ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 59 สีฟ้าคราม
สภาพอเนจอนาถของสัตว์อสูรค่อยๆ ลดลง ทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง มีเพียงท้องฟ้าที่ยังได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบอยู่เป็นระยะ เนื่องจากพลังแฝงในสายฟ้าไม่รู้ว่าควรระบายออกที่ไหนดี จึงได้แต่กระจายอยู่บนท้องฟ้า ทำเอาหมู่เมฆสั่นสะเทือนจนกระจายตัวออกไม่หยุด
เฉินฉางเซิงจับกระบี่สั้น เดินขึ้นบนถนนเสิน ยามที่เขาเหยียบเท้าลง แอ่งน้ำก็กระเพื่อมออกเป็นวง พื้นหินสีเขียวครามปรากฏรอยกระบี่ถี่ยิบ นั่นคือผลจากพลังเจตจำนงกระบี่ เขามองดูด้านล่างถนนเสิน หนานเค่อฟื้นแล้ว สาวใช้สองคนสลบอยู่ด้านหลังนาง แต่ยังมีชีวิตอยู่
ร่างของหนานเค่อเต็มไปด้วยโลหิต นางนั่งอยู่ในแอ่งน้ำฝน ใบหน้าซีดขาวผิดปกติ โดยเฉพาะหว่างคิ้วที่คลายออกเล็กน้อย ขาวซีดจนคล้ายโปร่งแสง ก่อนหน้านี้วิญญาณเทพของนางหลอมรวมกับมหาวิหคปีกทอง แล้วถูกมังกรหมื่นกระบี่ฟาดฟันอย่างหนัก จึงลุกไม่ขึ้น นางมองดูเฉินฉางเซิงด้วยสายตาเหม่อลอย คิดไม่ออกว่าทั้งหมดนี้คืออะไรกันแน่ เหตุใดสระกระบี่ต้องช่วยเหลือชายหนุ่มผู้นี้ด้วย แล้วมังกรตัวนั้นคืออะไร ทำไมถึงได้มีพลังของมังกรขนาดมหึมาอย่างมังกรยักษ์ทองคำกับมังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง? ถ้าเป็นสวีโหย่วหรง นางอาจยอมรับบทสรุปของความพ่ายแพ้จากการต่อสู้ เพราะนางคือหงส์สวรรค์ มีพลังเหนือกว่ามหาวิหคปีกทองอยู่แล้ว ทว่าการต่อสู้เช่นนี้เฉินฉางเซิงทำได้อย่างไร? มังกร…ควรเป็นชิวซานจวินมิใช่หรือ?
ใจลอยไปชั่วขณะ นางรีบดึงสติคืนกลับอย่างรวดเร็ว แล้วยกมือขึ้นอย่างยากลำบาก ใช้หลังมือเช็ดคราบโลหิตที่มุมปาก มองเฉินฉางเซิงพลางพูดอย่างไร้ความรู้สึก
“เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้ก็จะออกจากสวนโจวได้หรือ? แสดงว่าไม่เคารพต่อวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ในสุสาน”
เฉินฉางเซิงคิดในใจว่า ทุ่งหญ้าถูกทำลายจนมีสภาพเช่นนี้แล้ว สระกระบี่ก็ไม่มีแล้ว ตอนนี้ยังจะพูดเรื่องเคารพอันใดอีก? เขามิได้ตอบคำถาม เพราะพูดไม่เก่ง ตั้งแต่ต่อสู้จนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่เคยใช้คำพูดตอบคำถามทั้งสองข้อที่มีใจความเดียวกัน แต่ได้ใช้กระบี่ตอบออกไปตรงๆ
“เจ้ายังคงต้องตายในทุ่งหญ้านี้” หนานเค่อพูดต่อ “พวกเราล้วนต้องตายอยู่ที่นี่”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางต้องพูดเช่นนี้ด้วย คิดอยากยื้อเวลาออกไปก่อนที่ความตายจะมาเยือน เผื่อว่าเกิดปาฏิหาริย์บางอย่างขึ้นมาหรือ?
