ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 7 ชีวิตถ้าเป็นเช่นแรกเจอ (1)
ไม่รู้ทำไม ความเร็วในการพูดของเฉินฉางเซิงช้ากว่าเวลาปกติ เหมือนกับลิ้นไม่ค่อยลื่นไหล มีความเชื่องช้าและโง่งม
สวีโหย่วหรงไม่ได้ตอบ ดันพื้นหยัดกายขึ้นนั่งดีๆ อย่างยากลำบาก พิงกำแพงหินของถ้ำหน้าผาอย่างไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็เงยศีรษะขึ้นมา แค่การกระทำที่ง่ายเช่นนี้ กลับทำให้นางหน้าซีดกว่าเดิมมาก นางมองไป๋ไห่ที่ตายไปแล้วข้างหน้าตัวเอง มองใบหน้าสีฉูดฉาดแก่ชราของคนผู้นี้ เงียบขรึมไร้คำพูด
ก่อนหน้าเป็นช่วงเวลาที่นางประสบอันตรายมากที่สุดในชีวิตนี้ นางถอนธนูถงออก แกล้งจะลอบโจมตี จากนั้นก็แพ้อย่างเป็นไปตามเหตุผล จงใจถูกไป๋ไห่ควบคุมไว้ นางต้องการให้ผู้เฒ่าพรรคตะวันตกผู้นี้ดูดเลือดของตัวเอง เพราะว่ามีเพียงนางที่รู้ว่าเลือดแท้หงส์สวรรค์ได้ปนเปื้อนพิษจำนวนมากที่หนานเค่อใส่ไว้
แผนการอันสุ่มเสี่ยงและน่ารังเกียจมากก็สำเร็จอย่างที่คิด แต่พอดีกันกับตอนที่นางเกิดความรู้สึกเสียดายภายหลังตอนนั้น ถ้าไม่ใช่ในช่วงเวลาสุดท้ายไป๋ไห่ถูกมือนั้นผลักออกไปจากคอของนาง เช่นนั้นก่อนที่เขาจะโดนพิษตายไปมีโอกาสสูงที่จะดูดเลือดแท้หงส์สวรรค์หยดสุดท้ายของนางจนหมด แล้วนางก็จะตายไปจริงๆ
นึกถึงตรงนี้ นางถึงมองไปยังเฉินฉางเซิง มือขวาจับธนูถงเก็บกลับมาที่หน้ากาย สีหน้าไม่แยแส มีความรู้สึกปฏิเสธผู้คนแผ่กระจายพันลี้
สีหน้าของดรุณีน้อยใสกระจ่างงดงามปรากฏเค้ารอยไม่แยแส หว่างคิ้วมีความสูงส่งชนิดหนึ่ง แสดงออกถึงความบริสุทธิ์งามสง่าอย่างยิ่ง ถ้าเป็นชายหนุ่มธรรมดา เห็นเพศตรงข้ามเช่นนี้อาจจะบังเกิดความรู้สึกไม่คู่ควร จากนั้นก็ตกหลุมรัก หรืออาจจะรู้สึกว่าศักดิ์ศรีถูกยั่วยุและรู้สึกไม่ปลอดโปร่ง แต่เฉินฉางเซิงไม่มีความรู้สึกทั้งสองแบบนี้ อยู่ในจิงตู เขาและผู้หญิงเช่นนี้อยู่ร่วมกันหลายครั้ง อย่างม่ออวี่กับลั่วลั่วเป็นต้น ด้วยความเคยชินกับสิ่งที่พิสุทธิ์ล้ำค่าเช่นนี้ เขาจึงแสดงออกอย่างสงบ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกว่าสาววัยเยาว์ผู้นี้ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งกับตัวเองอย่างยิ่ง ราวกับป่าฤดูใบไม้ผลิหลังฝนตกใหม่
สวีโหย่วหรงรู้สึกเหนือคาดเล็กน้อยกับความสงบของเขา และก็ค่อนข้างพอใจ เมื่อไม่เห็นท่าทีใดๆ ธนูยาวเล่มนั้นก็หายไป
เฉินฉางเซิงชะงักเล็กน้อย จากนั้นนึกถึงคำพูดบางอย่างที่เหมือนส่งเข้ามาในหูตอนที่สลบไปก่อนหน้านี้
สาววัยเยาว์ผู้นี้เป็นเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ในตำนานจริงหรือ?
