ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 69 หนึ่งกระบี่หมื่นลี้
มือของซูหลีเพียงจับด้ามร่มโดยมิได้เคลื่อนไหวอะไร เจตจำนงกระบี่เล่มนั้นก็แผ่ออกไปไกลหลายสิบลี้
ไม่มีแสงกระบี่ ไม่มีพายุกระบี่ หิมะบางๆ ตกลงมาช้าๆ เสียงร้องครวญครางนับไม่ถ้วนดังขึ้นรอบๆ ที่ราบหิมะ ฉับ ฉับ ฉับ ฉับ!
นั่นเป็นเสียงคมกระบี่ฟาดฟันอากาศ เป็นเสียงคมกระบี่ฟาดฟันชุดเกราะ เป็นเสียงคมกระบี่ฟาดฟันร่างมหึมาของขุนพลมาร
เงาร่างสีดำทะมึนดุจภูเขาเลากาสิบกว่าร่างที่อยู่รายรอบ ปรากฏรอยกระบี่สีขาวถี่ยิบนับไม่ถ้วน ลมหนาวโบกสะบัด ชุดเกราะแตกกระจาย โลหิตฉีดพุ่ง เงาร่างสีดำทะมึนดุจภูเขาเลากาบ้างก็ล้มลงบนพื้นหิมะพร้อมเสียงดังทึบตัน บ้างก็ก้าวถอยหลังติดต่อกันพร้อมเสียงแผดร้อง โดยไม่มีขุนพลมารสักคนที่สามารถยืนอยู่กับที่ได้!
ซูหลีมองไปยังเนินหิมะที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ มองดูคนชุดดำที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น
แผ่นสี่เหลี่ยมที่อยู่ข้างหน้าคนชุดดำกลายเป็นเศษเหล็กชิ้นหนึ่ง พื้นผิวของมันเต็มไปด้วยรอยบุ๋ม ไหนเลยจะเหมือนแผ่นฉายภาพทั้งหมดในสวนโจวก่อนหน้านี้ เพราะมันถูกทำลายไปในตอนแรกที่เกิดเสียงระเบิดอันน่ากลัว แม้ผู้แข็งแกร่งระดับไร้เทียมทานอย่างเขาก็ยังทนอาการบาดเจ็บเล็กน้อยไม่ไหว เสื้อผ้าฉีกขาด และดูอ่อนล้าอยู่บ้าง
แผ่นสี่เหลี่ยมสวนโจวถูกทำลายอย่างไม่คาดคิด ทำให้เขาบาดเจ็บ พอสัมผัสได้ว่ากับดักสวนโจวถูกทำลาย เขาก็บาดเจ็บสาหัส แต่ที่ทำให้เขากระสับกระส่ายก็คือ ร่มที่อยู่ในมือซูหลี อาจทำให้แผนสังหารที่เตรียมการมายาวนาน เผ่ามารได้ส่งมือสังหารระดับพระกาฬมาหลายคน มีทีท่าว่าจะเกิดปัญหาขึ้น
ส่วนซูหลี หากคิดทำลายแผนล้อมสังหารของเผ่ามาร ก็ต้องบรรลุเส้นทางกระบี่ให้ได้อีกครั้ง จึงจะเป็นไปตามที่เขาเคยพูดไว้ ซึ่งระดับผู้แข็งแกร่งด้านเส้นทางกระบี่อย่างซูหลีแล้ว แม้ตกอยู่ระหว่างความเป็นความตายอันน่าสะพรึงกลัว ก็ไม่มีทางช่วยให้เขาบรรลุขั้นที่ไม่อาจบรรลุมาหลายร้อยปีได้หรอก นอกจากเขาจะมีกระบี่เล่มนั้นอยู่ในมือ
และตอนนี้ กระบี่เล่มนั้นได้มาถึงแล้ว
เป็นไปได้อย่างไร? คนชุดดำมองดูชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังซูหลี พลางคิดเงียบๆ ที่แท้ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดก็อยู่นี่เอง
