ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 50 กระบี่ชรากับเด็กหนุ่ม (ตอนปลาย)
ในตอนที่เจตจำนงกระบี่เล่มนั้นปรากฏ ในตอนกระบี่โลหะเล่มนั้นอยู่ข้างกายเฉินฉางเซิง คลื่นอสูรดุจทะเลที่ล้อมรอบสุสานอยู่ก็เกิดปฏิกิริยาขึ้นแล้ว บ้างก็หวาดผวา บ้างก็โกรธแค้น ระส่ำระสายไปหมด เพียงแต่ถูกหนานเค่อห้ามปรามเอาไว้ ตอนนี้พอไม้จิตวิญญาณในมือนางเปล่งแสงจ้า การห้ามปรามจึงตกไป สัตว์อสูรนับหมื่นในทุ่งหญ้าไหนเลยจะทนต่อได้ ต่างห้อตะบึงมายังสุสานจนแผ่นดินสะเทือนในพริบตา ฟ้าดินมืดมิดอับแสง และที่ตามมาด้วยก็คือ กลิ่นสาบและกลิ่นคาวโลหิตที่ราวกับเพิ่มเข้ามาในพายุฝน
มีเพียงเงามืดอันน่ากลัวผืนนั้นที่ยังคงนิ่งเงียบ แม้ค่อยๆ ร่อนลงบนพื้น แต่กลับไม่เจตนาสำแดงพลังเทพออกมา หรือเป็นเพราะว่า การมาเยือนของมหาวิหคบรรพกาลตัวนี้ ทำให้สัตว์อสูรระดับสูงไม่กี่ตัวที่มีพลังต่อสู้อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวซึ่งอาศัยอยู่ลึกเข้าไปในที่ราบทุ่งหญ้าไม่ได้วิ่งตามคลื่นอสูรเข้าไปที่สุสาน พวกมันมิได้กำลังต่อต้านการเรียกร้องของไม้จิตวิญญาณ และมิได้กำลังต่อต้านคำสั่งของหนานเค่อ เพียงแต่พวกมันฉลาดกว่า และคล้ายจะรู้สึกว่าต่อไปต้องเกิดเรื่องที่หนักหนาสาหัสอย่างมากขึ้น จึงต้องระมัดระวังตัวไว้ โดยเรื่องหนักหนาที่ว่าย่อมพุ่งเป้าไปที่สวนโจว
สัตว์อสูรหลายตัวกลายร่างเป็นคลื่นสีดำเคลื่อนตัวไปยังสุสานระลอกแล้วระลอกเล่า ทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลอันเงียบสงบพลันเปลี่ยนเป็นสับสนอลหม่าน หญ้าป่าที่อยู่ใต้หนองน้ำถูกกรงเล็บอันแหลมคมของสัตว์อสูรขย้ำจนขาดกระจุย ต่อมาก็ถูกท้องของสัตว์เลื้อยคลานกดทับจนราบเรียบ ดินโคลนปลิวว่อนไม่หยุด น้ำใสเปลี่ยนเป็นขุ่นมัว พลังอันมหาศาลของพวกมันน่ากลัวมาก ดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า แม้มีนักปราชญ์อยู่ที่นี่ ก็ไม่มีทางสังหารสัตว์อสูรที่หลั่งไหลไปยังสุสานอย่างไม่ขาดสายให้หมดสิ้นลงไปได้ ทำได้เพียงหนีออกไป เฉินฉางเซิงยืนอยู่ในพายุฝน มองดูเหตุการณ์ตรงหน้า ย่อมคิดถอยหนี แต่เขาไม่มีทางให้ถอยหนีเสียแล้ว
รอบตัวเขามีกระบี่สิบกว่าเล่มลอยนิ่งอยู่ กระบี่เหล่านี้ผ่านความผันผวนของชีวิตมนุษย์มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งตอนนี้พวกมันก็ยังคงผันผวน อาจเพราะอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ หรือเต็มไปด้วยสนิมเกรอะกรัง ตอนแรกพบ พวกมันรัศมีจับจนน่าตื่นตระหนก แต่ที่สุดแล้วก็มีพลังไม่เท่ายุครุ่งโรจน์ ที่สำคัญคือ ผู้เก่งกล้าทั้งหลายที่เคยจับพวกมันล้วนเสียชีวิตไปนานแล้ว
อาศัยเพียงกระบี่พิการสิบกว่าเล่ม ไม่มีทางต้านทานการจู่โจมของคลื่นอสูรได้หรอก คิดจะแปลงร่างเป็นโขดหินที่ทะเลดำโค่นไม่ล้มนั้น จำเป็นต้องมีกระบี่มากกว่านี้
เฉินฉางเซิงกวาดตามองทุ่งหญ้ารอบๆ สุสานผ่านม่านน้ำฝน มองดูคลื่นอสูรที่น่าสยดสยอง พลางคิดหากระบี่ให้ได้มากกว่านี้ ซึ่งกระบี่เหล่านั้นน่าจะอยู่ในสระกระบี่ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ จึงมิได้ปรากฏขึ้นเช่นกระบี่มหาสมุทรขุนเขา ยังคงรอคอยการเรียกร้องจากเขา หรือเกลี้ยกล่อมก็ว่าได้ เพียงแต่สระกระบี่อยู่ที่ไหน?