จากคำเล่าลือในหลายปีก่อน ระหว่างเมืองต้าซีและต้าลู่ดินแดนตะวันออกไม่มีมหาสมุทรกว้างใหญ่ แต่กลับเชื่อมโยงเป็นแผ่นเดียวกัน เมืองต้าซีในตอนนั้นเรียกว่าสันเขาต้าซี มีเผ่าจิตวิญญาณพิสุทธิ์อาศัยอยู่ในสันเขาต้าซี เผ่านี้สมรสเชื่อมความสัมพันธ์กับเผ่าปีศาจ หลงเหลือรุ่นหลังที่เป็นลูกครึ่งจำนวนมาก ภายหลังเพราะการแยกตัวของแผ่นดินต้าซีและต้าลู่ ลูกครึ่งรุ่นหลังเหล่านี้หลงเหลืออยู่ที่ต้าลู่ซึ่งเป็นดินแดนตะวันตก เนื่องจากใบหน้าผิวพรรณที่สดใสสวยงาม ท่าร่างคล่องแคล่วรวดเร็ว ฉะนั้นถึงขนานนามว่าเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์
นอกจากความสวยงามสดใส ลักษณะเด่นที่รักธรรมชาติของผู้สืบทอดเผ่าจิตวิญญาณพิสุทธิ์ สิ่งที่เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือวิชาธนู ทุกชนเผ่าล้วนถนัดธนูมากเป็นพิเศษ ในการต่อสู้ระหว่างเผ่าปีศาจและเผ่ามาร เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์แสดงความสามารถสำคัญที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และเป็นเพราะสาเหตุนี้ จึงกลายเป็นคู่กรณีที่อาฆาตมากที่สุด ในที่สุดเมื่อสองพันปีก่อน เนื่องจากการหักหลังของเผ่าหมาป่า ภูเขาดั้งเดิมของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ถูกล้อมรอบด้วยกองทัพทหารของเผ่ามาร เผ่าปีศาจกอบกู้ไม่ทัน เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างโหดร้าย และสิ้นเผ่าพันธุ์ตั้งแต่ตอนนั้น มีเพียงคนในเผ่าพันธุ์ที่อายุน้อยหนีออกมาจากกลุ่มภูเขาผ่านเส้นทางเชื่อมใต้ดินที่เล็กแคบ
ถ้านิทานมาถึงตรงนี้ก็คงจะจบลง บางทีมันอาจจะดีกว่า แต่ความจริงแล้ว เหล่าเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ที่หนีออกมาจากการทารุณกรรมของเผ่ามารถูกบีบเข้าสู่โชคชะตาที่ยิ่งอนาถ เนื่องจากใบหน้าที่สวยงาม และร่างกายที่น่าดึงดูด เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ที่ไม่สามารถกลับไปที่สองชายฝั่งแม่น้ำแดงได้ แน่นอนว่ากลายเป็นเหยื่อของผู้มีอิทธิพลจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเผ่าชนชั้นสูงในเมืองเสวี่ยเหล่า หรือว่าตระกูลชนชั้นสูงของเผ่ามนุษย์ ล้วนถือเป็นเกียรติในการครอบครองเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์หนึ่งคนเป็นผู้รับใช้
โชคชะตาที่อนาถของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ เนื่องจากต่อสู้กับเผ่ามารด้วยการสมรสเชื่อมความสัมพันธ์ของเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจเมื่อพันปีมานี้ ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น จักรพรรดิไท่จงออกพระบรมราชโองการ ห้ามซื้อขายเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ เพียงแต่ในจวนของตระกูลสูงเชื้อพระวงศ์จำนวนมาก ยังคงแอบเก็บเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์จำนวนมาก จนกระทั่งองค์หญิงใหญ่แห่งเมืองต้าซีสมรสกับจักรพรรดิขาว อีกทั้งมีสัมพันธ์ที่ดีกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ คำสั่งการห้ามในเรื่องนี้จึงมีความเข้มงวดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง หลังจากตระกูลสูงส่งทางใต้ตระกูลหนึ่งถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ฆ่าล้างตระกูลเพราะแอบเลี้ยงและฆ่าทรมานผู้รับใช้เผ่าจิตคนวิญญาณพรสวรรค์กว่าสิบคน โลกเผ่ามนุษย์ถึงจะไม่มีสิ่งเหล่านี้ให้เห็นอีกอย่างแท้จริง
