ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 45 กระบี่โด่งดังโดดเด่น
สิ่งที่เส้นทางกระบี่ฝึกบำเพ็ญเพียรนั่นแน่นอนว่าเป็นกระบี่ แน่นอนว่ากระบี่นั้นสำคัญ เพียงแต่…มีความสำคัญขนาดนั้นหรือ? นอกจากกระทบกับพลังต่อสู้แล้ว หรือว่ายังจะวกกลับมารบกวนระดับขั้นการบำเพ็ญเพียรของผู้ใช้กระบี่ได้?
กระบี่เล่มนั้นที่อยู่ในมือของซูหลีในตอนนี้ มาจากร้านตีเหล็กในเมืองเล็กร้านนั้นที่ใต้เขาหลีซาน หลอมกระบี่ด้วยมือของหลัวต้าเกินช่างตีเหล็กที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในร้านตีเหล็ก ราคาถูก ใช้เวลาครึ่งวัน ติดตามเขามาเป็นเวลายี่สิบกว่าปีแล้ว ถือกระบี่ยาวธรรมดาที่มองอย่างไรก็ล้วนเรียกว่าเป็นศาสตราเทพไม่ได้นี้ เขายังคงเป็นคนอันดับหนึ่งในเส้นทางกระบี่ของโลก ไม่ว่าใครขวางหน้าปลายแหลมคมของกระบี่ย่อมต้องหลีกลี้แตกกระเจิง ก่อนหน้านี้ไม่นานก็เพิ่งจะสังหารทหารเผ่ามารไปผู้หนึ่ง
และก็เป็นเพราะว่ากระบี่เล่มธรรมดานี้ของเขา ทัศนคติสูงสุดสู่สามัญที่พรรคกระบี่หลีซานมีต่อกระบี่นั้นกลายมาเป็นธรรมเนียมการปฏิบัติ เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพรวมถึงศิษย์วัยเยาว์คนอื่นก็เกิดความเลื่อมใสต่อบรรพชนปู่เล็กคนนี้ ต่างพากันเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ทั้งๆ ที่ชิวซานจวินมีกระบี่เกล็ดมังกรที่มีชื่อเสียงเล่มหนึ่ง แต่ในการเดินทางในแดนต้าลู่กระทั่งในการต่อสู้แย่งชิงกุญแจสวนโจวกับผู้แข็งแกร่งเผ่ามาร เขากลับยอมใช้แค่กระบี่ยาวธรรมดาเล่มหนึ่ง กระบี่เล่มนั้นมาจากเมืองเล็กเมืองนั้นที่ใต้เขาหลีซานเช่นกัน มาจากร้านตีเหล็กร้านนั้นเช่นกัน ใช้เงินไปจำนวนเท่านั้นเช่นกัน กวนเฟยไป๋ก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน แต่นี่ไม่ได้กระทบตำแหน่งผู้แข็งแกร่งรุ่นวัยเยาว์ของชิวซานจวินและกวนเฟยไป๋ มือถือกระบี่โลหะครามธรรมดา ก็เป็นคนในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพเช่นกัน
“คนที่โง่หน่อยอาจจะไม่เข้าใจจุดนี้” คนชุดดำปัดเศษหิมะสองสามแผ่นบนถาดเหลี่ยมทิ้งเบาๆ มองซูหลีพลางพูดอย่างสงบว่า “แต่ข้าเข้าใจ เพียงแค่เจ้าหากระบี่เล่มนั้นไม่เจอ ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นสารทพิฆาตเล่มนั้นในสำนักต้นไหว หรือว่ากระบี่ไร้ค่าในร้านตีเหล็กที่อยู่ในมือเจ้าเล่มนั้น สำหรับเจ้าแล้วไม่มีความแตกต่างใดๆ”
“ใช่” ซูหลีเงียบขรึมสักพัก พูดว่า “ข้าขาดกระบี่เล่มหนึ่งจริงๆ และข้าก็ตามหากระบี่เล่มนั้นมาตลอด”
หลายปีก่อน เขาถูกอาจารย์พารอนแรมจากชนบทบ้านเก่ามายังเขาหลีซาน เดินผ่านถนนภูเขาที่ยาวกว่าสิบลี้ เข้าประตูสำนัก กลายเป็นลูกศิษย์สายในของพรรคกระบี่หลีซาน เขาใช้เวลาสั้นมากในการเรียนรู้ตำรารวบรวมเคล็ดลับวิชาเพลงกระบี่แห่งเขาหลีซาน พรสวรรค์บนเส้นทางกระบี่ค่อยๆ แสดงออกมา ได้รับความรักใคร่ของศิษย์พี่ชายพี่สาวทุกคนรวมถึงความเกรงกลัวของเหล่าศิษย์หลาน แต่เขาไม่มีกระบี่เป็นของตัวเองมาตลอด