หนานเค่อมองดูสีหน้าของเขาก็รู้ทันทีว่าเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงพูดเช่นนี้ จึงถามประชดออกไปนิดหน่อย “หรือเจ้าไม่เคยคิดเลยว่า เหตุใดในสวนโจวถึงมีสระกระบี่?”
เขายืนอยู่บนถนนเสิน มองไปยังทุ่งหญ้าที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แน่นอน คำถามนี้เขาเคยคิด ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่า สระกระบี่เป็นของเซ่นไหว้ของโจวตู๋ฟู เป็นแผ่นป้ายหินไร้คำพูดที่โจวตู๋ฟูตั้งขึ้นเพื่อตัวเอง แต่เมื่อพวกเขาเข้ามาในทุ่งหญ้า ผ่านการต่อสู้ที่เขย่าขวัญสั่นประสาทก็แล้ว ไยจึงต้องคิดอะไรง่ายๆ เช่นนี้อีก?
ในชีวิตโจวตู๋ฟูผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน ผู้คนบนโลกล้วนพูดว่าเขาเสพติดอาวุธอย่างงมงาย แต่เขาไม่ใช่คนโง่งม หากเพราะต้องการแสวงหาวิถีสู่สวรรค์ ก็ต่อสู้กับคู่ต่อสู้อย่างราชามาร เฉินเสวียนป้า หัวหน้าพรรคกระบี่เขาหลีซานก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าคู่ต่อสู้มากมายที่เขาต่อสู้ด้วยไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา และเหตุใดหลังจากชนะในการต่อสู้ทุกครั้ง เขาต้องเก็บกระบี่ของคู่ต่อสู้ไว้ในทุ่งหญ้านี้ด้วย? ทำให้กระบี่เหล่านี้ออกไปไม่ได้ ทำไมต้องตรึงพวกมันเอาไว้ด้วย?
“เจ้าไม่รู้อะไรเลย แต่สุดท้ายเจ้าก็ยังทำ อีกทั้ง…คิดไม่ถึงว่าทำสำเร็จด้วย ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าโชคดี หรือโง่งมกันแน่” หนานเค่อพูดพลางมองดูเขา นางรู้สึกสับสน บอกไม่ได้ว่าสงสารหรือคิดถากถางกันแน่
คู่สามีภรรยาขุนพลมารก่อนตัดสินใจตาย ก็เคยเกิดความรู้สึกเศร้าใจในลักษณะนี้เช่นกัน พวกเขารู้สึกว่าเฉินฉางเซิงดวงดีมาก แต่เฉินฉางเซิงรู้ดีว่าตนเองนั้นดวงไม่ดี เช่นนั้นถ้าสิ่งที่หนานเค่อพูดเป็นความจริง เรื่องที่ตนทำลงไป เป็นเพราะเขาโง่เขลาหรือ? เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
หลังจากเข้ามาในสวนโจว หนานเค่อไม่เคยยิ้มเลย ท่าทางตอนอยู่ในเมืองเสวี่ยเหล่านางก็ไม่ค่อยได้ยิ้ม แต่ตอนนี้ นางกลับยิ้มอย่างเบิกบาน ยิ้มอย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่แววตากลับชั่วร้าย คล้ายท่าทางของเด็กที่กลั่นแกล้งผู้อื่นสำเร็จ “ทำเรื่องมากมายเช่นนี้ พากเพียรมานานเช่นนี้ กระทั่งเผาผลาญตัวเองเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อ แต่สุดท้ายก็ยังต้องตายอยู่ดี ทั้งหมดทั้งมวลกลายเป็นไร้ความหมาย เจ้ารู้สึกผิดหวังมากใช่ไหม?”