แต่ประสบกับการเป็นผู้รับใช้และทรมานมาหลายปี เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ที่เดิมก็หลงเหลือไม่มากก็ร่อยหรอ ตอนนี้เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ส่วนใหญ่ล้วนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไป๋ตี้ หรืออาจจะเดินทางไกลข้ามทะเลไปยังเมืองต้าซี ภายในหลายสิบปีนี้ ไม่ว่าจิงตูหรือเมืองเวิ่นสุ่ย ล้วนยากมากที่จะเห็นเงาหลังของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์
รู้ว่าสาววัยเยาว์ผู้นี้เป็นเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ สายตาที่เฉินฉางเซิงมองนางหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความสงสารเล็กน้อย ใจคิดมิน่าเพียงแค่ธนูเล่มหนึ่ง ก็สามารถเข้าสวนโจว ในขณะเดียวกันสำหรับความเย็นชาที่หว่างคิ้วของนางก็เพิ่มความปล่อยวางมากยิ่งขึ้น ถ้าเขาเป็นเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์แทน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกที่ดีต่อเผ่ามนุษย์เช่นกัน
เขาเพิ่งตื่นมา มีเรื่องจำนวนมากที่ยังไม่ได้ทำความเข้าใจ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตัวเองถึงอยู่ในถ้ำหน้าผานี้ ก่อนที่จะสลบไปเมื่อคืน แสงสว่างที่ตัวเองเห็นเป็นครั้งสุดท้ายคืออะไร?
เขาถามว่า “เจ้าช่วยข้าไว้หรือ?”
สวีโหย่วหรงพูดอย่างสงบว่า “เจ้าไม่ต้องขอบคุณ”
เฉินฉางเซิงไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร ใจคิดหรือว่าก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้ช่วยเจ้าเอาไว้? ชะงักเล็กน้อยแล้วถามว่า “ขอถามเจ้าคือ?”
สวีโหย่วหรงชะงักเล็กน้อย เพิ่งจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามสังเกตตัวเองไม่ออก…ต้องรู้ว่าในวันปกติไม่ว่านางไปปรากฏตัวอยู่ที่ไหน ล้วนถูกคนอื่นมองออก เพราะว่าคุณสมบัตินางไม่ธรรมดา ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ นางเกิดมาก็งดงามอย่างยิ่ง
นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการหลงตัวเอง เป็นความจริงที่ปราศจากความลำเอียง เพราะว่านางเป็นสตรีที่สวยที่สุดที่ได้รับการยอมรับของทั้งต้าลู่ ขนาดเหล่าเผ่าสูงส่งของเผ่ามารในเมืองเสวี่ยเหล่าก็ไม่คัดค้านจุดนี้แม้แต่นิดเดียว
นางเดิมอยากจะถามว่าเจ้าไม่รู้จักข้าจริงหรือ จากนั้นเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ก่อนที่ตัวเองจะเข้าสวนโจว ได้ขอให้นักบวชของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าทำการแปลงโฉม…
เพราะว่านางไม่อยากเจอเจ้าหนุ่มคนนั้น
เนื่องจากนึกถึงเจ้าหนุ่มคนนั้น นางรู้สึกยิ่งเหนื่อยล้า ถามด้วยเสียงทุ้มว่า “เจ้ายังเดินได้ไหม?”
ตอนนี้เฉินฉางเซิงบาดเจ็บสาหัสยังไม่หายดี เพิ่งฟื้นตื่นขึ้นมาจากการสลบ ทั้งตัวไร้เรี่ยวแรง แต่ไม่อยากกลายเป็นตัวถ่วงของฝ่ายตรงข้าม จึงพูดว่า “ได้”
“ดีมาก เช่นนั้นเจ้าพาข้าไป” สวีโหย่วหรงพูดอย่างสงบว่า “ห้ามทิ้งข้า”
เฉินฉางเซิงชะงักอีกครั้ง ใจคิดที่แท้หมายความเช่นนี้นี่เอง โคจรพลังปราณแท้เล็กน้อย ยืนยันสภาพของตัวเองครั้งหนึ่ง จากนั้นพยักหน้าขึ้นลง
เขาฝืนตอบตกลง ไม่ใช่เพราะฝืนใจ แต่เป็นเพราะสภาพร่างกายย่ำแย่มากจริงๆ
สวีโหย่วหรงรู้สภาพร่างกายของเขาชัดเจนมาก แต่ไม่ได้พูดจาปลอบใจหรือให้กำลังใจ ในมุมมองของนาง พวกการกระทำที่ไร้สาระเหล่านั้นนอกจากเสียแรงกายแล้วไม่มีความหมายใดๆ
“ข้าเสียเลือดไปจำนวนมาก ข้าอ่อนแอมาก” นางพูดต่อไป
เฉินฉางเซิงในใจคิดตอนที่ตัวเองตื่นขึ้นมา เห็นตัวประหลาดเฒ่าตัวนั้นกำลังดูดเลือดเจ้าก็จริง แต่สายตาของเจ้าในตอนนั้นช่างสงบเช่นนั้น อีกทั้งตัวประหลาดเฒ่านั่นก็ตายด้วยพิษในเลือดของเจ้า ชัดเจนมากว่าเป็นกับดักที่เจ้าวางไว้ เวลานี้มาพูดเช่นนี้ทำไมอีก? อีกอย่าง ทำไมตัวประหลาดเฒ่าต้องดูดเลือดของเจ้าด้วย?
