ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 42 กระบี่ที่สองที่กระโดดโลดเต้น
กระบี่นี้เรียกไม่ได้ว่าเป็นเพลงกระบี่จริงๆ กระบวนท่ากระบี่ก็ไม่แน่วแน่เช่นกัน หัวใจกระบี่นั้นยิ่งย่ำแย่ เพราะว่าเพิ่งจะออกกระบี่ เฉินฉางเซิงก็สังเกตเห็นความผิดปกติ จู่ๆ พลันอ้างว้าง
การเปลี่ยนแปลงแบบไหน ถึงได้ทำให้ผู้ซึ่งหนักแน่นเติบโตเป็นผู้ใหญ่รวดเร็วอย่างเขาก็ยากที่จะรักษาสภาพจิตใจเอาไว้ได้?…ในชั่วขณะที่ออกกระบี่ เขาจู่ๆ สังเกตเห็นว่ากระบี่สั้นที่ติดตามข้างกายเขามาเป็นเวลายาวนาน ไม่เป็นของตัวเองอีกต่อไป เริ่มดำเนินการด้วยตัวมันเอง! กระบี่สั้นตัดทะลุลมฝน ตัดไปที่หนานเค่อที่อยู่หลังม่านฝน ดูเหมือนจะเป็นท่ากระบี่ที่เกิดจากการควบคุมโดยเขา แต่ความจริงแล้ว นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา ในความคิดแรกสุดของเขา เผชิญหน้ากับการโจมตีครั้งหนึ่งที่เต็มพลังของหนานเค่อ เขาเตรียมที่จะใช้กระบี่ที่มีพลังมากที่สุดในกระบี่เที่ยงแท้นิกายหลวง แต่แล้ว…
กระบี่สั้นไม่ได้ฟังความตั้งใจของเขา แม้จะแสดงออกว่าเป็นวิชากระบี่กระบวนท่านั้น แต่กลับเป็นการแทงไปโดยตรงอย่างนี้
การแทงนี้ แทงส่งๆ ไปอย่างไม่ผ่านการพินิจอย่างรอบคอบ ถ้าการต่อสู้สนามนี้มีผู้ชม เห็นเฉินฉางเซิงออกท่ากระบี่หนึ่งกระบวนท่าเช่นนี้ ต้องคิดว่าเขารนหาที่ตายอย่างแน่นอน
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ในร่างกายของเขามีพลังสายหนึ่ง ไม่ ไม่ใช่พลัง และก็ไม่ใช่ไอพลังปราณ แต่เป็นความรู้สึกที่ยากที่จะใช้ภาษาไปพรรณนา ให้เขากำกระบี่สั้นแล้วก็แทงไปยังทิศทางของลมฝนตรงๆ ท่าทางของเขาล้วนทำตามความรู้สึกเหล่านั้น กำลังติดตามความรู้สึกชนิดนั้น ท่าทางทั้งหมดเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
กระบี่ที่แทงทะลุลมหนาวฝนเย็นนี้ไม่ตรงดั่งพู่กัน เส้นทางที่ปลายแหลมกระบี่เดินทางนั้นบิดๆ เบี้ยวๆ มองดูแล้วเหมือนกับเด็กที่เพิ่งเขียนหนังสือเป็นหลงเหลือร่องรอยเอาไว้บนกระดาษอย่างไม่ตั้งใจ มองไม่ออกว่าเป็นกระบวนท่าอย่างสิ้นเชิง และก็ไม่ได้แฝงความหมายนัยยะอะไร แต่ความรู้สึกชนิดนั้นกลับแตะโดนบริเวณที่ลึกที่สุดในใจของเขา ทำให้เขาสัมผัสรับรู้ได้สมจริงอย่างหาที่เปรียบมิได้
ก็เหมือนกับกระบวนท่ากระบี่ ความรู้สึกชนิดนั้นเป็นความตื่นเต้นของการออกจากเหวลึก ความลิงโลดที่ได้พบเจอท้องฟ้า เป็นการเต้นระบำสนุกสนาน เป็นการกระโดดโลดเต้นชนิดที่ไม่อาจหยุดยั้ง
ไม่รู้ทำไม พิศวงยากแก่การเข้าใจ กระบี่สั้นเล่มนี้ ตื่นเต้นดีใจจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว
กระบี่เช่นนี้ จะแทงทะลุลมหนาวฝนเย็นแห่งนี้ได้อย่างไร จะต้านทานการโจมตีหนึ่งครั้งเต็มพลังของหนานเค่อโดยตรงได้อย่างไร จะชนะองค์หญิงเผ่ามารที่แข็งแกร่งจนน่ากลัวผู้นี้ได้อย่างไร?
