ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 56 ผู้สืบทอดที่แท้จริง
เงาทะมึนของมหาวิหคปีกทองเคลื่อนตัวมาถึงท้องฟ้าหน้าสุสาน ห่างกันราวร้อยลี้ ขอบปีกทั้งสองข้างของมันเปล่งเส้นแสงสีทอง แต่กลับนำพาความมืดมาสู่สุสาน พอมองเข้าไปในความมืด ดวงตาทั้งคู่ของมันก็คล้ายดวงไฟเทวาที่ลุกโชน ขณะเดียวกัน ผมสีดำของหนานเค่อยังคงปลิวไสว ร่างเล็กๆ ของนางลอยนิ่งอยู่ระหว่างดวงไฟเทวา ซึ่งดูเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบขนาดกัน แต่ก็ให้ความรู้สึกว่า ระหว่างนางกับมหาวิหคปีกทองมีความสัมพันธ์ที่ตัดกันไม่ขาดชนิดหนึ่ง หรือพูดได้ว่า ตอนนี้นางก็คือวิญญาณเทพของมหาวิหคปีกทอง
ขณะแสงสีทองสาดส่อง พลังกดดันอันน่ากลัวที่ยากจินตนาการขุมหนึ่งตกลงบนทุ่งหญ้า ตามด้วยพายุที่หมุนขึ้นอย่างรุนแรง แม้แต่พายุสุดคลุ้มคลั่งของทะเลใต้ก็ไม่มีทางแรงได้ขนาดนี้ เศษต้นไม้ใบหญ้าปลิวว่อน น้ำที่ขังอยู่บนดินสั่นสะเทือนจนกระจายออกหมด ไม่มีสัตว์อสูรตัวใดยืนนิ่ง พวกมันล้วนล้มลงกับพื้น กระบี่พิการหมื่นวิถีบนท้องฟ้ารอบสุสานถูกพัดจนส่ายขึ้นส่ายลง คล้ายเรือนับไม่ถ้วนลอยอยู่ในมหาสมุทรที่อาจถูกคลื่นยักษ์อันน่าสะพรึงกลืนหายไปได้ทุกขณะ
มหาวิหคปีกทองกระพือปีกทั้งสองข้างพลางส่งเสียงร้องใสๆ ที่ทั้งเย็นชาและเย่อหยิ่งสุดๆ ออกมา มันบินมาทางสุสานอย่างรวดเร็ว ให้ความรู้สึกเหมือนท้องฟ้ากำลังจะถล่มทับสุสาน แสงสีทองที่ขอบปีกทั้งสองข้างของมันดับแล้วสว่างขึ้นใหม่ คล้ายเปลวไฟกะพริบที่มีชีวิต แต่กลับทำให้ทุ่งหญ้าทั้งผืนเริ่มติดไฟ ไม่ว่าแอ่งโลหิตหรือแอ่งน้ำล้วนมีเปลวไฟลุกพึ่บพั่บ
ทุ่งหญ้าส่วนที่กำลังลุกไหม้รุนแรงคือทะเลสีดำที่สัตว์ร้ายนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน มันกลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรระดับสูงหรือหนูนาที่อยู่ในทุ่งหญ้า ล้วนยืนอยู่ในทะเลเพลิงด้วยความหวาดกลัวและศิโรราบให้กับปีกทั้งสองที่กางออกเป็นระยะทางนับร้อยลี้ บ้างก็ส่งเสียงกรีดร้องที่ใกล้คลุ้มคลั่งเต็มที
การบินเข้ามาใกล้ของมหาวิหคปีกทอง ทำให้ทุ่งหญ้าที่ถูกไฟไหม้สว่างไสว แต่กลางสุสานกลับยิ่งมืดมน กระบี่พิการหมื่นวิถีพากันเหาะมาหน้าสุสาน ต้านทานแรงลมที่เกิดจากปีกยักษ์คู่