สวีโหย่วหรงเห็นเขาไม่เข้าใจความหมายของตัวเอง จึงทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย พูดว่า “ข้ารู้สึกว่าน่ารังเกียจมาก”
เฉินฉางเซิงถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “แล้ว?”
สวีโหย่วหรงพูดว่า “ข้าไม่อยากรื้อฟื้นภาพเมื่อครู่ อีกทั้งข้าอ่อนแอมาก ดังนั้น ข้ากำลังจะหมดสติ”
พูดประโยคนี้เสร็จ นางไม่ให้โอกาสเฉินฉางเซิงในการปฏิเสธหรือสอบถามใดๆ ปิดตาอย่างปุบปับฉับพลัน พิงกำแพงหินถ้ำหน้าผา และก็สลบไปทั้งอย่างนี้
เฉินฉางเซิงถูกการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันเช่นนี้จนทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย คิดแล้วคิดอีกกลับรู้สึกว่าคำพูดของสาววัยเยาว์ผู้นี้มีเหตุผลอย่างแท้จริงมาก ไม่ยอมไม่ได้
เขาไม่ได้รีบพานางจากไป เพราะว่าเขาก็ต้องปรับลมหายใจฟื้นพลังเช่นกัน อีกทั้งต้องตรวจสอบสภาพร่างกายของตัวเองอย่างละเอียด
เมื่อคืนที่อยู่ที่ข้างทะเลสาบที่ฝั่งสระเยือกเย็น ต่อสู้กับผู้หญิงเผ่ามารที่น่ากลัวสองคนนั้น อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก เขาไม่อยากเพิ่งพยุงสาววัยเยาว์ผู้นั้นถึงนอกถ้ำหน้าผา ตัวเองก็กระอักเลือดแล้วตาย
จิตวิญญาณที่ออกมาจากห้วงแห่งจิตของตนก็คือจิตสัมผัส แต่หากเข้าไปในห้วงแห่งจิตก็จะเป็นการถอดจิตสำรวจเอง
เขามองเห็นน้ำทะเลสาบที่นอกแดนลี้ลับแห่งนั้น สิ่งที่แตกต่างจากเดิมคือ โดยรอบของก้อนทรงกลมที่ก่อรูปขึ้นจากน้ำทะเลสาบแห่งนั้นปนเปื้อนหิมะน้ำแข็งจำนวนมาก กระจายความหนาวเย็นไปยังบริเวณรอบๆ หรือก็คือภูเขาวิญญาณที่อยู่ในแดนลี้ลับลูกนั้น มองไม่ค่อยชัด มีลมพัดผ่านมาบ้าง หิมะน้ำแข็งเหล่านั้นก็ค่อยๆ ตกลง ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน บนที่ราบรกร้างปกคลุมด้วยสีขาวชั้นหนึ่ง
ในตอนที่ต่อสู้เมื่อคืน เขาแผดเผาปราณแท้จนหมด หิมะสะสมเหล่านั้นบนที่ราบรกร้างละลายหายไปนานแล้ว ในสวนโจวก็ไม่สามารถรู้สึกถึงดวงดาวโชคชะตาได้ ขณะเขากำลังกังวลว่าปราณแท้ไม่สามารถฟื้นฟูได้ก็เห็นภาพฉากนี้ จึงมีความประหลาดใจเล็กน้อย น้ำทะเลสาบที่นอกแดนลี้ลับแห่งนั้นทำไมถึงหนาวเย็นขนาดนี้?