แต่ก็เป็นเพียงชั่วขณะ กระบี่สั้นแทงออกไปอย่างบิดๆ เบี้ยวๆ แทงทะลุลมฝนที่อยู่ข้างหน้าเขาได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็แทงไปถึงข้างหน้าของหนานเค่อ
บนแท่นหินข้างหน้าประตูหลักของสุสาน เกิดเสียงสวบเบามากเสียงหนึ่ง ราวกับมีสิ่งของบางอย่างถูกแทงขาด
ต่อจากนั้นก็เกิดเสียงร้องสะเทือนดังตึงเสียงหนึ่ง ราวกับระฆังใหญ่ใบหนึ่งถูกผู้มีพละกำลังอุ้มไม้ท่อนใหญ่กระทุ้งให้ดัง
เกิดแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงสายหนึ่ง อากาศสั่นไหวไหลไปทั่วจตุรทิศ พัดฝุ่นละอองที่หลงเหลืออยู่ในร่องและฝนหิมะจำนวนมากขึ้นมา
ระหว่างฝุ่นละอองและฝนหิมะ เกิดเสียงผิวปากของหนานเค่อที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด! เหมือนกับสนามต่อสู้ที่ยอดเขาอัสดงสนามนั้น เสียงผิวปากของนางยังคงชัดเจน แต่เทียบกับของคืนนั้นแล้ว เสียงผิวปากของนางในตอนนี้ไม่หนักแน่น แข็งแกร่ง มีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างนั้นอีก แต่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไม่เข้าใจ และตกตะลึง
ไอพลังปราณที่เต็มไปด้วยพลัง สั่นสะเทือนฝุ่นละอองและฝนหิมะจากบนแท่นหินลงไปใต้แท่นในชั่วพริบตา สว่างชัดแจ้งไปถ้วนทั่ว
หนานเค่อถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว สองเท้าตกอยู่บนเส้นแบ่งเขตระหว่างแท่นหินและถนนเสิน เกิดเสียงเปรี๊ยะที่หนักหน่วงเสียงหนึ่ง ร่องรอยแตกจำนวนหนึ่งเกิดขึ้นบนหินเขียวแห่งนั้น
ขนสีเขียวที่ยาวครึ่งฉื่อเส้นหนึ่ง เต็มไปด้วยความรู้สึกที่งดงามเย้ายวน ตกลงมาอย่างช้าๆ บนแท่นหิน
ใบหน้าเล็กของหนานเค่อขาวซีด สายตาที่มองเฉินฉางเซิงเต็มไปด้วยเปลวไฟที่ลุกโชนด้วยกระแสโทสะและความอ้างว้างที่แปลกประหลาดเล็กน้อย จากนั้นสักพัก นางก็เก็บสายตากลับมา มองไปยังจุดจุดหนึ่งของปีกซ้ายสีเขียวหม่นของตัวเอง เห็นเพียงตรงนั้นมีรอยบาดแผลรอยหนึ่งเกิดขึ้น เลือดกำลังไหลอย่างช้าๆ แสงที่มืดมนเล็กน้อยส่องมาจากขอบฟ้าอันไกลโพ้น ทะลุเข้ามาจากตรงนั้น
หน้าประตูหลักของสุสานเงียบสงบไร้สุ้มเสียง
น่าจะเป็นเพราะว่าความเจ็บปวดในเสียงผิวปากที่ชัดเจนของนาง สวีโหย่วหรงก็ตื่นขึ้นมาเช่นกัน เห็นภาพตรงหน้าภาพนี้ก็ชะงักเล็กน้อยอย่างไร้คำพูด หนานเค่อมองไปยังเฉินฉางเซิงอีกครั้ง สายตาตกลงไปที่กระบี่สั้นที่กำอยู่ในมือซ้ายของเขา นัยน์ตาหดเล็กน้อย นางไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดกระบี่สั้นถึงแหลมคมปานนี้? นี่เป็นวิชากระบี่อะไร? ทำไมเจตจำนงกระบี่ถึงกลายเป็นแข็งแกร่งเช่นนี้?