‘หากพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าขอเชิญออกมาพบเจอ เพราะข้าต้องการพวกเจ้า’
นี่คือเจตจำนงของเขา ที่ส่งผ่านด้ามร่มกระดาษทองซึ่งสั่นน้อยๆ ไปยังตัวร่ม ก่อนแผ่กระจายไปยังทุ่งหญ้าอันไร้ขอบเขต
เขามองดูหมอกฝนอันเยือกเย็นและขมุกขมัวบนทุ่งหญ้าที่ห่างออกไป มองดูกรงเล็บสุนัขป่าที่จิกลงบนท้องทุ่ง พร้อมเสียงร้องครวญครางเล็ดลอดออกมาในระยะใกล้ จึงพูดกับสระกระบี่ที่ไม่รู้อยู่ที่ใดในใจเงียบๆ
‘ข้าต้องพาพวกเจ้าออกไปจากสวนร้างเก่าแก่แห่งนี้ให้ได้ บางทีพวกเจ้าอาจจะอยากหลับสนิทต่อ แต่อย่างน้อย…ก็ไม่น่าจะนอนอยู่ในที่ที่ไม่มีกลางคืนตลอดกาล ในทุ่งหญ้าซึ่งไม่มีทางหลับได้อย่างสงบแห่งนี้’
สัตว์อสูรเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ห่างจากถนนเสินหน้าสุสานหลายสิบลี้เท่านั้น ขณะยืนอยู่ริมแท่นหิน เฉินฉางเซิงเห็นพวกมันได้อย่างชัดเจน กระทั่งน้ำลายที่หยดลงจากมุมปากสีแดงของเสือดาวประกายไฟม่วงที่อยู่หน้าสุด และดูเหมือนจะได้กลิ่นเหม็นคาวจากน้ำลายของมันด้วย
ในตอนนี้เอง เขาพลันรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ไม่เกี่ยวกับคลื่นอสูรหรือพายุฝนแต่อย่างใด
แรงสั่นสะเทือนนี้มาจากเวิ้งน้ำที่อยู่ลึกเข้าไปในทุ่งหญ้า ลึกเข้าไปในผืนดิน ซึ่งเบาบางมาก เห็นชัดว่าไม่ค่อยมีแรง แต่กลับชัดเจนยิ่ง
เสือดาวประกายไฟม่วงตัวนั้นเหมือนดวงไฟสีม่วงที่กะพริบได้จริงๆ อย่างไรอย่างนั้น มันกระโดดข้ามหญ้าน้ำรกทึบ แล้วห้อตะบึงมาทางสุสาน ดวงตาสีแดงเข้มของมันเต็มไปด้วยแววกระหายโลหิตอย่างคลุ้มคลั่ง
ทันใดนั้น ดวงตาของมันก็เกิดแววหวาดระแวง จากนั้นก็แยกตัวออกจากกัน
ตามติดด้วยมุมปากของมันที่แยกออกจากกันเช่นเดียวกัน น้ำลายที่หยดลงผสมปนเปไปกับโลหิต แดงฉานไปหมด มันรู้สึกถึงภยันตรายแล้ว จึงเพิ่มความเร็วอย่างบ้าคลั่ง พยายามที่จะสลัดตัวออกจากแรงสั่นสะเทือนนั่น
แรงสั่นสะเทือนอ่อนแรงจริงๆ รู้สึกว่าช้ามากกว่าจะมาถึงผิวดิน
แต่เสือดาวประกายไฟม่วงที่เหมือนดวงไฟกะพริบกลับสลัดแรงสั่นสะเทือนนั้นไม่หลุด
ได้ยินเสียงฉีกขาดเบาๆ ในเสียงฝน
ฉับ!