ตอนที่โถงยอดกระบี่ศิลาแดงแบ่งกระบี่ เขาไม่ได้เลือก เวลาที่ซ้อมกระบี่ของทุกวัน ตอนที่ฝึกกระบวนท่ากับเหล่าศิษย์พี่ชาย สิ่งที่เขาใช้นั้นล้วนเป็นกระบี่ไม้
เหล่าศิษย์พี่ชายถามเขาทำไมถึงไม่เลือกกระบี่ เขาบอกว่าตัวเองไม่ชอบกระบี่เหล่านั้นในโถงกระบี่ ความจริงแล้วในใจของเขายังมีอีกประโยคหนึ่ง…กระบี่เหล่านั้นก็ไม่ชอบเขาเช่นกัน ล้วนหลบซ่อนตัวจากเขา
วันเวลาผ่านไปหนึ่งปีเต็มๆ อาจารย์ของเขาเป็นหัวหน้าพรรคของพรรคกระบี่หลีซาน ผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานในเส้นทางกระบี่ที่ทั้งต้าลู่ยอมรับ แต่เขาไม่ได้ยินว่าอาจารย์พูดอะไรบ้างโดยสิ้นเชิง เพียงแต่มองกระบี่เล่มนั้นที่ห้อยอยู่บนกำแพงด้านหลังของอาจารย์
ปลอกกระบี่ของกระบี่เล่มนั้นเป็นสีดำ ไม่รู้ว่าเป็นวัสดุอะไร กระบี่อยู่ในปลอก ก็มองไม่เห็นหน้าตาที่แท้จริงเช่นกัน แต่ไม่รู้ทำไม เขามองกระบี่เล่มนั้นก็รู้สึกชอบ รู้สึกดีใจ ก็อยากมือเต้นเท้าย่ำ อยากจะเอามา กอดอยู่ในอก กอดตอนนอน แม้กระทั่งตอนอาบน้ำ สิ่งที่ทำให้เขาดีใจไปกว่านั้นคือ กระบี่เล่มนั้นส่งเสียงร้องที่ไพเราะและนุ่มนวลออกมาในปลอก ราวกับกำลังตอบรับความชื่นชอบของเขา ในขณะเดียวกันก็แสดงความเป็นมิตรของตัวเอง
ซูหลีในตอนนั้นแน่นอนว่าไม่รู้ กระบี่เล่มนั้นก็คือกระบี่พกของหัวหน้าพรรคของพรรคกระบี่เขาหลีซาน นามกระบี่โด่งดังบังฟ้าที่จัดอันดับอยู่ในสิบอันดับแรกของอันดับร้อยศาสตรา
หัวหน้าพรรคของพรรคกระบี่หลีซานมีความสงสัยเล็กน้อย กระบี่ของเขานั้นเป็นกระบี่ดุร้ายกระหายโลหิตเล่มหนึ่ง แหลมคมอย่างยิ่ง เย็นชาถึงที่สุด สามารถตัดความสัมพันธ์มากที่สุด ทำไมวันนี้กลับเกิดเสียงที่นุ่มนวลขนาดนี้ ทำไมถึงได้อ่อนโยนขนาดนี้ต่อเด็กหนุ่มคนนี้? นี่มันหมายถึงอะไร? จากนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา เพราะว่าซูหลีเป็นศิษย์คนเดียวของเขา กระบี่เล่มนี้ในอนาคตต้องสืบทอดต่อไปอย่างสมเหตุสมผล ตอนนี้ดูๆ แล้ว คนกระบี่มองดูซึ่งกันและกันโดยไม่เกลียดชัง ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งจริงๆ
และในวันนั้น ซูหลีได้รับคำมั่นว่าในอนาคตอาจารย์จะส่งต่อกระบี่เล่มนี้ให้กับตัวเอง นี่ทำให้เขาดีใจมาก จนทำให้ตอนที่อาจารย์จะทำโทษตีก้นเขาเนื่องจากเขาทำผิดกฎของพรรคสามสิบเจ็ดครั้งในหนึ่งปี ให้เขาคัดรายนามกระบี่ห้าร้อยจบ เขาไม่โต้เถียงอย่างน่าเหลือเชื่อ