จิตสัมผัสของเขาทะลุผ่านเกล็ดน้ำแข็งที่อยู่ผิวนอกของน้ำทะเลสาบ เข้าลึกลงไปต่อ จากนั้น…เห็นภาพฉากหนึ่งที่ทำให้ใบหน้าเปลี่ยนสี
มังกรดำที่ผอมเรียวตัวหนึ่งกำลังนอนแน่นิ่งอยู่ในน้ำทะเลสาบ ปล่อยลมหายใจของตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อน ลมหายใจเหล่านั้นช่างเยือกเย็นเช่นนี้ บริสุทธิ์เช่นนี้
เฉินฉางเซิงเพิ่งจะรู้ว่าเป็นเหมือนเมื่อตอนถอดจิตฆ่าตัวตายที่ใต้ดินในตอนนั้น มังกรดำช่วยเหลือชีวิตตัวเองอีกชีวิตหนึ่งแล้ว ความหนาวเย็นเหล่านั้นมาจากส่วนลึกของวิญญาณมังกร ช่วยเขาฟื้นฟูปราณแท้อยู่ ลดความเร็วการไหลเวียนโลหิตของเขา ในเวลาเดียวกันก็ฟื้นฟูพันบาดหมื่นแผลของอวัยวะภายในเขา เพียงแต่เมื่อเทียบตอนที่อยู่ในใต้ดินแล้ว มังกรดำตอนนี้ตัวเล็กกว่าหลายเท่า ม้วนร่างกายอยู่ในน้ำทะเลสาบ ก็เหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่ขี้เซา มองดูแล้วน่ารักมาก
มังกรดำตอนนี้เป็นแค่วิญญาณตนหนึ่ง เพื่อที่จะช่วยเขา คิดว่าก็คงจะลงทุนสิ่งล้ำค่าไปมาก ถึงได้นอนหลับสนิทตลอดเวลา
ถ้าไม่มีมัน เขาในเวลานี้อาจจะตายไปนานแล้ว เขามองไปยังข้อมือที่มีหยกหรูอวี้ก้อนนั้นเพิ่มขึ้นมา เงียบขรึมไร้คำพูด
จากนั้นเขาก็มองไปยังสาววัยเยาว์ชุดขาวที่พิงกำแพงหินสลบไม่ตื่นผู้นั้น เขาไม่รู้ว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไร แต่พอจะเข้าใจ ถ้าไม่มีนาง ตัวเองในเวลานี้อาจจะตายไปแล้ว สาววัยเยาว์ผู้นี้เป็นคนเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ แม้มนุษย์กับปีศาจจะเดินในเส้นทางต่างกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเผ่าปีศาจมีความใกล้ชิดอย่างมากมาตลอด ไม่ต้องพูดถึงว่าสาววัยเยาว์ผู้นี้เคยช่วยเหลือชีวิตเขา เขาก็ไม่ทิ้งนางไว้เป็นแน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้
เพียงแต่จะทำอย่างไรถึงจะพานางไปได้? เฉินฉางเซิงฟื้นฟูพลังขึ้นมาบ้างแล้ว คุกเข่าอยู่ข้างหน้าสาววัยเยาว์ชุดขาว ยื่นมือทำท่าทางอยู่หลายท่า รู้สึกไม่ค่อยเหมาะสมอยู่เสมอ ในเวลานี้ที่ตื่นเต้นเช่นนี้ เขาไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างชายหญิงราวกับสัตบุรุษเปี่ยมคุณธรรม เพียงแต่เขาไม่มีประสบการณ์ด้านนี้จริงๆ…จับที่คาดเอวแล้วยกนางไว้ที่มือ? พยุงโอบไหล่แล้วไปด้วยกัน? อุ้มนางแนวนอนแนบในอ้อมอก? ในที่สุดวิธีที่ง่ายที่สุดยังคงเป็นที่น่าไว้ใจที่สุด เขาแบกนางไว้ที่หลัง สองมือพยุงต้นขาของนางไว้
เขาแบกนางเดินออกจากถ้ำหน้าผา สังเกตสภาพแวดล้อมรอบข้าง เหยียบย่ำใบไม้ร่วงกลางป่า แต่แล้วเขายังไม่ทันเดินถึงปากทางจุดเลี้ยวตัวอักษรจือของถนนภูเขาด้านหน้า ก็หยุดการก้าวเท้าลง