ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 79 สอนเต็มเวลา (1)
โลหิตสดๆ หยดลง มิได้ไหลออก ด้วยถูกตัวกระบี่ปิดทางไว้ แต่ไม่รู้ทำไมเฉินฉางเซิงคล้ายรู้สึกถึงความอุ่นของโลหิต กระทั่งรู้สึกว่ามือเปียกและเหนียว ไม่สบายใจอย่างยิ่ง แต่แล้วเขาก็คิดได้ว่า นี่คลับคล้ายความรู้สึกของการฆ่าคนครั้งแรก ตนจากเมืองซีหนิงไปจิงตู เข้าร่วมงานชุมนุมไม้เลื้อย เข้าสอบใหญ่ ต่อสู้ จากนั้นก็เข้าสู่สวนโจว ทำการต่อสู้อีกหลายต่อหลายครั้ง แต่นอกจากสามีภรรยาเผ่ามารที่เสียชีวิตหน้าสุสานโจวแล้ว ก็ไม่เคยมีใครเสียชีวิตใต้คมกระบี่ของเขา ตอนนี้จึงพูดได้ว่า เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเป็นคนแรกที่ถูกเขาฆ่าตาย
เถ้าแก่ค่อยๆ ล้มลงตรงหน้าเขา ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ยินยอมและสิ้นหวัง ไม่เห็นความเย็นชาที่มีอยู่แต่แรก เห็นเพียงใบหน้าสีเทา
เฉินฉางเซิงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนดึงกระบี่สั้นออกจากท้องน้อยเถ้าแก่ จากนั้นก็เงียบไปอีกพักหนึ่ง ค่อยหันมองซูหลี พลางใช้สายตาถาม… ไม่ว่าดูอย่างไร เถ้าแก่ก็ไม่เหมือนมือสังหาร แต่เสี่ยวเอ้อร์สิ กลับมีหลายอย่างชวนให้สงสัยมากกว่า แต่เหตุใดผู้อาวุโสจึงยืมกระบี่ข้าฆ่าเถ้าแก่?
เฉินฉางเซิงไม่เหมือนเด็กหนุ่มเลือดร้อนหลายคน ที่หุนหันพลันแล่นกล่าวหาว่าซูหลีหลับหูหลับตาฆ่าผู้บริสุทธิ์ เขาพยายามทำใจให้เยือกเย็น โดยไม่ตัดสินอะไรใครก่อน
และนี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุด ที่ทำให้ซูหลีพอใจเป็นอย่างยิ่ง จึงว่า “ถ้าเจ้าอยากถามว่า ทำไมข้าถึงฆ่าเขา ข้าก็ไม่สามารถใช้คำพูดง่ายๆ อธิบายให้เจ้าฟังได้หรอก”
เฉินฉางเซิงถาม “บนร่างเขาไม่มีรังสีฆ่าฟัน และไม่มีพลังปราณไหลเวียนแบบผู้บำเพ็ญเพียร”
ซูหลีวางชามโจ๊กในมือลงบนโต๊ะ แล้วหยิบตะเกียบชี้ไปยังกองโลหิตบนศพเถ้าแก่ พลางว่า “อุตส่าห์เปิดโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ในค่ายทหารทั้งที แต่เหตุใดรังสีฆ่าฟันในตัวเถ้าแก่จึงไม่มีแม้แต่น้อย?”
เฉินฉางเซิงคิดๆ ดู ค่อยรู้ความหมายของเขา แน่นอนว่า นี่เป็นข้อสงสัยอย่างหนึ่ง
ซูหลีพูดต่อ “อีกอย่างเขาเหมือนเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเกินไป เย็นชา โมโหง่าย…ซึ่งความจริงแล้ว นิสัยเช่นนี้เหมาะกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมทั่วไปมากกว่า แต่สำหรับเถ้าแก่ที่ต้องเฝ้าโรงเตี๊ยมเก่าๆ ในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้แล้ว สามารถเย็นชา จนด้านชาด้วยซ้ำ ไหนเลยจะมีกะใจสั่งสอนเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมเล่า?”