ร่างของเสือดาวประกายไฟม่วงถูกตัดออกจากกันหลายท่อน กลายเป็นก้อนโลหิตสิบกว่าก้อนกระจายออกจากกันด้วยความเร็วเฉกเช่นตอนมันห้อตะบึง ก่อนตกลงบนพื้นดินห่างออกมาหลายสิบจั้ง
ภาพที่เห็นสยองขวัญสั่นประสาทยิ่ง
ดินที่เสือดาวประกายไฟม่วงเหยียบและบุ๋มลงเป็นรอยอุ้งเท้า อ่อนยวบก่อนยุบขึ้นยุบลงไม่หยุด กระบี่หนึ่งเล่มค่อยๆ ปรากฏขึ้น
นี่คือกระบี่พิการที่เหลือเพียงครึ่งเล่ม ด้ามกระบี่ถูกสนิมกินลึก ตัวกระบี่ครึ่งเล่มเต็มไปด้วยดินโคลน ไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็ก แลดูอนาถยิ่ง
กระบี่พิการเล่มนี้นอนนิ่งๆ อยู่ในดินโคลนและหญ้ารกทึบ
ฝนยังคงตกลงมาไม่ขาดสาย น้ำฝนชะล้างดินโคลนที่ตัวกระบี่ออก แต่ไม่สามารถชะล้างสนิมเกรอะกรังได้ ตัวกระบี่จึงยังมืดมน ไม่เห็นความคม ความแวววาว แต่ที่สุดแล้วก็เบาลงเล็กน้อย จึงสั่นไม่หยุด พยายามดิ้นรนให้ออกจากพื้นดิน…เหมือนทหารหาญที่บาดเจ็บสาหัส และพยายามใช้ไม้เท้ายันให้ลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง แล้วฟาดฟันศัตรูต่อ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดกระบี่พิการเล่มนี้ก็พุ่งขึ้นจากพื้นดินแบบตุปัดตุเป๋ ก่อนจะเหาะไปยังสุสาน คล้ายสามารถหล่นลงสู่พื้นดินอีกครั้งได้ทุกเมื่อ
……
……
ในทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล สัตว์อสูรที่มีความเร็วพอๆ กับเสือดาวประกายไฟม่วงก็คือ หมาป่าสลาตัน สัตว์อสูรซึ่งถือกำเนิดจากหมาป่าบนที่ราบหิมะผสมพันธุ์กับหมาป่าจากดินแดนต้าซี จึงเกิดมาก็วิ่งได้เร็วอย่างเหลือเชื่อ ว่ากันว่าเป็นสัตว์อสูรเพียงหนึ่งเดียวในต้าลู่ที่สามารถจับเหยี่ยวแดงกินเป็นอาหารได้ แน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้หมาป่าสลาตันมีความสามารถในการต่อสู้แบบรวมฝูงและมีความทรหดอดทนมาก
การตายอย่างแปลกประหลาดของเสือดาวประกายไฟม่วงเมื่อครู่ มิได้ทำให้ความเร็วของฝูงหมาป่าสลาตันลดลงแต่อย่างใด ในฐานะผู้เฝ้าสุสานโจวที่ภักดีที่สุดและกระหายโลหิตที่สุด พอจ่าฝูงหมาป่าได้รับคำสั่งจากไม้จิตวิญญาณ ก็คิดฉีกเนื้อพวกที่กล้าบุกรุกเข้าไปในสุสานออกเป็นชิ้นๆ ให้หมด หรือที่สำคัญสุดก็คือ ฝูงหมาป่าที่มีหมาป่าสลาตันมารวมตัวกันหลายร้อยตัวนั้น ต่อให้บางตัวต้องตายภายใต้คมกระบี่เหล่านั้น อย่างไรก็ต้องมีหมาป่าสลาตันอีกมากมายที่เข้าไปจู่โจมศัตรูในสุสานได้