เขาจำร่มกระดาษทองได้และรู้ความเป็นมาของมัน เขาจำเฉินฉางเซิงได้และรู้ความเป็นมาของชายหนุ่ม เขาในฐานะกุนซือเผ่ามารผู้เชี่ยวชาญการวางแผนมากสุดในดินแดนต้าลู่ ขอเพียงรำลึกเทพของเขาขยับ ก็สามารถคิดคำนวณเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนโจวทั้งก่อนและหลังได้อย่างแม่นยำ โดยไม่พลาดแม้แต่น้อย
ทว่าแม้คำนวณได้อย่างแม่นยำเพียงใด ก็ไม่สามารถแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว และไม่สามารถทำให้ร่มกระดาษทองตีตัวออกหากจากซูหลีได้
คนชุดดำจึงยืนขึ้น ยื่นมือที่เรืองแสงสีเขียวน้อยๆ ทั้งสองข้างออกจากแขนเสื้อ คล้ายจะขยำลมหนาวทั้งหมดในที่ราบหิมะให้แหลกลาญ
ซูหลีจ้องมองเขาเงียบๆ
ทั้งสองอยู่ห่างกันราวสิบกว่าลี้
ซูหลีจับด้ามร่ม นิ้วออกแรงน้อยๆ
ได้ยินเสียงใสๆ เสียงหนึ่ง
กระบี่แวววาวเล่มหนึ่งถูกดึงออกจากร่มกระดาษทอง
ที่แท้ นี่ก็คือตัวจริงของร่มกระดาษทอง
กระบี่เล่มนั้นซ่อนตัวอยู่ในร่มกระดาษทองมาโดยตลอด
ตัวกระบี่มิได้ปรากฏออกทั้งหมด เห็นเพียงครึ่งท่อนอยู่ระหว่างฟ้าดินเท่านั้น
ส่งผลให้ลมพัดเร็วและแรง ละอองหิมะเปลี่ยนเป็นกระบี่ไร้รูปจำนวนมาก ม้วนตัวรวมกันเสียงดังหวีดหวิว แล้วพุ่งไปยังเนินหิมะที่ห่างออกไปสิบกว่าลี้
คนชุดดำก้มศีรษะ ค่อยๆ ประสานมือเรืองแสงสีเขียวทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน เหมือนทำความเคารพก็มิปาน เพื่อป้องกันใบหน้าของตน พลางปล่อยผ้าคลุมสีดำห้อยลงบนพื้นหิมะ ปกปิดทุกส่วนในร่างกายไว้ แล้วปล่อยพลังปราณอันเยือกเย็นและมืดมนใส่หิมะกระบี่เหล่านั้น
ฉับ ฉับ ฉับ ฉับ! เสียงฟาดฟันดังรัวๆ บนเนินหิมะ แสงกระบี่แวววาวหลายสายลอยอยู่กลางอากาศ ล้อมรอบตัวคนชุดดำ
ปลายผ้าคลุมสีดำเคลื่อนจากพื้นหิมะ คนชุดดำทะยานตัวขึ้น ทั้งชุดและตัวดูเบายิ่ง ลอยตัวถอยออกจากลมหิมะและแสงกระบี่ ก่อนหายตัวไปในความว่างเปล่า
แสงกระบี่ค่อยๆ ดับ เสียงกระบี่ค่อยๆ เงียบ ลมหิมะค่อยๆ ช้าลง
ผ้าคลุมสีดำผืนหนึ่งค่อยๆ ร่วงหล่นลงบนพื้นหิมะ โลหิตสีแดงสดหยดเป็นทาง
หนึ่งกระบี่ของซูหลีทำร้ายคนชุดดำบาดเจ็บขณะอยู่ห่างสิบกว่าลี้ แม้บอกว่าเพราะแผ่นสี่เหลี่ยมของคนชุดดำถูกทำลาย ทำให้เขาบาดเจ็บไม่น้อย จึงสำแดงพลังได้ไม่เต็มที่ แต่อย่าลืมว่า กระบี่ในมือของซูหลีก็มิได้ถูกชักออกจากฝักทั้งหมดเช่นกัน ตัวกระบี่อีกครึ่งยังซ่อนอยู่ในร่มกระดาษทอง เช่นนั้น นี่คือกระบี่ชนิดใดกัน?