เฉินฉางเซิงก็มองดูกระบี่สั้นในมืออยู่เช่นกัน สีหน้าก็มีความอ้างว้างเล็กน้อย เขาใช้เวลากับกระบี่สั้นที่ศิษย์พี่มอบให้เขาเล่มนี้ทั้งวันทั้งคืนมาเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้ว แต่ทำไมกระบี่เล่มนี้ในตอนนี้กลับให้ความรู้สึกที่ห่างเหินกับเขาเล็กน้อย? เขารู้ว่ากระบี่สั้นเล่มนี้มีระดับความแหลมคมที่ไม่แพ้เหล่าศาสตราเทพในอันดับร้อยศาสตรา แต่ทำไมกระบี่สั้นเล่มนี้ถึงมีเจตจำนงกระบี่ที่แข็งแกร่งเช่นนี้?
ใช่ เวลานี้เขามั่นใจแล้ว ความรู้สึกที่รุนแรงสายนั้นในก่อนหน้านี้ก็คือเจตจำนงกระบี่ กระบี่สั้นคล้อยตามความรู้สึกชนิดนั้น ตามหาความรู้สึกชนิดนั้น มองเห็นว่าเอนเอียงไม่น่าดู ความจริงแล้วกลับเป็นธรรมชาติอย่างหาที่เปรียบมิได้ ราวกับเดินอยู่บนเมฆ ไหลอยู่ในน้ำ ความรู้สึกเช่นนี้แน่นอนว่าเป็นเจตจำนงกระบี่ และก็เป็นได้แค่เจตจำนงกระบี่
เพียงแต่ว่าเจตจำนงกระบี่นี้…ไม่ได้เป็นของเขาเอง เนื่องจากเขาในตอนนี้ แม้จะเข้าใจหัวใจกระบี่จนทะลุปรุโปร่ง ระดับขั้นยังคงไม่เพียงพอจะหล่อเลี้ยงฝึกฝนเจตจำนงกระบี่ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เจตจำนงกระบี่นี้จริงๆ แล้วมาจากไหน? ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะตัวกระบี่สั้นเองมีเจตจำนงกระบี่ เช่นนั้นมันเข้ามาอยู่ในร่างกายของตนเองตั้งแต่เมื่อไหร่?
ข้อนิ้วมือที่เขากำด้ามจับกระบี่สั้นขาวขึ้นมาเล็กน้อย คิดด้วยอารมณ์ที่อ้างว้างและสะเทือนใจ หรือว่าเจตจำนงกระบี่สายนี้ก็คือเจตจำนงกระบี่สายนั้นที่ร่มกระดาษทองตามหามาตลอด? ก็คือเจตจำนงกระบี่สายนั้นที่นำพาตัวเองทะลุผ่านที่ราบทุ่งหญ้าที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตามาถึงสุสานโจว? เจตจำนงกระบี่สายนี้ไม่ใช่ว่าหายไปแล้วหรือ? มาตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วทำไมถึงมา?
เขาเข้าใจเจตจำนงกระบี่สายนี้มากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงคิดมากว่า หนานเค่อไม่จำเป็นต้องคิดเยอะขนาดนั้น จึงคืนสติเร็วกว่าเขา ความสะเทือนจิตใจและความโมโหในสายตาก็หายไปทั้งหมด ฟื้นฟูความไม่แยแสและว่างเปล่าในก่อนหน้านี้ โจมตีมาที่เขาอีกครั้งอย่างไม่ลังเล นางพอจะเดาอะไรได้บางอย่าง เตรียมจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นถูกหรือไม่ผ่านการต่อสู้
ส่วนในเรื่องที่จะบาดเจ็บหรือไม่ นี่ไม่เคยเป็นเรื่องที่นางสนใจ
ฝนหนาวตกลงมาอีกสาย ปีกคู่ที่ยาวสิบกว่าจั้งพัดลมไต้ฝุ่นขึ้นมา ลมคลั่งโหมขึ้นมาอีกครั้ง เปลี่ยนเม็ดฝนกลายเป็นหินกรวด โจมตีไปบนใบหน้าและร่างของเฉินฉางเซิง
หนึ่งเสียงนกยูงร้อง
หนึ่งเสียงพึ่บพั่บ
หนานเค่อปรากฏที่ข้างหน้าเขาอีกครั้ง มือขวาถือกระบี่ไขว้ทักษิณดาริกา ตัดไปที่หว่างคิ้วของเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่นางออกกระบี่ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เฉินฉางเซิงในสายตาของนางเวลานี้ ในที่สุดก็กลายเป็นคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันกับสวีโหย่วหรง
