ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 80 สอนเต็มเวลา (2)
เฉินฉางเซิงมองทะลุป่าหลิวดำ ไปยังกองทหารม้าผู้ห้าวหาญแห่งต้าโจว ค่อยเข้าใจคำพูดเมื่อครู่ของซูหลีที่ว่า นอกจากพวกมารแล้ว ผู้ที่อยากให้เขาตายมากสุดในต้าลู่คือคนต้าโจว ซึ่งพิสูจน์ได้จากการส่งกองทหารม้าผู้ห้าวหาญแห่งต้าโจวออกตามหาเป้าหมายไปทั่วทุกแห่งหน แต่เขาก็ยังคิดถึงความเป็นไปได้ที่ว่า หรือทหารม้าเหล่านี้จะมาช่วยชีวิตพวกเขา?
“ทำไมข้าถึงชอบคิดไปในทางลบน่ะหรือ?” ซูหลีพูดประชดต่อ “ก็เพราะเรื่องทุกอย่างล้วนพัฒนาจากความคิดที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์อย่างไรล่ะ”
ราวกับต้องการพิสูจน์คำพูดนี้ กองทหารม้าหลายร้อยนายแบ่งออกเป็นหลายสิบกลุ่ม มุ่งหน้าสู่ป่าหลิวดำ คล้ายระบายเส้นสีดำลงบนพื้นหิมะสีขาวโพลนอันจำเจ พอควบม้ามาถึงหน้าป่าหลิวดำ เหล่าทหารก็ทยอยกันชักอาวุธออกจากอานม้า สวมหมวกเกราะ เห็นชัดว่าระมัดระวังตัวมาก… ไม่ว่าดูมุมไหน ทหารม้าเหล่านี้ก็ไม่เหมือนมาช่วยคน เหมือนมาฆ่าคนมากกว่า
ทหารม้าขี่ม้าเข้าไปในป่า เสียงกีบม้าดังเซ็งแซ่ พร้อมเสียงกิ่งหลิวดำหักเป็นระยะ ไม่ว่ามาช่วยคนหรือฆ่าคน พวกเขาล้วนไม่จำเป็นต้องปิดบังร่องรอย แต่ถ้ามาตามหาเป้าหมาย ซึ่งเป็นเพียงคนพิการอย่างที่แหล่งข่าวรายงานแล้ว เรื่องต่อจากนี้ก็น่าจะง่ายมากจึงจะถูก
มือขวาของเฉินฉางเซิงจับเข้าที่ด้ามกระบี่สั้นโดยไม่รู้ตัว สามารถชักออกจากฝักได้ทุกเมื่อ
ร่างกายเขาในตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นมาก หลังจากได้นอนหลับพักผ่อนบนเตียงอันหนาวเย็นมาหนึ่งคืน ความอ่อนล้าและอาการบาดเจ็บภายในจากการวิ่งข้ามที่ราบหิมะเป็นหมื่นๆ ลี้ ล้วนหายเป็นปลิดทิ้ง พลังปราณค่อยๆ ฟื้นคืน แม้แต่อาการบาดเจ็บจากสวนโจวก็ดีขึ้นมาก จนเขามั่นใจว่าสามารถต่อสู้ กระทั่งฆ่าทหารม้าหลายสิบนายที่เข้ามาในป่าได้หมด ถึงแม้ว่าทหารม้าผู้ห้าวหาญเหล่านี้ต่างล้วนชำระกระดูกสำเร็จแล้วก็ตาม หากแต่เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถฆ่าอย่างเงียบๆ โดยไม่ทำให้ทหารชุดใหญ่บนที่ราบหิมะซึ่งกำลังมุ่งหน้ามายังทิศตะวันออกตื่นตกใจ ที่สำคัญคือ ทหารม้าเหล่านี้ล้วนอยู่ในกองทัพต้าโจว และเขาเป็นคนต้าโจว ย่อมไม่สามารถฆ่าคนอย่างบ้าคลั่งโดยไม่ถามที่มาที่ไปก่อน
เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี จึงได้แต่จ้องมองเงาตะคุ่มๆ ของเหล่าทหารม้าในป่าหลิวเงียบๆ และพอเงาร่างเหล่านี้เข้ามาใกล้ เขาก็หายใจถี่และแรงขึ้น ตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ จนนิ้วมือที่จับด้ามกระบี่ยิ่งมาก็ยิ่งขาว ถ้าปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป ทหารม้าเหล่านี้ต้องหาเขากับซูหลีพบในไม่ช้าแน่