พวกมันเข้ามารวมตัวกันอย่างมิดชิด แล้วจัดทัพเป็นรูปครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ โดยมีเฉินฉางเซิงยืนอยู่กลางวง ซึ่งเทียบกันแล้วเขาตัวเล็กนิดเดียว แต่มีฐานะเป็นวิญญาณเทพของทัพกระบี่ มือซ้ายของเขายังคงถือร่มกระดาษทอง และยังไม่ได้เก็บเจตจำนงกระบี่คืนกลับจากกระบี่พิการหมื่นเล่ม เพราะรู้ดีว่า หลังผ่านการต่อสู้อย่างหนักกับเหล่าสัตว์ร้ายแล้ว กระบี่หลายเล่มมีท่าทีไม่ไหว หากเขาเก็บเจตจำนงกระบี่เขาหลีซานกลับคืน กระบี่เหล่านี้ก็ต้องสูญสลายทันที โดยที่มหาวิหคปีกทองไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย
ดังนั้นสิ่งที่เขาสามารถใช้ได้ในตอนนี้มีเพียงเจตจำนงของกระบี่มังกรครวญ แต่เวลาก็ผ่านมานับร้อยปีแล้ว เจตจำนงของมันยังแข็งแกร่งพอหรือ? ขณะมองดูมหาวิหคปีกทองที่บินเข้ามาเรื่อยๆ เขาก็ค่อยๆ รู้สึกถึงความหยิ่งทะนงของกระบี่มังกรครวญและรู้สึกคุ้นเคยกับมัน ใช่แล้ว เป็นความหยิ่งทะนงที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี กระทั่งสนิทชิดเชื้อ คล้ายเป็นธรรมชาติที่ควรมี
ความสนิทสนมที่จู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมา ทำให้สติอารมณ์ของเขาปั่นป่วนสุดขีด เหมือนตอนอาการป่วยกำเริบอย่างไรอย่างนั้น ใจเต้นเร็วกว่าปกติหลายเท่าในพริบตา พลังปราณแท้ไหลเวียนในเส้นชีพจรเร็วกว่าปกติหลายเท่า มือที่จับด้ามกระบี่สั่นไม่หยุด และสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสั่นไปทั้งร่าง
แม้แต่ที่ราบหิมะในร่างก็ยังสั่นไปด้วย
ส่วนนี้เคยเป็นแนวป้องกันที่มีหิมะหนามาก ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ได้จากฝึกหนักติดต่อกันนานนับร้อยวันตั้งแต่วันที่เริ่มกำหนดดาวโชคชะตาในสำนักฝึกหลวง เป็นละอองดาวที่บริสุทธิ์มากสุด และถูกเผาผลาญไปหลายต่อหลายครั้งในการสอบใหญ่กับการต่อสู้นับสิบวัน เวลานี้จึงเหลือเพียงชั้นบางๆ ชั้นเดียว
หิมะบางๆ สลายตัวง่าย พอได้รับผลกระทบจากภายนอกร่างกายก็ระเหิดออกจากที่เดิม บ้างกระจายตัวในอากาศ เมื่อกระทบกับหยดน้ำที่กระเซ็นมาจากลำธารและแสงที่ส่องลงมา ก็เกิดการเผาไหม้เสียงดังพรึ่บ ละอองหิมะถูกแผดเผาเป็นน้ำใสในพริบตา แล้วแปรเปลี่ยนเป็นไอ ก่อนกลายเป็นพลังปราณแท้พิสุทธิ์ไหลเวียนอยู่ในร่างเต็มไปหมด ไหลไปตามเส้นชีพจรที่แห้งผาก กระทั่งเส้นชีพจรที่ฉีกขาดราวกับหน้าผาภูเขา ไหลไปข้างหน้าไม่หยุด…ซึ่งสำหรับเฉินฉางเซิงแล้ว นี่เป็นขั้นตอนที่เจ็บปวดสุด แต่เขาก็ไม่ร้องสักคำ เพียงจ้องมองมหาวิหคปีกทองที่บินเข้าใกล้สุสานเรื่อยๆ พลางอดทนยืนหยัด ปล่อยให้อาการสั่นสะท้านเผาไหม้หิมะในร่าง และพลังปราณแท้ไหลรุกล้ำไปทั่วร่าง
จนในที่สุด พลังปราณแท้ก็ไหลมาถึงข้อมือของเขา เมื่อแรงสั่นจากภายในโคจรมาพบกับแรงสั่นจากภายนอกตรงด้ามดาบก็ผสานกัน กลายเป็นเจตจำนงในการต่อสู้สายหนึ่งที่ยากเปรียบเปรย!