ฝูงหมาป่าชาญฉลาดในการล่าเป็นอย่างยิ่ง ช่วงการรอคอยอันยาวนาน จ่าฝูงได้นำพาลูกน้องของมันเข้าไปปะปนอยู่กับสัตว์อสูรชนิดอื่นอย่างเงียบๆ จนมาถึงถนนหญ้าขาว เนื่องจากพื้นที่ตรงนี้แข็งมาก และใกล้กับประตูหน้าสุสาน เหมาะต่อการโจมตีศัตรู
บนถนนหญ้าขาว หญ้าขาวที่หนาวเย็นทั้งหมดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันทีเมื่อฝูงหมาป่าโฉบผ่านดั่งลมสลาตัน เพราะพวกมันรวดเร็วเกิน และมีจำนวนมากเกิน จนเสียงหวีดหวิวที่ได้ยินดังบาดแก้วหู ต่อมา เสียงหวีดหวิวแหวกอากาศกลับถูกเสียงแหวกอากาศอีกชนิดหนึ่งเข้าแทนที่ เป็นเสียงที่บาดลึกกว่า พูดได้ว่า แหลมคมอย่างยิ่ง
นั่นก็คือเสียงเจตจำนงกระบี่ที่แหวกอากาศออกมา
ขนสีขาวกระจุกหนึ่งบนศีรษะจ่าฝูงหมาป่าสลาตัน ขาดและปลิวไปตามลม
ขนสีขาวกระจุกนั้น มีคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้หมาป่าสลาตันแตกต่างจากหมาป่าพันธุ์อื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด และเป็นสิ่งที่จิตวิญญาณเทพหมาป่าสลาตันมอบไว้ให้ ทำให้พวกมันวิ่งได้เร็วดุจลมสลาตัน
ตอนนี้ ขนสีขาวกระจุกนี้ขาดแล้ว
จ่าฝูงแผดเสียงร้องดังและยาวอย่างโกรธแค้น แต่ร้องยังไม่ทันร้องจบ ก็เหมือนถูกกระบี่เล่มหนึ่งฟันขาดกลางลำตัว
บนถนนหญ้าขาวปรากฏรอยแตกมากมาย รอยแตกเหล่านี้ขนานไปกับทิศทางสู่สุสาน คล้ายเส้นตรงนับไม่ถ้วน ล้อมรอบหมาป่าสลาตันที่ซุ่มจู่โจมอยู่บนถนน
ขอเพียงหมาป่าสลาตันก้าวข้ามเส้นตรงเหล่านี้ ก็จะถูกพลังที่มองไม่เห็นฉีกร่างออก
กรงเล็บที่จิกลงบนพื้นดินแข็งๆ ของพวกมันขาดแล้ว
ไหล่ของหมาป่าสลาตันยกลอยขึ้นพร้อมหญ้าสีขาวขาดแล้ว
หางหมาป่าขาดแล้ว เอวหมาป่าขาดแล้ว
ส่วนต่างๆ บนร่างฝูงหมาป่าสลาตันหลายร้อยตัวล้วนขาดออก ขณะเดียวกันกับที่รอยแตกเหล่านี้ปรากฏขึ้น
คล้ายก้อนหินในตะกร้าใบใหญ่ที่ถูกคนจับเทลงบนพื้น บนถนนหญ้าขาวเกิดเสียงดังกุกกักไม่หยุด
ศพของหมาป่าสลาตันหลายตัวถูกสับเป็นชิ้นๆ ขณะที่ถนนหญ้าขาวยุบขึ้นยุบลงไม่หยุด บางตัวก็กลิ้งตกลงไปหนองน้ำข้างถนน บางตัวก็ถูกเจตจำนงกระบี่หลายเล่มสับละเอียด