“ผู้อาวุโส เราไปกันเถอะ”
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ หันกายให้ซูหลีเกาะไหล่ เตรียมแบกซูหลีวิ่งหนี
เมื่อไม่สามารถซ่อนตัวต่อ และไม่สามารถชักกระบี่ฆ่าคน ทางเดียวที่ทำได้คือหนี ดีที่เขาในตอนนี้มีความเร็วเกินคาด ที่เชื่อว่าทหารม้าเหล่านี้ไม่มีทางตามทันในระยะเวลาอันสั้นแน่ ส่วนเรื่องที่ว่า หากกองทัพโจวค้นพบเบาะแสของตนกับซูหลีแล้ว จะทำให้เกิดความยุ่งยากอย่างไรตามมานั้น คงไม่อาจใส่ใจชั่วคราว
ทว่าซูหลีไม่หนี กลับเอ่ยขึ้นว่า “กางร่มออก”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ ได้แต่รับร่มกระดาษทองที่ซูหลีส่งมาให้ จากนั้นก็ทำตามที่เขาชี้แนะ ถ่ายพลังปราณผ่านด้ามร่ม เปิดกลไกทุกอย่างของโครงสร้างร่ม ไอพลังปราณสายหนึ่งไหลผ่านจากผิวของร่มกระดาษทองออกมา คล้ายน้ำตกไร้รูปไร้เสียงอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นค่อยแผ่ปกคลุมโดยรอบ จนลมอันเหน็บหนาวก็ไม่สามารถพัดเข้ามาในร่มกระดาษทอง แต่กลับเริ่มมีหิมะตกจากฟากฟ้า ลงบนผิวร่มกระดาษทอง อย่างไร้สุ้มเสียง
ทหารม้าหลายสิบนายเข้ามาในป่าลึก จนอยู่ห่างจากพวกเขาไม่ไกล
เฉินฉางเซิงตื่นเต้นมาก ขณะมองดูเหล่าทหารม้าที่ห่างกันราวสิบกว่าจั้ง เขาเห็นทุกอย่างชัดเจน กระทั่งสีตาของหัวหน้าทหารม้าที่อยู่หน้าสุด ทว่าเหล่าทหารม้าหลายสิบนายเหมือนไม่เห็นอะไร จวบจนสลายตัวออกจากป่าหลิวดำ
……
……
ไม่รู้ผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ พอแน่ใจว่าทหารม้าเหล่านั้นออกจากป่าหลิวดำแล้ว เฉินฉางเซิงค่อยโล่งอก ก่อนพบว่ามือทั้งสองข้างที่จับด้ามร่มกับด้ามกระบี่แข็งทื่อ เนื่องจากตื่นเต้นมาก
“เก็บร่ม” ซูหลีบอก
เขาปฏิบัติตาม เก็บร่มเสียบไว้ข้างเอว เตรียมหนีต่อ
“ไม่ต้องรีบ ทหารม้าเหล่านั้นน่าจะยังอยู่รอรอบๆ บริเวณ” ซูหลีพูดขึ้นอีก
เฉินฉางเซิงนั่งลงอีกครั้งบนกองหิมะข้างต้นไม้อย่างปราศจากข้อสงสัย แต่พอมองร่มกระดาษทอง ก็พูดขึ้นอย่างซาบซึ้งใจ “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าร่มคันนี้มีประโยชน์ใช้สอยเช่นนี้ด้วย”
ซูหลียื่นปากออกเล็กน้อยแล้วว่า “เจ้าก็คิดดูแล้วกันว่าข้าเป็นใคร”
เฉินฉางเซิงไม่รับมุก เขาเอือมระอาแล้วจริงๆ อีกอย่างพอรู้ว่าตนไม่รับมุก ผู้อาวุโสหลงตัวเองท่านนี้ย่อมมีวิธีต่อมุขเอาเอง
ตามคาด ซูหลีเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อย คล้ายคิดบินขึ้นฟ้า ขณะพูดอย่างทระนง “นี่เป็นศาสตราวิเศษที่ข้ากับตาเฒ่าถังคิดค้นร่วมกัน โดยมีกระบี่บังฟ้าเป็นแกนหลัก แล้วใช้วัสดุหายากมากมายประกอบเข้าด้วยกัน ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นถอดจิตมาเอง ก็ไม่สามารถมองภาพลวงตานี้ออก นับประสาอะไรกับทหารม้าธรรมดาเหล่านี้?”