ต่อจากนั้นอีก…อาจารย์ของเขาเข้ามาในสวนโจว จากนั้น ก็ไม่มีต่อจากนั้นอีก อาจารย์ของเขา ไม่ได้กลับมาอีก กระบี่เล่มนั้นก็ไม่เคยกลับมาอีกเช่นกัน ซูหลีร้องไห้บนยอดเขาหลีซานเป็นเวลาสามวันสามคืน จากนั้นก็โง่งมไปเจ็ดวันเจ็ดคืน ถึงจะฟื้นสติกลับมา กลับเข้าสู่การบำเพ็ญเพียรเส้นทางกระบี่ใหม่อีกครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้ศิษย์พี่ชายพี่สาวของเขาสังเกตได้ว่า บริเวณเอวของเขามีกระบี่เพิ่มขึ้นมาเล่มหนึ่ง
กระบี่เล่มนั้นมาจากเมืองเล็กที่ใต้เขาหลีซาน มาจากร้านตีเหล็กที่ไม่เข้าตาร้านนั้น มาจากมือของช่างตีเหล็กที่ไม่มีชื่อเสียงใดๆ ในตอนนั้น และก็คือปู่ของช่างตีเหล็กหลัวต้าเกินท่านนั้น
……
……
วสันต์ผันผ่านเดือนสารทย่ำเยือน เดือนปีผ่านไป เส้นทางกระบี่ของซูหลีเพิ่งสำเร็จใหม่ๆ ลงจากเขาหลีซานเพื่อมุ่งมายังสวนโจว
หลายสิบปีในเวลาต่อมา เขาจะเข้าสวนโจวครั้งหนึ่งทุกสิบปี แน่นอนนี่ก็หมายความว่าในหลายสิบปีที่ผ่านมานั้น อำนาจในการควบคุมของสวนโจวแต่ไหนแต่ไรล้วนอยู่ในมือของเผ่ามนุษย์มาตลอด เผ่ามารไม่สามารถแตะต้อง ที่เป็นเช่นนี้ ก็เป็นเพราะว่าเขาจะเข้าสวนโจว ใครจะแย่งชิงกุญแจสวนโจวไปจากใต้กระบี่ของเขาได้?
การเข้าสู่สวนโจวนั้นเขามีสองเป้าหมาย ก่อนอื่นเขาต้องการยืนยันความเป็นตายของโจวตู๋ฟู ถ้าผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งใต้ท้องฟ้าดวงดาวท่านนั้นตายไปแล้ว ก็แน่นอนว่าจบสิ้นทุกอย่าง ถ้าฝ่ายตรงข้ามยังมีชีวิตอยู่ เขาอยากจะรู้ว่าระยะห่างระหว่างเขาและฝ่ายตรงข้ามจริงๆ แล้วห่างกันแค่ไหน ตัวเองที่อยู่ในระดับทะลวงอเวจีขั้นปลายยังต้องการเวลาอีกนานเท่าใดถึงจะสามารถเอาชนะคนผู้นี้ได้
รองลงมา เขาอยากจะตามหากระบี่เล่มนั้นที่หายสาบสูญไปในสวนโจว ท้องฟ้าดวงดาวอาจจะไม่เคยทำให้คนผิดหวัง หรืออาจเป็นเพราะกระบี่บังฟ้าเล่มนั้นรู้สึกถึงความคะนึงหาของเขา ในครั้งสุดท้ายที่เขาเข้าสวนโจวมา ไม่คิดว่าซูหลีอยู่ในป่าไม้ที่ข้างแม่น้ำลำคลองนั้น สังเกตเห็นมัน ในเวลาเดียวกันกระบี่เล่มนี้ก็กลายเป็นเล่มแรกและเล่มเดียวที่ถูกคนหาเจอตั้งแต่เปิดสวนโจวมา
แต่แล้ว เจตจำนงกระบี่ของกระบี่เล่มนั้นก็หายไปจนหมด หลงเหลือแค่ตัวกระบี่ แม้วัสดุของกระบี่เล่มนี้ยังคงเป็นวัตถุล้ำค่าหายากบนโลก แต่กลับไม่ใช่กระบี่เล่มนั้นในตอนนั้นอีกต่อไปแล้ว
กระบี่ดุจดังเดิม เพียงแต่ไม่โดดเด่นสง่าผ่าเผยเช่นนั้นอีก
ซูหลีเงียบขรึมไปเป็นเวลานานที่ข้างแม่น้ำลำคลองสายนั้น ในที่สุดถึงได้ยอมรับความจริงนี้
กระบี่ยังอยู่ เจตจำนงกระบี่ไม่อยู่แล้ว ที่จริงแล้วอาจารย์…ไม่อยู่แล้วจริงๆ
ซูหลีพกกระบี่ที่สูญสิ้นจิตวิญญาณไปแล้วเล่มนั้น จากไปจากสวนโจว มุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลถังที่เวิ่นสุ่ย หาท่านผู้เฒ่าแซ่ถังที่นานๆ ทีจะยอมออกมือเอง หวังว่าเขาจะสามารถคิดหาวิธีชุบชีวิตกระบี่เล่มนี้กลับมา แต่ฐานะท่านผู้เฒ่าแซ่ถังเป็นเช่นไร จะไปสนใจการร้องขอของศิษย์ยุคที่สองของพรรคกระบี่หลีซานที่ใกล้จะโง่งมคนหนึ่งได้อย่างไร สนก็ไม่สน ซูหลีทำแค่เรื่องเดียว เขายื่นอยู่บนเขื่อนศิลาที่ส่วนลึกของภูเขาที่ซ่อนอยู่ในบ้านตระกูลถังที่เวิ่นสุ่ย ใช้เวลาหนึ่งคืน ก็ทะลุระดับขั้นหลายขั้นติดต่อกันจากขั้นปลายของขั้นทะลวงอเวจี มาถึงขั้นปลายของขั้นรวบรวมดวงดาว