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าตนกำลังถูกสอนสั่ง ดังนั้นจึงตั้งใจฟัง
ซูหลีหยิบตะเกียบชี้ไปที่ศพเถ้าแก่ พลางพูดต่อ “แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงข้อสงสัย ไม่ใช่หลักฐาน หลักฐานอยู่ที่ ร่างของเขาไม่มีพลังปราณไหลเวียน แต่มีไอพลังปราณ”
เฉินฉางเซิงนั่งยองๆ ลงข้างศพ พลิกร่างเถ้าแก่ไปมา ก่อนพบของวิเศษที่ถูกทำให้มีหน้าตาคล้ายหยกประจำตัว โดยของวิเศษนี้ใช้กักเก็บการไหลเวียนพลังปราณในร่าง
“เรื่องนี้ข้าไม่มีปัญญาสอนเจ้า รอให้เจ้าบำเพ็ญเพียรเท่าข้า ย่อมสามารถรู้สึกถึงไอพลังปราณได้เอง” พูดจบ ซูหลีก็ยกชามโจ๊กขึ้นกินต่อ ดูท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใสของเขาแล้ว คล้ายพออกพอใจผักดองที่ทางโรงเตี๊ยมจัดไว้ให้มาก
“เดิมทีข้าก็สงสัยในตัวเสี่ยวเอ้อร์ เพราะเมื่อคืนเขาดีต่อเรามาก อีกทั้งมือของเขา…” เฉินฉางเซิงหันมองเสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะ สายตาหยุดอยู่ที่ง่ามนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ข้างขวา เห็นเนื้อด้านๆ อยู่วงหนึ่ง คล้ายรอยที่เกิดจากการจับกระบี่มานาน
เสี่ยวเอ้อร์สีหน้าซีด สั่นไปทั้งตัว ท่าทางตกใจอย่างเห็นได้ชัด
ซูหลีกินโจ๊ก พลางพูดจาสบายๆ “เนื้อด้านๆ ตรงง่ามนิ้วนั่น ไม่เชิงว่าเป็นรอยจับกระบี่ อาจเป็นรอยจับมีดหั่นผัก”
มีดหั่นผักกับกระบี่ แม้เป็นของมีคมที่ไม่เหมือนกัน แต่การจับด้ามมีดกับด้ามกระบี่ไม่มีอะไรแตกต่างกันนัก เฉินฉางเซิงก้มดูกระบี่สั้นในมือที่เปื้อนโลหิต ลมหายใจเปลี่ยนเป็นนิ่งลง เพราะตกใจฉับพลัน เมื่อครู่ถ้ามิใช่ซูหลีใช้ตะเกียบหยุดเขาไว้ เขาอาจใช้กระบี่ในมือแทงใส่เสี่ยวเอ้อร์ไปแล้ว นั่นหมายความว่าคนแรกที่เขาฆ่าคือผู้บริสุทธิ์
ถ้าฆ่าผิดคน แล้วจะทำอย่างไร? ชีวิตคนเกิดมาเพียงครั้งเดียว ถ้าฆ่าผิดก็คือความผิด ไม่มีทางแก้ไขชดใช้ นี่เป็นเรื่องจริงที่เขายากรับไหว
“ฆ่าคนแล้ว! ฆ่าคนแล้ว!”
ในตอนนี้เอง เสี่ยวเอ้อร์คล้ายได้สติ พอเห็นร่างเถ้าแก่นอนจมกองโลหิตก็ร้องโวยวายเสียงดัง คิดวิ่งออกจากโรงเตี๊ยม แต่ด้วยความกลัว จึงลนลานวิ่งสะดุดร่างเถ้าแก่ ล้มลงกับพื้น ยังไม่ทันรู้สึกเจ็บ ก็รีบลุกขึ้นยืน แต่กลับเหยียบโลหิตที่ทั้งลื่นและเหนียวเข้า ล้มหัวทิ่มหัวตำอีกครั้ง มองไปแล้วน่าเวทนายิ่ง
เฉินฉางเซิงอยากขออภัยเขา จึงเข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น แต่ซูหลีกินอาหารเช้าเสร็จพอดี จึงวางชามลงและเช็ดปากอย่างพอใจ ก่อนทิ้งตะเกียบด้วยท่าทางสบายๆ แบบผู้มีอันจะกิน แต่ตะเกียบที่คล้ายถูกทิ้งตามอำเภอใจของเขา กลับตกลงบนกระดูกซี่โครงของเฉินฉางเซิงพอดี