……
……
ซูหลีไม่สนใจคนชุดดำที่ล่าถอยไป หันมองเมืองของชนเผ่ามารที่เห็นรางๆ ไกลออกไปจากที่ราบหิมะ มองดูเงามืดบนท้องฟ้าที่แฝงไปด้วยปณิธานอันทรงพลังและน่ากลัว สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้น เลือดเข้าตา พลางตะโกน “เข้ามาเลย!”
เสียงนี้ดุจการเปล่งเสียงของกระบี่ กระบี่จริงๆ จึงส่งเสียงดังไปทั่วที่ราบหิมะ
ซูหลีชูมือขวาที่จับด้ามร่มขึ้น แสงกระบี่อันเย็นยะเยียบแผ่ออกทั้งสี่ทิศ ตัวกระบี่ปรากฏให้เห็น
หลายร้อยปีผ่านไป ในที่สุดกระบี่ชื่อดังบังฟ้าก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง และคู่ปรับคนแรกของมันคือ ราชามาร
การกลับมาเช่นนี้ อหังการแค่ไหน หยิ่งทะนงแค่ไหน!
กระบี่ชื่อดังบังฟ้า ต่อให้ฟากฟ้ากว้างใหญ่เพียงใด ขอเพียงกระบี่เล่มนี้ขวางอยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีทางเห็นฟากฟ้าเป็นอันขาด
ไม่ว่าเงามืดในท้องฟ้าน่ากลัวเพียงใด ถ้าไม่อยากเห็นก็ไม่ต้องเห็น
มือซ้ายซูหลีจับร่มกระดาษทอง มือขวาถือกระบี่บังฟ้าอย่างสบายๆ มองดูเงามืดในท้องฟ้าที่แฝงพลังก่นด่าว่ากล่าวฟ้าดินสายหนึ่ง
บุคคลเช่นนี้ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน วีรบุรุษขนาดไหน!
ขณะมองดูแผ่นหลังซูหลี เฉินฉางเซิงเกิดความรู้สึกมากมาย แต่ไม่ได้พูดออกมา
เขารู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังจะเห็นกับตานี้ เป็นสงครามระดับสูงสุดในรอบหลายร้อยปีของต้าลู่ ซึ่งอาจทำให้เขาตายลงอย่างรวดเร็ว ตายลงในสนามต่อสู้พลังปราณ ในการเข้าห้ำหั่นกันของทั้งสองฝ่าย ซึ่งไม่สนใจต่อการตายของเขาอยู่แล้ว แต่เขากลับไม่รู้สึกหนาว กระทั่งรู้สึกร้อนด้วยซ้ำ
ความร้อนนี้มาจากหัวใจ มาจากโลหิต
มนุษย์มักมีช่วงเวลาที่โลหิตคุกรุ่น
อย่าว่าแต่เพิ่งออกจากสวนโจวเลย จู่ๆ ก็ถูกดึงเข้ามาในสมรภูมิรบที่ใกล้เคียงกับคำว่าสงครามระหว่างเทพ ถ้าต้องตายอย่างกะทันหัน เขาก็ไม่ยี่หระ การผจญภัยในสวนโจว เป็นการเดินทางที่ไม่สูญเปล่า ด้วยสามารถเห็นวีรบุรุษเช่นนี้ สามารถเห็นกระบี่ไร้เทียมทานชื่อก้องปฐพีเช่นนี้สำแดงเดชอีกครั้ง ความเป็นตายยังมีค่าควรแก่การกล่าวถึงอีกหรือ?