เส้นทางที่มุ่งสู่สุสานล้วนเต็มไปด้วยชิ้นส่วนจากซากศพ โลหิตเปื้อนเปรอะไปหมด ถนนหญ้าขาวกลายเป็นถนนโลหิตสายหนึ่ง กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งรุนแรงจนแสบจมูก พอกลิ่นคาวโลหิตกระจายไปบนท้องฟ้า เจตจำนงกระบี่ในรอยแตกเหล่านั้นก็พุ่งสวนทางกับสายฝนขึ้นไปบนท้องฟ้า
แร้งสีเทาหลายพันตัวกำลังบินอยู่บนท้องฟ้าสูงอย่างสงบเสงี่ยมแต่เปี่ยมอันตราย สัตว์อสูรเหล่านี้ทั้งแข็งแกร่งและร้ายกาจ ในช่วงแรกแม้แต่สวีโหย่วหรงเองก็ยังไม่วายต้องเผาเลือดแท้หยดสุดท้ายของหงส์สวรรค์ เพื่อสังหารแร้งสีเทาฝูงนั้น พวกมันไม่เหมือนสัตว์อสูรชนิดอื่นที่มักแผดร้องเสียงดัง แต่จะบินไปสุสานกันอย่างเงียบเชียบ
ดูไปแล้ว พวกมันกับสุสานถูกคั่นกันแค่ท้องฟ้า ไม่มีสิ่งใดขวางอยู่ตรงหน้า ทำให้พวกมันจู่โจมศัตรูได้อย่างสะดวกโยธิน
แต่แล้ว เจตจำนงกระบี่เหล่านั้นก็มาถึงท้องฟ้าจนได้
รอยแตกในทุ่งหญ้า คล้ายจะแตกมาถึงท้องฟ้าด้วย
เสียงร้องโหยหวนมากมายพลันดังขึ้น ปีกที่ขาดนับไม่ถ้วนหล่นลงจากฟากฟ้า ตกถึงพื้นดินอย่างรวดเร็ว พร้อมโลหิตสีบาดตา
แร้งสีเทานับพันตัวทยอยร่วงหล่นลง พริบตาเดียว ก็หล่นลงมาหนาแน่นกว่าพายุฝนอย่างเห็นได้ชัด
……
……
สัตว์อสูรที่พุ่งไปยังสุสานนับไม่ถ้วน ร่างฉีกขาด กลายเป็นเศษเนื้อและโลหิตที่แบ่งแยกไม่ออก
พื้นดินในทุ่งหญ้าปรากฏรอยแตกมากมาย หญ้าป่าขาดกระจุยกระจาย ดินถูกหั่นเป็นเศษผง เจตจำนงกระบี่นับไม่ถ้วนลอยขึ้นสู่ฟากฟ้าทั้งแนวดิ่งและแนวนอน
กระทั่งเมฆดำที่อยู่บนท้องฟ้าไกลลิบ ยังถูกตัดกระจาย กลายเป็นก้อนสำลีลอยละล่องไปมา
พายุฝน ก็หยุดลงโดยปริยาย
ริมทุ่งหญ้าที่เหมือนไม่ยอมให้ดวงอาทิตย์ตก ที่สุดแล้วก็มีโอกาสสาดแสงสีแดงอันอบอุ่นไปทั่วสุสาน
ทุกที่เต็มไปด้วยซากศพสัตว์อสูร ส่วนสัตว์อสูรที่เจ็บหนักปางตาย ก็ร้องครวญครางไม่หยุด
คลื่นอสูรที่เคลื่อนตัวไปยังสุสาน หยุดลงทันที และไม่กล้าไปต่ออีก ได้แต่ค่อยๆ เคลื่อนที่ขึ้นลง
นี่คือโลกสีแดงโลหิต
สัตว์อสูรดุจทะเลสีดำ ก็ค่อยๆ กลายเป็นทะเลสีแดงอันเงียบสงบ
สุสานในคลื่นอสูร หลังเปียกปอนจากน้ำฝน สีสันก็เปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น ตอนนี้ดูไปแล้วก็คล้ายโขดหินสีดำก้อนหนึ่งในทะเลสีแดง
ต่อให้ถูกคลื่นลมหรือพายุฝนจู่โจมเข้าใส่ ก็ไม่สะท้านสะเทือนแม้แต่น้อย