เฉินฉางเซิงเหมือนอยากพูดอะไร แต่พูดไม่ออก
ซูหลีเลิกคิ้วสูงขึ้นอีก พลางว่า “มีอะไรก็พูดมา”
เฉินฉางเซิงจึงว่า “ผู้อาวุโส ร่มคันนี้…เป็นของข้า”
ป่าหลิวดำเงียบกริบ หิมะตกอย่างไร้สุ้มเสียง
ตอนออกจากบ่อน้ำร้อนบนสันเขาหิมะ พวกเขาก็เคยเถียงเรื่องนี้กันแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเฉินฉางเซิงเห็นผู้อาวุโสบาดเจ็บสาหัส จึงไม่อยากพูดมาก แต่ตอนนี้ ที่สุดแล้วก็อดรนทนไม่ไหว ด้วยคิดมาตลอดว่าร่มคันนี้เป็นของตน
ซูหลีจ้องมองเขาพลางยิ้มเย็นชา “เจ้ารู้ความเป็นมาของร่มคันนี้หรือเปล่า?”
เฉินฉางเซิงเคยฟังเรื่องเกี่ยวกับร่มกระดาษทองจากปากของเจ๋อซิ่วมาบ้าง บวกกับเรื่องที่ได้ยินในสวนโจวกับที่ราบหิมะ ทำให้พอจะรู้คร่าวๆ จึงพยักหน้า
แต่ซูหลีกลับไม่สนใจเขา ยังคงเล่าเรื่องร่มให้ฟังอีกครั้ง สุดท้ายค่อยจ้องตาเขาพลางว่า “กระบี่ที่ข้าตามหาจนเจอ ร่มที่ข้าออกแบบ สุดท้ายเจ้ากลับบอกว่าเป็นของเจ้าหรือ?”
เฉินฉางเซิงตอบ “แต่วัสดุที่ใช้ทำร่มทั้งหมด ผู้เฒ่าถังเป็นคนหามา ตอนแรกผู้เฒ่าถังเก็บร่มคันนี้ไว้ที่เวิ่นสุ่ย ในบ้านตระกูลถัง เพราะผู้อาวุโสท่านไม่มีเงินซื้อมิใช่หรือ?”
สีหน้าซูหลีค่อยๆ เย็นชาลง พลางว่า “เจ้าพูดอีกทีสิ”
เฉินฉางเซิงคิดในใจ การพูดว่าไม่มีเงินซื้อ อาจไม่ถูกต้องนัก จึงเรียบเรียงคำพูดใหม่ “เพราะผู้อาวุโสท่านติดหนี้คนตระกูลถัง ร่มกระดาษทองจึงตกเป็นของคนตระกูลถัง มิใช่หรือ?”
ซูหลีแย้มยิ้มอย่างโกรธเกรี้ยว พลางว่า “ข้าเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเขาหลีซาน ออกท่องทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ไม่เคยทำชั่ว ไม่เคยปล้นชิงทรัพย์ใคร มีหรือที่จะติดหนี้ใคร?”