เฉินฉางเซิงในตอนนี้พอจะเดาออกแล้วว่า ผู้แกร่งกล้าไม่ธรรมดาที่ยืนอยู่ข้างๆ ของตนผู้นี้คือใคร
ผู้ซึ่งพอจับด้ามกระบี่ ขุนพลมารพลังมหาศาลนับไม่ถ้วนก็ล้มลง
พอชักกระบี่ออกครึ่งหนึ่ง คนชุดดำก็บาดเจ็บสาหัส หนีจากไปไกล
ตอนนี้ กระบี่ของเขาออกจากฝักหมดแล้ว พลังก็ออกจากตัวเขาด้วยเช่นกัน และกำลังจะพุ่งเข้าหาลมหิมะกับเงามืดในท้องฟ้านั่น ปลดปล่อยทีเด็ดทั้งหมดออก
พลังกระบี่รอบที่สามจะมีอานุภาพอย่างไร? เงามืดในท้องฟ้าจะถูกกระบี่ฟาดฟันลงมาหรือไม่
พริบตาเดียว เฉินฉางเซิงก็คิดถึงเรื่องราวมากมาย จนรู้สึกว่าจิตใจของตนกำลังถูกเจตจำนงกระบี่ซึ่งปกคลุมที่ราบหิมะทั้งหมดล้างสมองอย่างพิถีพิถัน ทำให้ตนเกิดความฮึกเหิมและมีความกล้าในการต่อสู้ชนิดที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ถ้าสามารถรอดชีวิต เชื่อว่าผลที่ได้รับนี้ ต้องทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน
จากนั้น ในตอนนี้เอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหูเขา
“จับร่มไว้”
เฉินฉางเซิงกำลังมองแผ่นหลังของชายวัยกลางคน จึงรู้ว่าเสียงนี้มาจากเขา แต่ไม่เข้าใจว่าเขาหมายความเช่นไร จึงทำอะไรไม่ถูก
“ยังไม่รีบมาจับร่มอีก เดี๋ยวข้าก็หนีไปคนเดียวหรอก!”
ซูหลีมองดูเงามืดในท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พลางเกร็งพลังที่ไม่ธรรมดาออกมา
ใครจะคาดคิดเล่าว่า เขาจะพูดกับเฉินฉางเซิงเบาๆ ด้วยถ้อยคำที่ไม่ทรงพลังเช่นนี้
เฉินฉางเซิงอึ้ง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงว่า “ผู้อาวุโส…”
ซูหลีมิได้หันกายมา ยังคงชูกระบี่ขึ้นฟ้า หมายความตามนั้น แต่น้ำเสียงของเขากลับเร่งรีบ และกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้ง เพื่อไม่ให้พวกมารพบเห็น เขาจึงไม่ขยับริมฝีปาก เวลาพูดจึงให้ความรู้สึกเหมือนคนกัดฟันพูด
“ผู้อาวุโสบิดาเจ้าสิ สมองหมูจริงๆ ยังไม่รีบเข้ามาอีก! ยื่นมือมาจับร่มเร็วเข้า!”
เฉินฉางเซิงตะลึงงันจริงๆ กระทั่งเริ่มสงสัยในชีวิตมนุษย์
ผู้อาวุโส…ท่านมิใช่ผู้แข็งแกร่งในตำนานผู้นั้นหรอกหรือ? มิใช่ผู้ซึ่งใช้กระบี่เดียวท่องทั่วต้าลู่หรอกหรือ? มิได้ต้องการต่อสู้กับเงามืดนั่นสักตั้งหรอกหรือ? มิได้ต้องการให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาต่อสู้ด้วยหรือ? ที่แท้…ท่านมิได้คิดต่อสู้ตั้งแต่แรก คิดหนีเท่านั้นหรือ? ท่าน…รัศมีวีรบุรุษในตอนนี้ ล้วนเป็นการแสดงหรอกหรือ?
นี่…เป็นการแกล้งสู้ไปอย่างนั้นหรือ?
เฉินฉางเซิงไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกของตนในตอนนี้อย่างไรดี
ผู้อาวุโสท่านนี้ดูเป็นคนดุเดือดเลือดพล่าน เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ใครจะคิดว่า ที่แท้เป็นเช่นนี้…
เขายังหาคำพูดที่เหมาะสมไม่ได้ พูดไปก็จะดูต่ำต้อย และรู้สึกว่าไม่ให้ความเคารพ
แบบอย่างวีรบุรุษที่เพิ่งสถิตอยู่ในใจ ล้มลงเสียงดังเพียงชั่วอึดใจ
แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ผู้อาวุโสท่านนี้กำลังจะหนี หรือเขายังจะอยู่สู้กับเงามืดอันน่ากลัวนั่นต่อล่ะ?