เฉินฉางเซิงคล้ายรู้สึกว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริง ต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แม้ไม่รู้ว่านี่คือเรื่องอะไร แต่เขาคิดแล้วคิดอีก จึงพูดขึ้น “ต่อให้อีกไม่นานพวกเราล้วนต้องตายอยู่ในทุ่งหญ้าแห่งนี้ แต่ก็ยังดีกว่าที่…พวกเราตายแล้วพวกเจ้ารอด เมื่อเป็นเช่นนี้ ความพากเพียรของพวกเราก็นับว่าไม่เสียหลาย”
เสียงของเขาฟังดูเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง แต่ก็สงบนิ่งอย่างมาก ยังคงทำให้ผู้คนพูดไม่ออก
แต่ในใจของเขามีเสียงหนึ่งดังขึ้นไม่หยุด คล้ายกำลังเร่งรัดให้ออกจากที่นี่
หลังจากที่พวกเขาบุกรุกสุสานและผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือด สัตว์อสูรตายไปมากมาย แต่สำหรับทะเลคลื่นอสูรแล้ว นี่เป็นเพียงกระผีกริ้น พวกมันยังสามารถแสดงให้เห็นว่าเหล่าสัตว์อสูรมีจำนวนที่น่ากลัวขนาดไหนและมีพละกำลังในการต่อสู้เพียงใด แต่…สัตว์อสูรเหล่านี้มิได้ใช้มาตรึงสระกระบี่ แต่…ใช้เฝ้าสุสานต่างหาก
ทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ย่อมมีเหตุผลของมัน สถานที่เช่นสวนโจวแห่งนี้ก็เช่นกัน เมื่อสัตว์อสูรเป็นวิธีการที่โจวตู๋ฟูใช้หยุดยั้งมนุษย์หรือมารไม่ให้เข้าใกล้สุสานของตน เช่นนั้นเหตุใดเขาต้องเก็บกระบี่พิการหมื่นเล่มไว้ใต้เวิ้งน้ำในทุ่งหญ้าของสวนโจวด้วย? ซ้ำยังผนึกกระบี่หมื่นเล่มไว้รอบๆ สุสานอีก?
เฉินฉางเซิงไม่มีคำตอบ หนานเค่อก็เช่นกัน
ก่อนเข้าสวนโจว คนชุดดำ อาจารย์ของนางได้ตักเตือนนางไว้ว่า ในทุ่งหญ้ามีพลังลึกลับสายหนึ่งผนึกสระกระบี่ไว้ ขณะเดียวกันสระกระบี่ก็ผนึกพลังลึกลับนี้ไว้เช่นกัน ทำให้เกิดสมดุลระหว่างพลังทั้งสอง ซึ่งใช้รักษาทุ่งหญ้าให้ดำรงอยู่ ดังนั้นหลังเข้าสวนโจว อย่าพยายามเสาะหาสระกระบี่ และแม้พบสระกระบี่ ก็อย่าทำอะไรทั้งสิ้น
ดังนั้นพอเข้ามาในทุ่งหญ้า ด้วยต้องการหาสุสานโจวตู๋ฟู นางจึงปล่อยให้เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงหนีไปนานพอควร และแสดงความไม่สนใจใดๆ ต่อสระกระบี่ แต่แล้วสระกระบี่ยังคงถูกค้นพบ ซึ่งที่แท้ก็เป็นเวิ้งน้ำในทุ่งหญ้านี่เอง ต่อมากระบี่หมื่นเล่มในสระกระบี่ก็ถูกเฉินฉางเซิงปลุกให้ตื่น และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางก็รู้แล้วว่า ความสมดุลของทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลถูกทำลายลงแล้ว สวนโจวต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ กระทั่งพังทลายได้ในทันที เพื่อหยุดยั้งเรื่องทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้น นางจึงต้องขวางไว้อย่างสุดความสามารถ เสียดายที่สุดท้ายยังคงพ่ายแพ้อยู่ดี
เพียงแต่ พลังลึกลับนั่นคืออะไรกันแน่?
เฉินฉางเซิงมองไปยังทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลออกไป เมื่อไม่พบอะไร เขาจึงหันกาย ไม่ได้เดินไปยังด้านบนของถนนเสินต่อ หนานเค่อกับสาวใช้สองคนบาดเจ็บ จึงไม่สามารถเข้าขวางการจากไปของเขา เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่คู่สามีภรรยาขุนพลมารสบตากันท่ามกลางแสงกระบี่แล้วเสียชีวิตลงนั้น ทำให้เฉินฉางเซิงรู้สึกอ่อนล้าพอควร อีกอย่างเขาต้องแข่งกับเวลา
พอมาถึงมุมหนึ่งข้างประตูสุสาน เขาก็ยื่นมือเข้าพยุงสวีโหย่วหรง เตรียมพานางออกจากที่นี่ แต่ขณะที่มือของเขาอยู่ห่างจากหัวไหล่ของนางไม่กี่นิ้วนั้น พลันค้างแข็งอยู่กลางอากาศเย็น จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน หันมองไปยังด้านล่างสุสาน
เสียงร้องไห้อย่างคับแค้นใจเสียงหนึ่งดังขึ้นในส่วนลึกของที่ราบทุ่งหญ้า คล้ายเสียงเป่าใบไม้ของชนเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์
แท้จริงแล้วคือเสียงของวานรดินที่กำลังร้องไห้อย่างเจ็บปวดจากพิษบาดแผล ขณะกอดขาอันหยาบใหญ่ของยักษ์ล้มภูเขาที่เหยียบอยู่ในน้ำครำอันเต็มไปด้วยเศษหญ้าและซากศพสัตว์อสูร สัตว์อสูรระดับสูงที่ร้ายกาจและมีไหวพริบ กระทั่งน่ากลัวเช่นนี้เหตุใดจึงร้องไห้? ตอนที่มังกรกระบี่สู้กับมหาวิหคปีกทองนั้น พื้นดินในทุ่งหญ้าปลิวกระจัดกระจายไปหมด ร่างของยักษ์ล้มภูเขาก็เต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะน่าสยดสยอง แต่อย่างไรมันก็เป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเป็นลำดับสามในบรรดาสัตว์อสูรบนบก จึงสามารถยืนหยัดจนเอาตัวรอดได้ แล้ววานรดินร้องไห้เพราะอะไร? ร้องเพราะขาหักหรือ?
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ แต่กลับรู้สึกว่าในร่างกายเกิดความเย็นเยียบขึ้นสายหนึ่ง ด้วยเสียงร้องไห้ของวานรดินน่าเวทนายิ่ง ฟังแล้วเจ็บปวดใจ อยากร้องไห้ตาม น่าหวาดผวาด้วย และพอเสียงร้องไห้ของมันดังขึ้น เหล่าสัตว์อสูรต่างก็ร้องโหยหวนตามๆ กันไปมากขึ้นเรื่อยๆ สัตว์อสูรระดับต่ำเหล่านี้ร้องไห้ไม่เป็น การร้องไห้ของพวกมันก็คือการส่งเสียงร้องเพราะเจ็บปวด และดวงตาที่เต็มไปด้วยความชุ่มชื้น
หนานเค่อหลับตาลง นางกำลังรอความตาย มิใช่รอให้เฉินฉางเซิงมาฆ่า แต่กำลังรอการพังทลายของสวนโจว
เฉินฉางเซิงมองทุ่งหญ้าแน่วนิ่ง ในตอนนี้ท้องฟ้ากลับมาใสเหมือนเดิมแล้ว ใกล้รุ่งอรุณเต็มที จึงปรากฏสีฟ้าครามให้เห็น เสียงฟ้าร้องค่อยๆ จางหาย ทุกอย่างจึงเงียบสงบ
มีเพียงเสียงร้องครวญครางของเหล่าสัตว์อสูรที่เตือนเขาไม่หยุดว่าการพังทลายกำลังจะมาถึงในไม่ช้า และทำอะไรไม่ทันแล้ว