พลังที่อ่อนแรงแต่น่าทึ่งสายหนึ่งพุ่งเข้าสู่ร่างเฉินฉางเซิงและควบคุมการเคลื่อนไหวของเขา ทำให้เขาเบี่ยงกายเล็กน้อย ขณะเดียวกัน มือขวาที่ยังจับกระบี่สั้นที่เปื้อนโลหิตก็ยื่นไปข้างหน้าทันที
เสียงฉึก กระบี่สั้นอันแหลมคมตัดเส้นใยแข็งๆ ที่คล้ายเกราะอ่อนให้ขาดออกจากกันอย่างง่ายดาย ก่อนแทงเข้าไปในทรวงอกของเสี่ยวเอ้อร์ ลึกจนถึงหัวใจ
เสี่ยวเอ้อร์ตกใจหน้าตื่น ส่งเสียงครืดๆ ในลำคอ โลหิตสดๆ ไหลออกจากปาก แล้วจึงค่อยๆ ล้มลงกับพื้น เสียชีวิต
ครั้งนี้เฉินฉางเซิงตะลึงงันเข้าให้จริงๆ สีหน้าซีดขาวทันที
ตอนนี้ กระบี่สั้นได้ปักคาอกเสี่ยวเอ้อร์แล้ว แต่ในมือเขายังคล้ายรู้สึกถึงตอนที่คมกระบี่แทงเข้าไปในหัวใจซึ่งเต้นช้าลงเรื่อยๆ จนนิ่งไปในที่สุด
เขาหันไปจ้องมองซูหลีอย่างไม่ไว้วางใจ ตอนนี้ถ้าซูหลีไม่สามารถบอกเหตุผลที่เพียงพอ อย่างน้อยก็ต้องบอกเหตุผลที่มีน้ำหนักกว่าของเถ้าแก่ มิฉะนั้นแล้วเขาคงยากที่จะรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ ดีเลย ในเมื่อต้องการพิสูจน์จริงจัง เขาก็ต้องตรวจดูเอง จึงใช้มืออันสั่นเทาพลิกศพกลับมา พอเห็นชัดว่า ในมือเสี่ยวเอ้อร์มีหน้าไม้ขนาดเล็กที่ขึ้นลูกดอกอาบยาพิษอยู่ จึงค่อยรู้สึกโล่งใจ
“ผู้อาวุโสท่าน…ดูออกได้อย่างไรอีก?”
สายตาไม่ไว้วางใจที่จ้องมองซูหลีหายไป เต็มไปด้วยความนับถือแทน
ซูหลีว่า “เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าเถ้าแก่ดุด่าเสี่ยวเอ้อร์ว่าอะไร?”
ตอนนั้นเฉินฉางเซิงเอาแต่จับตามองความเคลื่อนไหวของเถ้าแก่กับเสี่ยวเอ้อร์ จึงมิได้ใส่ใจบทสนทนาของทั้งสอง
“เถ้าแก่ด่าว่าอย่างเผ็ดร้อน เต็มไปด้วยประเด็น ข้าหมายถึงประเด็นหลัก เช่นเสี่ยวเอ้อร์เอาแต่กินกับขี้เกียจ…นี่หมายความว่าอะไร หมายความว่าพวกเขารู้จักกันจริง” ซูหลียืนขึ้น มองดูศพทั้งสองที่อยู่หน้าโต๊ะ พลางว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าทั้งสองเป็นสหายที่โตมาด้วยกัน? ใครจะไปรู้ล่ะ ข้ารู้แต่เพียงว่า สหายของมือสังหาร ย่อมเป็นมือสังหารเช่นกัน”
เฉินฉางเซิงรู้สึกนับถืออีกครั้ง พลางคิดในใจ การใส่ใจในรายละเอียดเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะ ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์ที่เหนือกว่า เพียงแต่อย่างไรเหล่านี้ก็เป็นการคาดเดาส่วนหนึ่ง…แล้วถ้าฆ่าผิดคนล่ะ จะทำอย่างไร?
“แต่ถ้าฆ่าผิดคน? ก็ผิดไปสิ ยังจะทำอะไรได้?”
ซูหลีพูดหน้าตาเฉย จากนั้นก็กางแขนทั้งสองข้างออก พลางว่า “ยังจะรออะไรอีก? ไม่รีบเข้ามาพาข้าไป”
เฉินฉางเซิงถึงได้สติ “จะไปแล้วหรือ?”
ซูหลีเริ่มหงุดหงิด “หรือจะรอให้ทหารในค่ายมาจับตัวล่ะ?”