กระบี่มังกรครวญพิการแล้ว เจตจำนงกระบี่ไม่เหมือนเดิม แต่เจตจำนงในการต่อสู้ยังคงอยู่!
เฉินฉางเซิงจับกระบี่มังกรครวญ พร้อมเจตจำนงกระบี่ที่ยืนหยัดและเย่อหยิ่ง ฟันใส่มหาวิหคปีกทองบนท้องฟ้า!
เสียงมังกรครวญจากแท่นหินหน้าประตูสุสานดังก้องออกไปไกล!
แสงเป็นสายเปล่งออกจากตัวกระบี่สว่างไสวงดงามอย่างยิ่ง เจือไปด้วยลมหายใจมังกรที่ใกล้เคียงกับของจริง แสงแหวกอากาศมาไกลนับสิบลี้ ฟันเข้ากลางระหว่างดวงตาที่คล้ายดวงไฟเทวาทั้งสองข้างของมหาวิหคปีกทอง!
หนานเค่ออยู่ตรงนั้น…
เมื่อเทียบกับแสงของกระบี่มังกรครวญ ร่างของนางถือว่าเล็กมาก เป็นเพียงจุดสีดำจุดหนึ่งเท่านั้น แต่สติสัมปชัญญะของนางไม่เปลี่ยน ชี้นิ้วไปยังแสงกระบี่ทันที
นางกับมหาวิหคปีกทองเป็นหนึ่งเดียวกัน สื่อสารกันผ่านไม้จิตวิญญาณ นางก็คือมหาวิหคปีกทองซึ่งมีพลังใกล้เคียงกับเทพในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์และมีจิตวิญญาณระดับสูง นางเพียงใช้นิ้วเดียวก็สามารถต้านแสงกระบี่มังกรครวญได้
ถ้ามองจากทุ่งหญ้าและสุสาน จะเห็นไอสีดำประหลาดกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นระหว่างดวงตาทั้งสองข้างของมหาวิหคปีกทอง ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นไอสีดำที่เกิดขึ้นตรงปลายนิ้วของหนานเค่อ จากผลจากการปะทะกันของสองพลังมหาศาล
ต่อมา ไอสีดำก็จางหายไป ในความขมุกขมัว ปรากฏรอยแตกเล็กๆ มากมายในอากาศ นั่นหมายถึงชั้นบรรยากาศปรากฏสัญญาณของการแตกสลาย ขณะเดียวกันในทุ่งหญ้าก็เกิดเสียงดังกัมปนาท
พริบตาที่พายุพัดจากท้องฟ้าถึงพื้นดินกว่าพันลี้ ต้นหญ้าที่งอกติดผาหินในสุสานก็ถูกแรงพายุดึงทึ้ง หลุดปลิวกระจายเต็มท้องฟ้า แม้แต่ตะไคร่น้ำชั้นต่ำบนผาหินก็ยังถูกลอกออก กระทั่งชั้นหินบางส่วนยังหลุดร่อน ทะเลสีดำที่ถูกเผาไหม้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงครั้งใหญ่ ดวงตาดั่งไฟเทวาของมหาวิหคปีกทองมองลงต่ำ เห็นว่ามีสัตว์อสูรชั้นต่ำนับร้อยเป็นอย่างน้อยตกใจตาย ส่วนทัพกระบี่ที่อยู่หน้าสุสาน ก็มีกระบี่นับสิบเล่มส่ายไปมาใกล้ตกเต็มที
เฉินฉางเซิงไม่ได้ยินเสียงดังกัมปนาทและไม่สนใจเหตุการณ์เหล่านี้ เขาจ้องมองแต่กระบี่มังกรครวญในมือ เพราะเมื่อครู่มันส่งเสียงเบาๆ ออกมา
นั่นเป็นเสียงปริแตก
กระบี่มังกรครวญหักแล้ว ปลายกระบี่ครึ่งหนึ่งตกลงไปในหนองน้ำด้านหน้า ส่งเสียงเพล้งออกมาแผ่วเบา
เสียงกระบี่หักแผ่วเบาดังก้องอยู่ในหูของเฉินฉางเซิง ดุจดั่งอสนีบาต
เสียงระเบิดดังมาจากลานหินหน้าประตูสุสาน เปรี้ยง!