ทุ่งหญ้าไม่มีความผิดปกติใดๆ แต่ในสายตาเขา คล้ายกับสีสันต่างๆ พลันจืดจางลง เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจอยู่เลือนราง
ความรู้สึกเช่นนี้ หรือว่ามีสาเหตุมาจากกระบี่ทั้งหมดในทุ่งหญ้าที่ถูกเขาเก็บกลับไป
ที่ราบทุ่งหญ้ากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนเป็นสีคราม แสงสว่างกำลังเปลี่ยนเป็นกระจ่างใส
แสงกระจ่างใสสายหนึ่งปรากฏขึ้นจากที่แห่งหนึ่งตรงหน้าสุสาน พุ่งจากพื้นดินเป็นแนวขวางห่างออกไปหลายพันลี้ ตกกระทบลงบนท้องนภาสีฟ้าคราม
เงียบสงัดไร้สรรพเสียง เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คล้ายกับหมึกดำหยดหนึ่ง หยดลงบนน้ำใสในชามใบหนึ่ง
หมึกดำหยดลงน้ำใส มองดูเหมือนอ่อนโยน แต่ความจริงแล้ว ถัดจากนี้ไป น้ำใสต้องกลายเป็นน้ำสีดำทั่วทั้งชาม
ท้องฟ้าสีครามพลันเปลี่ยนเป็นสีอ่อนลง หรือจะกล่าวว่าเปลี่ยนเป็นสีท้องฟ้าแจ่มใสก็ได้
สีของท้องฟ้าอ่อนลงเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป ซึ่งแท้จริงแล้วอ่อนลงก็คือโปร่งใส หรือไม่ก็กระจ่างใส
เมื่อแสงกระจ่างใสสายนั้นเลือนหายไป ท้องฟ้าที่สว่างไสวเพราะใสกระจ่าง พลันพังครืนลงมาทั้งผืนในทันใด
นั่นเป็นท้องฟ้าจริงๆ ผืนหนึ่ง
ชิ้นส่วนของท้องฟ้าที่แตกกระจายออกค่อยๆ ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
เฉินฉางเซิงจ้องมองชิ้นส่วนของท้องฟ้านั่นพร้อมสีหน้าที่ซีดขาวลงเรื่อยๆ
สัตว์อสูรทั้งหมดล้วนเงยหน้ามองชิ้นส่วนของท้องฟ้าเช่นกัน พร้อมกับหยุดร้องครวญคราง ทุกอย่างเงียบสนิท
ชิ้นส่วนของท้องฟ้าตกลงมาช้าๆ คล้ายใบไม้จริงๆ ร่วงหล่นออกจากต้น ดูเหมือนจะสามารถหลบหลีกได้ แต่ทะเลสัตว์อสูรบนทุ่งหญ้าไม่คิดหลบหลีกแต่อย่างใด
ที่นี่คือสวนโจว คือโลกของพวกมัน แต่ตอนนี้โลกทั้งใบของพวกมันกำลังจะแตกดับ พวกมันจะหนีไปไหนได้?
ทุ่งหญ้ารอบสุสานเงียบงัน มีเพียงวานรดินเท่านั้นที่ยังคงร้องไห้อย่างเศร้าโศกอยู่
ไม่ว่ายักษ์ล้มภูเขาตัวนั้นจะลูบศีรษะมันเบาๆ อย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้มันหยุดร้องไห้
มันและเพื่อนๆ มีชีวิตอยู่ในทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่นี้มาเนิ่นนาน ตอนนี้ทุ่งหญ้ากำลังจะล่มสลาย มันกับเพื่อนๆ ซึ่งเฝ้าสุสานมานับร้อยปี ที่สุดแล้วก็ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจสำเร็จ แล้วจะให้พวกมันไม่โกรธแค้นได้อย่างไร ไม่หวาดกลัวได้อย่างไร ไม่เจ็บปวดได้อย่างไร?
เสียงร้องคร่ำครวญเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงของวานรดินล่องลอยไปทั่วทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้าง พร้อมๆ กับเศษชิ้นส่วนจากฟากฟ้าที่ร่วงหล่นลง ราวกับลำนำเพลงอันโศกเศร้าอย่างหาที่สุดไม่ได้