เมื่อเทียบกับโลกสีแดงโลหิตและสุสานหินสีดำแล้ว ภาพที่ตื่นตาตื่นใจจริงๆ อยู่ในที่ราบทุ่งหญ้ารอบสุสาน
กระบี่ผุพังเล่มหนึ่งพุ่งออกจากหนองน้ำอย่างทุลักทุเล ขึ้นสู่ท้องฟ้า ส่งเสียงดังกังวาน
กระบี่เก่าๆ เล่มหนึ่งทะลวงผิวน้ำขึ้นมา พร้อมเสียงดินโคลนหล่นลงบนพื้น
กระบี่โบราณเล่มหนึ่งทะลวงก้อนหินออกมา พร้อมเสียงเสียดสีทื่อๆ
กระบี่หลายสิบเล่ม
กระบี่หลายร้อยเล่ม
กระบี่หลายพันเล่ม
บ้างตุปัดตุเป๋ บ้างลังเล บ้างยินดี ทะลวงหนองน้ำ ปรากฏขึ้นให้เป็นที่ประจักษ์แก่ฟ้าดินอีกครั้ง
กระบี่นับไม่ถ้วนปรากฏอยู่กลางท้องฟ้าบนทุ่งหญ้ารอบๆ สุสาน
ทุ่งหญ้าผืนนี้เต็มไปด้วยหนองน้ำ เหมือนพื้นดินแฉะๆ หรือบึงก็ว่าได้
หลายร้อยปีที่ผ่านมา ผู้คนพากันเสาะหาสระกระบี่ แต่ไม่เคยมีใครพบเจอ กระทั่งเบาะแสสักนิดก็ไม่มี
เพราะไม่เคยมีใครคิดว่า สระกระบี่…แท้จริงแล้วจะใหญ่ขนาดนี้
สระกระบี่มิใช่สระน้ำบนภูเขา และมิใช่สระเยือกเย็นแห่งหนึ่ง
กระบี่เหล่านั้นอยู่ในทุ่งหญ้าผืนนี้มาโดยตลอด
ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตาก็คือสระกระบี่
ไม่สิ นี่ไหนเลยเรียกสระ นี่คือทะเลชัดๆ
ทะเลกระบี่
……
……
ทุ่งหญ้าสงบเงียบ
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ริมแท่นหิน มองดูภาพที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่พูดไม่จา
ก่อนหน้านี้เขาคลับคล้ายจะเดาความจริงของสระกระบี่ออก แต่พอเห็นภาพกระบี่หมื่นเล่มปรากฏบนโลกกับตา ก็ยังคงตกตะลึงพึงเพริศไม่หาย
หนานเค่อยืนอยู่บนถนนเสิน มองดูภาพนี้อย่างไร้ความรู้สึก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หนิงชุ่ยยกมือขึ้นปิดปาก ทำให้เสียงไม่เล็ดลอดออกจากปากตน ส่วนคู่หูของนางฮว่าชิวนั่งแหมะลงในน้ำฝน ใบหน้าผู้เฒ่าดีดพิณขาวซีดผิดปกติ พิณโบราณที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเลอะไปด้วยโลหิต เขาไม่กล้าหันไปมองด้านหลัง
เถิงเสี่ยวหมิงกับหลิวหว่านเอ๋อร์เก็บสายตาคืนกลับ แล้วหันมาสบตากัน ต่างเห็นความเด็ดเดี่ยวและคำขอโทษของกันและกันในดวงตา
ไม่มีใครพูดจา และไม่มีใครขยับเขยื้อน
กระทั่งคลื่นอสูรในทุ่งหญ้าก็ยังค่อยๆ สงบลง
เนื่องจากกระบี่เหล่านั้น กำลังเหาะไปยังสุสาน
กระบี่มากมายเหาะอยู่ในแสงสีแดงอันอบอุ่น คล้ายคิดจะปกปิดท้องฟ้า