เฉินฉางเซิงจึงไม่กล้าพูดอะไร รีบฉวยโอกาสแบกซูหลีหนีไปทางใต้ท่ามกลางพายุหิมะ ก่อนที่คดีโลหิตในโรงเตี๊ยมจะสร้างความตื่นตกใจให้กับเหล่าทหารในค่าย
……
……
ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของค่ายทหาร ในป่าหลิวดำ ทั้งสองหยุดพักหายใจชั่วขณะ
จริงๆ แล้วเฉินฉางเซิงยังไม่ค่อยเข้าใจ เมื่อกลุ่มคนที่ต้องการฆ่าซูหลีรู้เบาะแสของเขาแล้ว เหตุใดยังต้องปิดบังสถานะ สู้ติดต่อกองทัพต้าโจวให้มาคุ้มครองโดยตรงไม่ดีกว่าหรือ
ซูหลีจึงว่า “สองคนนั้นเป็นมือสังหารปลายแถว ที่อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าเป็นใคร พวกมันเพียงบังเอิญเคลื่อนไหวอยู่ในเขตนี้เท่านั้น”
เฉินฉางเซิงจึงถาม “แล้วมือสังหารทั้งสองเป็นใคร?”
ซูหลีเริ่มรำคาญนิดหน่อย ก่อนว่า “ก็บอกแล้วไงว่าเป็นพวกปลายแถว ข้าจะไปรู้รึว่าพวกมันเป็นใคร?”
เฉินฉางเซิงคิดๆ ดู แล้วว่า “ความหมายของท่านคือ มือสังหารทั้งสองเพียงถูกว่าจ้างด้วยเงิน แต่ถ้าท่านเปิดเผยสถานะ ผู้มาก็ไม่ใช่มือสังหารฝีมืออ่อนด้อยแล้ว เป็นมืออาชีพจริงๆ?”
“เหตุผลง่ายๆ แค่นี้ ยังต้องให้อธิบายละเอียดอีกหรือ? เจ้านี่เป็นคนเยิ่นเย้อตั้งแต่เมื่อไหร่นี่?”
เฉินฉางเซิงคิดว่า แม้ตนไม่ถึงกับเคร่งขรึม ทว่าปกติก็ไม่ถนัดพูดเช่นกัน เพียงแต่ผู้อาวุโสท่านชอบทำอะไรเหนือความคาดหมาย ถ้าไม่ถามให้เข้าใจจะรู้สึกเคว้งคว้าง
เขาจึงยืนหยัดถามต่อ “เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดพวกมารถึงไม่กระจายข่าวเบาะแสของท่านออกไปตรงๆ เล่า?”
ซูหลีว่า “เพราะคนชุดดำก็ยังไม่แน่ใจว่าข้าอยู่ไหน มนุษย์บนโลกที่สมคบคิดกับมาร หรือพูดได้ว่าเป็นพวกเดียวกับมาร ตอนนี้ได้กระจายกำลังออกไล่ล่าข้าไปทั่ว แน่นอน ต่อให้คนเหล่านี้รู้เบาะแสข้า ก็ไม่มีทางกระจายข่าวนี้ออกไป”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ “เพราะอะไร?”
ซูหลีว่า “เพราะนอกจากมีคนมากมายที่คิดฆ่าข้าแล้ว ก็ยังมีคนอีกมากมายที่คิดช่วยข้า”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจอีก หรือว่า พอโลกรู้เบาะแสของผู้อาวุโส ก็จะมีคนมากมายเดินทางจากแดนไกลมาช่วยท่าน?
“ข้าเป็นใคร?” ซูหลีถามจริงจัง พลางมองหน้าเขา
เฉินฉางเซิงในตอนนี้คุ้นชินกับบทสนทนาลักษณะนี้ของเขาแล้ว รู้สึกเอือมระอาและด้านชาอยู่บ้าง จึงได้แต่ตอบกลับแบบหุ่นกล “อาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซาน ผู้เชี่ยวชาญในเส้นทางกระบี่ แบบอย่างของผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นหลัง”
เมื่อเทียบกับมังกรดำแล้ว เห็นชัดว่าซูหลีสนใจเพียงเปลือกนอก ไม่ติติงเขาที่มิได้ตอบจากใจจริง เพียงพูดอย่างหยิ่งทะนงว่า “นี่คือบทสรุปมิใช่หรือ เมื่อข้าเป็นแบบอย่างของคนมากมาย ถ้าพวกเขารู้ว่าข้าบาดเจ็บ และกำลังตกระกำลำบาก มีหรือที่คนเหล่านี้จะไม่รีบมาช่วยข้า?”