พายุหมุนหอบเอาร่างของเฉินฉางเซิงปลิวออกไปไกลนับสิบจั้ง ก่อนกระแทกอย่างแรงกับประตูหิน ฝุ่นธุลีตลบอบอวล
สีหน้าของเขาซีดขาว โลหิตตีขึ้นมาที่คอหอย แต่เขากลับกลืนมันลงไป แล้วจึงรู้สึกว่ากระดูกทั้งร่างหัก แต่ก็พยายามยืนขึ้น เพราะกระบี่มังกรครวญแม้หักไป แต่เจตจำนงในการต่อสู้ยังอยู่ เพียงแต่…
แม้เจตจำนงในการต่อสู้แรงกล้าเช่นนี้ แม้มีกระบี่หมื่นเล่มคอยช่วยเหลือ แต่เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมหาวิหคปีกทองหรือ?
เฉินฉางเซิงมองดูกระบี่หักครึ่งในมือ พลางสังเกตเห็นว่ารอยหักราบเรียบมาก เหมือนไม่ใช่รอยเกิดใหม่ จึงนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ตอนจับกระบี่มังกรครวญ เห็นคลับคล้ายคลับคลาว่าตัวกระบี่มีเส้นบางๆ อยู่
ตอนนี้เขาค่อยเข้าใจแล้วว่า ที่แท้เส้นนั้นคือรอยแตกของกระบี่
ในอดีต เฉินเสวียนป้าพกกระบี่เล่มนี้มายังสวนโจว แล้วพ่ายแพ้ให้กับโจวตู๋ฟู แม้เขาตาย แต่กลับไม่ยอมล้มลง กระบี่เล่มนี้ความจริงหักแล้ว แต่กลับดื้อดึง ไม่ยอมให้คู่ต่อสู้เห็น จวบจนวันนี้ กระบี่เย่อหยิ่งเล่มนี้จึงได้พบคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกับในอดีตอีกครั้ง แต่ที่สุดแล้วมันก็ทนต่อไปไม่ไหว
เฉินฉางเซิงจับกระบี่หักครึ่งไว้ ในความเงียบงัน เขาค่อยๆ เดินกลับไปที่ข้างลานหินอีกครั้ง แล้วมองดูท้องฟ้าที่มืดมน
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดมหาวิหคปีกทองตัวนั้นต้องผสานร่างกับหนานเค่อด้วย แต่มันก็ได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวมันเองแล้ว
หนานเค่อหายไป นางหลอมรวมกับนกยักษ์แล้วจริงๆ ดวงตาไฟเทวาคู่นั้นยังคงดูศักดิ์สิทธิ์และคลุ้มคลั่ง มันมองร่างเล็กจิ๋วของเขาในสุสานอย่างเย็นชา พลางบินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ฟ้าดินเปลี่ยนสี เมฆดำม้วนตัว กระบี่หมื่นวิถีส่องแสงระยิบไม่หยุดคล้ายอสรพิษที่ลอยคว้างอยู่บนท้องฟ้าเหนือสุสาน
กระบี่มังกรครวญหักแล้ว เขาควรเปลี่ยนไปใช้กระบี่เล่มไหนดี? กระบี่มหาสมุทรขุนเขาหรือกระบี่จำศีล? หรือควบคุมกระบี่พร้อมๆ กันหมื่นเล่ม?