พอใกล้ถึงสุสาน กระบี่ที่ถูกน้ำฝนชะล้างก็สะท้อนแสงระยิบระยับ เหมือนดวงดาวก็มิปาน
ภาพฉากนี้ สวยงามเป็นอย่างยิ่ง
แต่กระบี่เหล่านี้เหาะมาช้ามาก ไม่เหมือนตอนปรากฏตัวขึ้นบนโลกอย่างยิ่งใหญ่อลังการ
กระบี่มากมายเหาะมาถึงหน้าสุสาน แล้วจึงค่อยๆ กระจายตัวออก คล้ายจัดทัพทหาร
ฟ้าดินเต็มไปด้วยเจตจำนงกระบี่
กระบี่เหล่านั้นเคยแข็งแกร่งสุดจะเปรียบ แต่ตอนนี้อ่อนแอลงแล้ว พอมาอยู่รวมกันจึงยุ่งเหยิงเล็กน้อย
เจตจำนงกระบี่เหล่านี้ไม่มีความรู้ แต่กลับมีความรู้สึก ความรู้สึกสลับซับซ้อนหลากหลาย
สำหรับสุสานแห่งนี้ ความรู้สึกของกระบี่คือ เย็นชาและต่อสู้
สำหรับเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ในสุสาน ความรู้สึกของกระบี่คือ โปรดพาพวกเราออกไปพบเจ้าของให้ได้
ดาบเล่มนั้นไร้ความรู้สึก เวลายิ่งไร้ความปรานี
กระบี่เหล่านี้หลับลึกในทะเลกระบี่มาหลายร้อยปี และผุพังมาเนิ่นนาน
พอได้ออกจากที่ราบทุ่งหญ้า พวกมันจึงระเบิดพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา
ถูกต้อง กระบี่เหล่านี้ชราภาพแล้ว เนื้อตัวเต็มไปด้วยสนิม ใกล้เสื่อมสลายเต็มที
ตอนนี้ก็คล้ายทหารหาญที่บาดเจ็บสาหัส เป็นคนชราที่ต้องใช้ไม้เท้าช่วยในการเดิน
เดิมทีพวกเขาควรลาจากการต่อสู้ กลับสู่ชนบทไปนานแล้ว เพียงเสียดาย ชนบทที่นี่ไม่ดี ไม่ใช่บ้านเกิด แต่เป็นกรงขัง
ผ่านมาหลายร้อยปี ไม่มีช่วงเวลาไหนที่พวกเขาไม่คิดออกจากทุ่งหญ้าแห่งนี้ จนสุดท้ายมีสหายคนหนึ่งทำสำเร็จ นำพาเจตจำนงของพวกเขาไปด้วย
ต่อมาสหายผู้นั้นก็มิได้กลับเข้ามาอีก
จนถึงวันนี้ ยามที่กระบี่เหล่านี้ใกล้สิ้นหวัง สหายเก่าก็กลับมาพบเจอกัน
โดยมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนำพาเจตจำนงนั้นกลับมาที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้
กระบี่ชราภาพแล้ว แต่เด็กหนุ่มยังเยาว์วัย
เฉินฉางเซิงโหยหาอิสรเสรี รักที่จะมีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์และหยัดยืนถึงเพียงนั้น
ประหนึ่งสายลมที่พัดมาแผ่วเบา ปลุกพวกเขาให้ตื่น
พวกเขาได้ยินเสียงเรียกร้องของเฉินฉางเซิง เชื่อในปณิธานของเขา และแล้ววีรบุรุษก็ถือกำเนิดขึ้น
กระบี่ชรายังมีพลังเหลือ กระบี่หักยังสังหารศัตรูได้
ปณิธานอยู่พันลี้
จะไปยังที่ห่างไกลแสนไกล
เพื่อกลับบ้านเกิด