ถ้าเป็นเวลาปกติ ถ้าเป็นเวลานี้ในสองสามวันก่อน ถ้าเป็นช่วงเวลาชั่วครู่ก่อนหน้านี้ เฉินฉางเซิงยากที่จะรับกระบี่นี้ไว้ แม้เขาจะเข้าใจหัวใจกระบี่ทะลุปรุโปร่ง เจตจำนงกระบี่ไร้ห้วง แต่เจตจำนงกระบี่ของเขา เทียบกับเจตจำนงกระบี่น่าหวาดกลัวที่แฝงอยู่ในกระบี่ไขว้ทักษิณดาริกาของหนานเค่อ ต้องอ่อนแอกว่าไม่น้อย แต่เวลานี้ เขาล้วนคิดก็ไม่คิด พลันวาดกระบี่ออกมา
ความจริงแล้ว เดิมก็ไม่ต้องให้เขาคิด
ความรู้สึกชนิดนั้นปรากฏอยู่ในใจเขาอีกครั้ง กระบี่ในมือของเขาวาดออกมาตามความรู้สึกนั้นโดยสิ้นเชิง
มองดูแล้วเหมือนจงใจมองข้าม ความจริงแล้วกลับยอดเยี่ยมอย่างพูดไม่ถูก
เสียงระเบิดดังสนั่นเสียงหนึ่งที่หน้าประตูหลักของสุสาน บนพื้นดินหินเขียวเกิดรอยลึกหลายเส้น
กระบี่ไขว้ทักษิณของหนานเค่อ ยังไม่ทันได้แสดงพลังทั้งหมดออกมาโดยสิ้นเชิง ก็ถูกกระบี่สั้นในมือของเขาสลายทิ้ง
แสงกระบี่สายหนึ่ง เปล่งออกมาจากปลายแหลมคมของกระบี่ ยาวประมาณสามจั้ง ราวกับจะส่องสว่างสุสานทั่วทั้งแห่ง
ปีกสีเขียวพับกลับอย่างรวดเร็ว ปกป้องอยู่เบื้องหน้าของหนานเค่อ ตามมาด้วยเสียงที่เจ็บปวดเสียงหนึ่ง นางถอยไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง สองเท้าตกลงบนขอบข้างแท่นหิน หินเขียวในบริเวณนั้นถูกเหยียบเป็นรอยร้าวเส้นหนึ่งอีกครั้ง
แต่แล้วนี่ยังไม่พอ
ความแหลมคมอย่างยิ่งสายนั้นทะลุปีกคู่ของนางโดยตรง แทงไปที่หว่างคิ้วของนาง
ปีกคู่ปัดฝน หนานเค่อลอยขึ้น ตกลงบนถนนเสิน
แต่นี่ยังคงไม่พอ
นางกระโดดขึ้นมาอีกครั้ง ถอยไปบนอากาศท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายอยู่ด้านหลัง
ยังคงไม่พอ
นางจำเป็นต้องถอยไปอีก ถอยแล้วถอยอีก
ได้ยินเพียงเสียงแตกของหินเขียวถี่กระชั้น
สองเท้าของนางราวกับคันไถ ลากร่องรอยยาวเหยียดสองสายที่ชัดเจนไปบนหินเขียวที่แข็งแกร่ง จนกระทั่งถอยออกไปหลายร้อยลี้ ถึงจะหยัดเท้าได้!
เงียบสงบไปทั่ว
เมฆอึมครึมในท้องฟ้าปล่อยฝนหนาวอย่างต่อเนื่อง สุสานโจวทั่วทั้งแห่งล้วนถูกปกคลุมอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นแท่นหินหรือว่าถนนเสินล้วนเปียกไปหมด
เสียงของฝนตกราวกับอันตรธาน
โลหิตสดสายหนึ่งค่อยๆ ไหลลงมาจากริมฝีปากของหนานเค่อ จากนั้นก็ถูกฝนหนาวที่ยิ่งมายิ่งแรงชะล้างอย่างรวดเร็ว
เฉินฉางเซิงมองกระบี่สั้นในมือของเขา รับรู้สึกถึงเจตจำนงกระบี่ที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานชนิดนั้น ไม่รู้ว่าควรมีความคิดแบบใด
ความจริงแล้ว เจตจำนงกระบี่สายนั้นไม่ได้อยู่ในร่มกระดาษทอง และก็ไม่ได้อยู่ในกระบี่สั้นเช่นกัน แต่อยู่ในร่างกายของเขา
เพราะว่าคนที่เจตจำนงกระบี่อยากจะช่วยก็คือเขา
เขาเงยหน้าขึ้น เดินไปบนเส้นแบ่งเขตระหว่างแท่นหินและถนนเสิน มองไปยังหนานเค่อที่อยู่ท่ามกลางฝนที่นอกร้อยจั้ง พูดว่า “ตอนนี้ เหมือนข้าจะสามารถชนะเจ้าได้แล้ว”
น้ำฝนไหลอยู่บนใบหน้าเล็กที่ขาวซีดของหนานเค่อ ไหลตามผมสีดำที่ชุ่มโชกแล้วหยดลงมา มองดูเหมือนมีความน่าสงสารเล็กน้อย แต่สีหน้าของนางยังคงเย็นชาทะนงตัวอย่างนั้น ปรายตามองลงข้างล่างโดยที่ไม่มองให้ชัดว่าเพิ่งจะแพ้ไปสองกระบี่ติดต่อกัน ไม่มีโอกาสในการโจมตีกลับใดๆ เสียงก็น่าสงสารเช่นกัน “นี่ไม่ใช่เจตจำนงกระบี่ของเจ้าโดยสิ้นเชิง”
เฉินฉางเซิงเงียบสงบสักพัก ถามว่า “แล้ว?”