ในตอนนี้เอง เขาพลันรู้สึกว่าระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของมือข้างขวามีพลังคุกรุ่นสายหนึ่งไหลเวียนอยู่
เขายังไม่ได้ปล่อยกระบี่มังกรครวญที่หักครึ่งลง ดังนั้นพลังนี้ต้องมาจากกระบี่มังกรครวญที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง นี่เป็นเจตจำนงกระบี่ของมัน เจตจำนงของกระบี่ที่หยิ่งทะนง มันหักออกจากกันอย่างไม่เต็มใจนัก เพียงชั่วขณะ ส่วนที่เหลืออีกครึ่งจึงยังคงเย่อหยิ่งและดื้อดึง กระบี่มังกรครวญที่แวววาวสุดจะเปรียบเปลี่ยนเป็นไร้ประกายอย่างสิ้นเชิง คล้ายกับเสียชีวิตลงแล้ว
เจตจำนงกระบี่เช่นนี้แผ่เข้าไปในร่างเฉินฉางเซิง แล้วแผ่เข้าไปในกระบี่สั้นตรงหว่างเอวของเขา
แม้เขามีหัวใจกระบี่เต็มเปี่ยม แต่ติดที่ลำดับขั้นในการบำเพ็ญเพียร จึงไม่สามารถทำตามเจตจำนงกระบี่ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ดังนั้นจึงต้องกระทำการผ่านเจตจำนงกระบี่เขาหลีซานที่ร่มกระดาษทองหยิบยืมมา ควบคุมกระบี่หมื่นเล่มเข้าสังหารสัตว์ร้าย และด้วยเหตุนี้ เจตจำนงกระบี่ของเขาและของกระบี่สั้นจึงไม่เคยหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว หรือพูดอีกอย่างก็คือ กระบี่สั้นที่ดูเหมือนกระบี่ธรรมดาเล่มนี้ คิดว่าเจตจำนงกระบี่ของเขาเข้ากันไม่ได้กับตัวมันเอง
จวบจนถึงตอนนี้ ที่เจตจำนงกระบี่มังกรครวญเข้ามา
กระบี่สั้นยังอยู่ในฝัก แต่กลับเริ่มส่งเสียงเวิ้งว้างแผ่วเบา
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของกระบี่มังกรครวญแล้ว นี่คือผู้สืบทอดของมัน
เขารู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง
กระบี่มังกรครวญให้กระบี่สั้นสืบทอดเจตจำนงกระบี่ จากนั้นจึงค่อยตายไป ให้กระบี่สั้นมีชีวิตต่อ
เวลานี้เขาจึงได้แต่หวังว่ากระบี่มังกรครวญจะสามารถใช้วิธีนี้ต่อชีวิตของมัน หรือพูดได้ว่าสำแดงความหยิ่งทะนงต่อ
เช่นนั้น เขาก็ต้องชนะสิ
เขาค่อยๆ วางกระบี่มังกรครวญหักครึ่งไว้บนพื้น ยืนขึ้น จับด้ามกระบี่สั้นแล้วชักออก
พอเขาเคลื่อนไหว หน้าประตูสุสานก็ปรากฏดวงอาทิตย์หนึ่งดวง
อาทิตย์ดวงนี้ปรากฏขึ้นตอนกระบี่สั้นหลุดออกจากฝัก
มันสาดแสงไปทั่วสุสานและทุ่งหญ้าที่มืดมน เกิดเป็นแสงสีทองหลายสาย
มันคือกระบี่ที่แวววาวสุดจะเปรียบเล่มหนึ่ง
กลิ่นอายพลังปราณอันแข็งแกร่งสุดจะเปรียบสายหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว ทำเอาเหล่าสรรพชีวิตรอบๆ สุสานตื่นตกใจ
เงียบสงบทั่วทั้งผืน
เจตจำนงของกระบี่มังกรครวญกับกระบี่สั้นหลอมรวมเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์ ให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่เฉินฉางเซิงจับกระบี่ก่อนหน้านี้ คล้ายกับว่ามันเกิดมาเพื่ออยู่คู่กันกับเขา แต่เท่านี้ยังไม่พอ
วิญญาณของกระบี่เล่มนี้ยังไม่ตื่น