เฉินฉางเซิงไม่อยากสนทนาหัวข้อนี้ต่อ จึงถามขึ้น “ผู้อาวุโส เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรต่อ?”
ซูหลีว่า “ย่อมต้องหลบหลีกสายตาผู้คน แอบส่งข้ากลับเขาหลีซาน”
เฉินฉางเซิงคิดว่า เขาหลีซานอยู่ทางทิศใต้ ห่างจากที่นี่หลายหมื่นลี้ การส่งกลับเขาหลีซานนั้นลำบากเอาการ ทั้งยังต้องปิดบังไม่ให้ใครรู้อีก…
ผู้คนที่เป็นห่วงตนจะร้อนใจไปถึงไหนแล้วหนอ?
“ผู้อาวุโส ทำไมไม่ให้คนจากเขาหลีซานมารับท่านเล่า?”
“เจ้าโง่ เขาหลีซานห่างไกลจากที่นี่มาก รอให้ศิษย์หลานลูกศิษย์พวกนั้นมาถึง กับข้าวก็เย็นหมดแล้ว”
เฉินฉางเซิงคิดในใจ ที่ที่ใกล้สุดก็คือที่ทำการทัพเหนือแห่งต้าโจว แต่ท่านกลับไม่ยอมไป จึงอดไม่ได้ที่จะพูดจริงจัง
“ผู้อาวุโส ข้าไม่เข้าใจว่า เหตุใดท่านไม่คิดขอความช่วยเหลือจากทัพเหนือแห่งต้าโจว หากเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี ข้าสามารถไปขอแทนท่านได้ พวกเขาต้องส่งคนมาคุ้มครองและส่งเรากลับจิงตูจนได้”
ซูหลีมองพลางยิ้มเย็นชา “หัวหน้าสำนักฝึกหลวงอย่างเจ้าแน่นักหรือไร?”
เฉินฉางเซิงคิดในใจ หัวหน้าสำนักฝึกหลวงอย่างตน แม้อยู่ต่อหน้าท่านผู้อาวุโสไม่นับเป็นตัวอะไร แต่สำหรับต้าโจว ก็พอจะมีน้ำหนักอยู่
“แต่เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่า ตอนที่สายตาทุกคู่จ้องมองมาที่เจ้า สถานะของข้าก็ถูกเปิดเผยอยู่ดี” ซูหลีว่า
เฉินฉางเซิงจ้องมองเขาพลางพูดจากใจจริง “เมื่อกลุ่มคนที่อยากฆ่าท่านปรากฏตัว ก็ย่อมเผยให้เห็นสถานะและเบาะแสของท่าน ตอนนี้สิ่งแรกที่เราต้องแข่งคือเวลา เขาหลีซานอยู่ไกลมาก จิงตูก็ไกลมาก แต่กองทัพต้าโจวอยู่ใกล้แค่นี้ ขอเพียงเปิดเผยสถานะ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีก?”
พูดไปพูดมา ก็วกกลับมาที่คำแนะนำแรก ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาไม่เข้าใจมากสุด
ซูหลีมองเขาพลางทอดถอนใจ “ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่า เจ้าบริสุทธิ์จริงหรือโง่กันแน่”
เฉินฉางเซิงอึ้ง ไม่เข้าใจว่านี่หมายความว่าอะไร
ซูหลีคล้ายหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ มองเขาพลางว่า “เจ้ามักพูดว่า ข้าควรขอความช่วยเหลือจากกองทัพต้าโจว หรือเจ้าไม่รู้ว่า…ในดินแดนต้าลู่ ผู้ที่อยากให้ข้าตายมากสุด ก็คือคนต้าโจวของพวกเจ้า?”
สิ้นเสียงเขา หิมะที่ค้างอยู่บนต้นหลิวพลันปลิวลงบนพื้น
อากาศหนาวเย็นลง
พื้นดินสั่นไหวเล็กน้อย กองทหารม้าชุดขาวมากมายห้อตะบึงอยู่บนที่ราบหิมะในระยะไกล
คนเหล่านี้ก็คือทหารม้าผู้ห้าวหาญสุดบนที่ราบหิมะของกองทัพเหนือแห่งต้าโจว พวกเขาคล้ายกำลังตามหาอะไรบางอย่าง