หนานเค่อพูดด้วยไร้สีหน้าว่า “แม้ข้าจะแพ้แล้ว แต่ก็แพ้ที่เจตจำนงกระบี่สายนั้นในมือ เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
ใช่ เจตจำนงกระบี่สายนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นของเฉินฉางเซิง ไม่ว่าจะเป็นนางที่ต่อสู้กับเฉินฉางเซิง หรือว่าพลทหารเผ่ามารที่แข็งแกร่งคู่นั้น หรือผู้เฒ่าดีดพิณท่านนั้นที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านล่างของถนนเสิน หรือว่าจะเป็นสวีโหย่วหรงที่เพิ่งจะลืมตามองเห็นภาพฉากนี้ ล้วนรู้แจ้งเห็นชัดจุดนี้มาก
เจตจำนงกระบี่สายนั้นแหลมคมเกินไป ไม่เข้ากับการบำเพ็ญเพียรของเฉินฉางเซิงโดยสิ้นเชิง ที่สำคัญคือเจตจำนงกระบี่สายนี้แข็งแกร่งเกินไป ความแข็งแกร่งเช่นนี้ที่กระทั่งเติมเต็มความแตกต่างของจำนวนปราณแท้ได้ ไม่ใช้เวลาไม่สามารถฝึกฝนออกมาได้ คิดอยากจะฝึกฝนหล่อเลี้ยงเจตจำนงกระบี่ออกมาให้ได้เช่นนี้ อย่างน้อยต้องการการค้นหาเส้นทางกระบี่หลายร้อยปี เขาเพิ่งจะสิบห้าปี แม้จะเก่งกาจเป็นสุดยอดปราชญ์เมธีในแขนงกระบี่แค่ไหน ล้วนไม่สามารถทำถึงจุดนี้ได้!
ไม่มีใครสามารถทำได้ เผ่ามารก็ไม่สามารถ
“ใช่ นี่ไม่ใช่เจตจำนงกระบี่ของข้า” เฉินฉางเซิงมองไปยังที่ราบทุ่งหญ้าที่ไร้ขอบเขตแห่งนั้นซึ่งอยู่ด้านหลังของคลื่นสัตว์อสูรที่ราวกับทะเลสีดำด้านล่างสุสาน จากนั้นก็มองไปยังหนานเค่อพลางพูดว่า “แต่เจตจำนงกระบี่สายนี้มาหาข้า ยอมที่จะให้ข้าใช้ ก็แปลว่าข้ามีสิทธิ์ที่จะครอบครองมัน ฉะนั้นมัน…ก็คือเจตจำนงกระบี่ของข้า”
หนานเค่อถามว่า “เจตจำนงกระบี่สายนี้…แท้จริงแล้วมาจากไหน?”
เฉินฉางเซิงมองดวงตาของนาง พูดด้วยความซื่อสัตย์ว่า “เจ้าน่าจะเดาได้”
บริเวณรอบสุสาน บนล่างถนนเสิน เงียบสงัดไปทั่ว เนื่องจากความสะเทือนใจ
แม้จะเหมือนที่เฉินฉางเซิงพูด หนานเค่อเดาความจริงของเรื่องได้แล้ว กลับยังคงไม่สามารถเชื่อได้ ไม่ยอมอย่างยิ่ง
สายฝนรุนแรงราวกับเทลงมาชุ่มโชก เย็นเยียบเสียดกระดูก น้ำเสียงของนางกลับมีความแหบพร่าเล็กน้อย “สระกระบี่หรือ?”