สายตาเฉินฉางเซิงหยุดอยู่ที่ร่มกระดาษทอง รู้สึกสับสนอยู่บ้าง แต่ก็ยื่นมือออกไปจับร่ม
ซูหลีมองดูเงามืดในท้องฟ้าอย่างไม่แยแส แสดงท่าทีดั่งผู้สูงส่ง มีเพียงเฉินฉางเซิงเท่านั้นที่ได้ยินเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากไรฟันของเขา “เจ้าสมองหมู จับแน่นๆ ล่ะ เพราะถ้าเจ้าตกหล่นระหว่างทาง ข้าคงไม่หยุดเก็บเจ้าขึ้นมาแน่”
เฉินฉางเซิงเชื่อฟังอย่างยิ่ง ยื่นมืออีกข้างมาจับส่วนบนของร่มกระดาษทองไว้แน่น
ทันใด เสียงหัวเราะอย่างอหังการก็ดังลั่น สะท้อนไปมาอยู่ในที่ราบหิมะไม่หยุด
ซูหลีมองดูกองทัพมารท่ามกลางลมหิมะ มองดูเงามืดผืนนั้น นิ่งเงียบไปสักพัก แล้วตะโกนเสียงดังก้อง “ดูกระบี่!”
นี่เป็นกระบี่แรกจริงๆ ของกระบี่บังฟ้าหลังจากที่มันกลับมาอีกครั้ง
และเป็นกระบี่แรกที่มีอานุภาพมากสุดตั้งแต่ที่ซูหลีถูกพวกมารตามล้อมสังหารมาหลายวันหลายคืน
ท่ามกลางลมหิมะ ขุนพลมารร่างใหญ่ดุจภูเขาเลากาเหล่านั้นล้วนนิ่งเครียดอย่างถึงที่สุด ส่วนกองทัพมารที่อยู่ไกลออกไปก็รีบเก็บพลังเก็บเสียงจนหมด
ส่วนเงามืดซึ่งปกคลุมไปครึ่งฟ้าและมาจากเมืองหิมะโบราณนั้นก็นิ่งเงียบอยู่นาน
กระบี่นี้ ต้องกลั่นมาจากการบำเพ็ญเพียรตลอดทั้งชีวิตของซูหลีแน่
แม้ราชามารก็ยังต้องเกรงกลัว
ลมพัดแรง พลันม้วนละอองหิมะขึ้น เจตจำนงกระบี่ที่แผ่ปกคลุมที่ราบหิมะพลันหดตัวลง กลายเป็นพลังกระบี่ที่ยากคาดเดา ฟันลงกลางฟ้าดิน
ซูหลีใช้กระบี่
กระบี่เดียวฟันฟ้าดิน
แต่กลับไม่ใช่เงามืดในท้องฟ้านั่น เป็นท้องฟ้าอีกครึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับเงามืดต่างหาก
ท้องฟ้าทางทิศใต้
ได้ยินเพียงเสียงฉับแผ่วเบา
โซ่ตรวนพลังปราณปิดท้องฟ้าหิมะหลายพันเส้นที่เผ่ามารจัดเตรียมไว้ทั้งหมดถูกเจตจำนงกระบี่เล่มนั้นฟันกระจุยกระจาย ทันใดนั้น ในลมหิมะรุนแรงก็ปรากฏเส้นทางกระบี่สายหนึ่งอย่างชัดเจน เป็นทางเข้าออกที่ราบหิมะ
ซูหลีใช้ความเร็วที่เหนือคาดหมาย กลายร่างเป็นเส้นแสงสายหนึ่ง พุ่งเข้าไปในเส้นทางกระบี่สายนั้น
มือซ้ายของเขาจับร่มกระดาษทอง ปลายร่มมีเฉินฉางเซิงห้อยอยู่ ร่างของเฉินฉางเซิงลอยเคว้งคว้าง
ในเสียงหวีดหวิว ซูหลีกับเฉินฉางเซิงกลายเป็นจุดสีดำที่ไกลออกไปเรื่อยๆ
จากนั้น เส้นทางกระบี่ก็ค่อยๆ หายไป ทั้งสองก็หายตัวไปด้วยเช่นกัน