ในฐานะที่เป็นคนที่มีเงินมากที่สุดของต้าลู่ เรื่องที่ท่านผู้เฒ่าแซ่ถังถนัดที่สุดก็คือประเมินมูลค่า เขารู้ว่าซูหลีกำลังแสดงมูลค่าต่อตนเอง เขายอมรับว่าซูหลีมีมูลค่าเท่านี้อย่างแน่นอน ฉะนั้นเขาจึงเปลี่ยนความคิดอย่างไม่ลังเล เริ่มรับซื้อวัตถุดิบล้ำค่าไปทั่ว พยายามช่วยชีวิตกระบี่โด่งดังเล่มนั้นตามที่เขาขอ
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ แม้จะเป็นบ้านตระกูลถังที่เวิ่นสุ่ย ก็ไม่สามารถทำตามคำร้องขอของซูหลีได้โดยสิ้นเชิง
ความทรงจำมาถึงแค่ตรงนี้ เนื่องจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นตามมาทีหลัง แม้จะเป็นเขาที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่คิดเล็กคิดน้อยวางตัวนอกกรอบที่สุด หรือจะพูดว่าหน้าหนาที่สุด ก็รู้สึกมีความอับอายเล็กน้อย
เขามองไปยังเงาสะท้อนแห่งนั้นในท้องฟ้าค่ำคืน รับรู้สึกถึงความแน่วแน่ลึกสุดหยั่งของราชามาร คิดด้วยความเยาะเย้ยเล็กน้อย ถ้ากระบี่เล่มนั้นสามารถฟื้นชีวิตกลับมา ถูกข้ากำอยู่ในมือในตอนนี้ เจ้าจะมีค่าควรแก่การกล่าวถึงได้อย่างไร?
……
……
เงาสะท้อนแห่งนั้นในท้องฟ้าค่ำคืนยิ่งมายิ่งต่ำลง ราวกับจะเชื่อมโยงกับที่ราบทุ่งหญ้าที่อยู่บริเวณห่างไกล
เฉินฉางเซิงถือร่มกระดาษทอง มองภาพฉากนี้ รวมถึงความเงียบเหงาเย็นชาในสายตาของสัตว์อสูรที่น่าหวาดกลัวเหล่านั้นในคลื่นอสูร ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเป็นเพราะอะไร
เขาไม่รู้ว่าเงาสะท้อนแห่งนั้นในท้องฟ้าเป็นเงาของมหาวิหคบรรพกาล เขาไม่รู้ว่ามหาวิหคบรรพกาลตัวนี้ที่ก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ครึ่งก้าวแล้ว เป็นสัตว์พาหนะของโจวตู๋ฟูในตอนนั้น เขายิ่งไม่รู้ว่าเจตจำนงกระบี่ที่กลับเข้าสู่ร่มกระดาษทองสายนั้น หมายความว่าสระกระบี่มีโอกาสที่จะปรากฏอยู่ตลอดเวลา นี่สำหรับมหาวิหคบรรพกาลที่น่าหวาดกลัวตัวนั้นแล้ว ถือเป็นการเย้ยฟ้าท้าดินระดับไหน
ผมสีดำของหนานเค่อกระจายอยู่ที่หัวไหล่ เปียกชุ่มด้วยน้ำฝน ยุ่งเหยิงอย่างมาก ใบหน้าเล็กขาวซีดของนาง ความไม่แยแสในดวงตาถูกแทนที่ด้วยความโมโหไปนานแล้ว การต่อสู้ครั้งก่อนหน้า แม้จะอยู่ห่างเป็นระยะร้อยกว่าจั้ง เจตจำนงกระบี่ที่รุนแรงสายนั้นยังคงโจมตีถึงนาง นางไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดหลังเจตจำนงกระบี่สายนั้นเข้าไปในร่มกระดาษทองถึงได้น่าหวาดกลัวขนาดนี้
“เจตจำนงกระบี่จะแข็งแกร่งแค่ไหนแล้วทำไม? เจ้าไม่รู้วิชากระบี่ พึ่งแค่เจตจำนงกระบี่ จะสามารถต้านทานได้นานขนาดไหนเชียว!”
