาวแช่แข็งจนไม่สั่นอีก การโจมตีด้วยพลังที่น่าหวาดกลัวขององค์หญิงเล็กเผ่ามารคราหนึ่ง ไม่คาดว่าจะทำให้เขาเกิดความคิดว่าไม่สามารถต้านทานได้
แม้จะคิดเช่นนั้น กลับทำเช่นนี้ไม่ได้ เนื่องจากเขาต้องมีชีวิตรอดต่อไป ฉะนั้นเขาจึงกำกระบี่สั้น ตัดไปที่น้ำฝนและลมหนาวที่อยู่ตรงหน้า แต่แล้ว ในชั่วขณะที่วาดกระบี่สั้นออกมา เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติที่มากมายอย่างยิ่ง จนกระทั่งทำให้แขนของเขาแข็งทื่อขึ้นมา
กระบี่นี้จะสามารถต้านทานการโจมตีครั้งเดียวทั้งพลังได้หรือไม่ เขาไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองใดๆ
แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เขารู้สึกว่ากระบี่สั้นในมือของเขา…เหมือนจะมีความมั่นใจในตัวเองมาก
กระบี่ แทงไปยังลมหนาวและฝนเย็นแห่งนั้น
ลมหนาวกระจายไปอย่างรวดเร็ว ฝนเย็นหยุดกะทันหัน
เพียงแต่ในชั่วขณะหนึ่ง กระบี่แหลมสลายลมฝนห่านี้ มาถึงตรงหน้าหว่างคิ้วของหนานเค่อ
กระบี่นี้ ท่าทีกระบี่ไม่แน่วแน่ หัวใจกระบี่นั้นไม่สงบ ยิ่งเรียกไม่ได้ว่าเป็นเพลงกระบี่
แต่เจตจำนงกระบี่ แข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