ได้ยินเสียงของเด็กสาวเผ่ามารคนนี้ เฉินฉางเซิงเดิมกะจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร ปัญหานี้เขาก็ไม่สามารถแก้ไขได้ อีกทั้งความจริงแล้วแม้เขาจะแก้ไขปัญหา ห้ามมิให้เจตจำนงกระบี่ผลาญตนเองอย่างไม่ยุติปัญหานี้ได้ ก็ไม่อาจจัดการปัญหาที่สี่ทิศสุสานรายล้อมไปด้วยคลื่นสัตว์อสูรที่ราวกับมหาสมุทรได้
เสียงร้องดังชัดที่เต็มไปด้วยกระแสโทสะ ลมหนาวพัดขึ้นบนถนนเสิน ชายกระโปรงที่เปียกโชกพลิ้วขึ้น น้ำฝนเอียงเล็กน้อย หนานเค่อยกกระบี่ตัดอีกครั้ง
แสงกระบี่สองสายยิงพ่นออกมาจากปลายกระบี่แหลมของกระบี่ไขว้ทักษิณ ราวกับแม่น้ำดวงดาวสองสาย เลียบตามแนวถนนเสินที่ตรงดิ่งดั่งพู่กัน ตัดไปที่เฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงยกร่มกระดาษทองรับ ลมกระบี่เล็กๆ หลายร้อยสายเกิดขึ้นบนตัวร่ม พร้อมกับเสียงกรีดตัดฉับๆ ที่แน่นขนัด เจตจำนงกระบี่ที่รุนแรงอย่างยากแก่การจินตนาการ ตัดแม่น้ำดวงดาวสองสายขาดทันที จากนั้นจู่ๆ ก็ตัดจนเหลือเป็นเศษเสี้ยวจำนวนมาก บนแท่นหินหน้าประตูหลักสุสานทุกที่เต็มไปด้วยจุดดวงดาวมากมาย ลอยอยู่บนทะเลราวกับหิ่งห้อย
และในเวลานี้ เสียงพิณสายหนึ่งดังขึ้น
พื้นดินข้างล่างถนนเสินถูกฝนตีจนเปียกไปนานแล้ว คนชราคนนั้นนั่งขัดสมาธิอยู่ในม่านฝน กู่ฉินวางนอนอยู่บนหน้าตัก เขาก้มหน้าบรรเลงเพลงเพลงหนึ่งอย่างจดจ่อ
คนชราเป็นผู้เฒ่าของเผ่าพ่อมดมังกรเทียน สิ่งที่ถนัดมากที่สุดก็คือการโจมตีจิตวิญญาณ ในเสียงพิณเวิงๆ ที่มองดูราวกับเสียงน้ำไม่รู้ว่าซ่อนความอันตรายอยู่มากแค่ไหน หยาดฝนตกลงมาจากฟากฟ้า เคาะดีดสายพิณไปพร้อมกับนิ้วมือที่เหี่ยวย่นของเขา จากนั้นก็ถูกสายพิณสั่นจนกลายเป็นหมอกไอน้ำกลุ่มหนึ่ง คล้อยตามเสียงพิณที่บ้างหนักบ้างเบา ในหมอกไอน้ำกลุ่มนั้นคล้ายมีสิ่งของบางอย่างปรากฏออกมา
สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เป็นสิ่งของที่มีอยู่อย่างแท้จริง แต่เป็นจิตสัมผัสที่แข็งแกร่ง ราวกับผีภูเขา ราวพ่อมดพยัคฆ์ จู่ๆ ก็ออกจากกู่ฉินบนตักของคนชรา ราวกับลมโหมโพยมพัด มาถึงบนแท่นหิน ไม่ได้พัดเศษเสี้ยวแสงดาวที่ราวมหาสมุทรหิ่งห้อยแห่งนั้นแตกกระจาย กลับหลบร่มกระดาษทองอย่างน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง สลายกลายเป็นลมหนาวหลายสาย ตกลงบนใบหน้าของเฉินฉางเซิง