เฉินฉางเซิงไม่สนใจคำพูดของเขา แต่กลับอธิบายให้เขาฟังจริงจัง “แต่ท่านมิได้ให้เงินเขา”
ซูหลีพบว่าตนพูดไม่ออก จึงไม่พูดเอาดื้อๆ
บรรยากาศเกิดความกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เฉินฉางเซิงได้แต่ลุกขึ้นยืน แล้วค่อยๆ ปีนต้นหลิวดำ ดูว่าทหารม้าต้าโจวที่อยู่ไกลออกไปมีความเคลื่อนไหวอย่างไร ขณะเดียวกันก็เป็นการดับความร้อนบนใบหน้าไปในตัว
ผ่านไปสักพัก เขาก็กระโดดลงจากต้นหลิวดำ แล้วพูดกับซูหลี “ผู้อาวุโส ทหารม้าเหล่านั้นน่าจะสลายตัวไปกันหมดแล้ว”
ซูหลีไม่สนใจเขา
เฉินฉางเซิงจึงว่า “ผู้อาวุโส ถ้าทหารม้าเหล่านั้นกำลังล่าสังหารท่านจริง ท่านยังคิดปกปิดเบาะแสอีกหรือ? ท่านไม่เชื่อคนต้าโจวเรา แต่อย่างไรต้องมีคนที่ท่านเชื่อถืออยู่บ้าง ก็เหมือนกับที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ มีคนมาฆ่าท่าน ก็ต้องมีคนมาช่วยท่าน เขาหลีซานแม้อยู่ไกล แต่ผู้ที่คิดช่วยท่านไม่แน่ว่าอาจอยู่ใกล้”
ซูหลีมองตาเขาพลางว่า “ปัญหาอยู่ที่ คนที่คิดฆ่าข้ามีมาก หรือคนที่คิดช่วยข้ามีมาก? และใครรีบกว่ากัน?”
เฉินฉางเซิงลังเลเล็กน้อยก่อนว่า “ผู้อาวุโส…ท่านมองนิสัยคนในแง่ลบเกินไปหรือเปล่า”
“ไม่ใช่นิสัยคน จิตใจคนต่างหาก นิสัยคนไม่สามารถทดสอบ จิตใจคนยิ่งยากคาดเดา ความชอบหรือความเกลียดที่หลงใหล ล้วนเป็นเพราะผลประโยชน์ทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าจักรพรรดิไท่จงฆ่าพี่บังคับพ่ออย่างไร้ยางอาย ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าโจวตู๋ฟูคือมือสังหารที่ฆ่าคนไปมากมาย แล้วเหตุใดในสายตาผู้คน ร่างของพวกเขาล้วนเปล่งแสงสีทอง? ก็เพราะจักรพรรดิไท่จงและโจวตู๋ฟูต่างมอบผลประโยชน์ที่มากเพียงพอให้กับพวกเขา อีกทั้งยังขับไล่พวกมารให้กลับไปที่เมืองหิมะโบราณ ให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในที่ราบภาคกลางปลอดภัยจากศึกสงคราม ไม่ถูกกดขี่จากชนต่างเผ่า ดังนั้นทั้งสองจึงเป็นบุคคลที่ผู้คนสนับสนุนและโหยหา”
ซูหลีมองเขาพลางถามจริงจัง “แล้วข้าล่ะ? ข้ามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยแห่งสันติภาพที่ปราศจากการสู้รบ นอกจากสังหารมารไปไม่กี่ตนแล้ว ก็ไม่ได้ทำอะไรมาก ข้าทำอะไรให้โลกบ้าง? ทำประโยชน์อะไรให้ผู้บำเพ็ญเพียรและคนทั่วไปบ้าง? คุ้มกับการที่พวกเขาจะเดินทางไกลมาช่วยข้าไหม? หรือเพราะข้าคือมือกระบี่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน รักอิสระไม่เหมือนใคร?”
รู้ทั้งรู้ว่าซูหลีกำลังสั่งสอนอย่างจริงจัง กระทั่งสอบสวนอย่างเคร่งครัด แต่เพราะสองประโยคสุดท้ายที่เปลี่ยนอารมณ์ ทำให้เฉินฉางเซิงไม่รู้จะตอบอย่างไรดี จึงถาม “แล้วคนจากทางใต้เล่า?”
ตามแนวคิดของคนทั่วไป ซูหลี อาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซาน คือผู้แข็งแกร่งสุดทางทิศใต้ และเพราะการดำรงอยู่ของเขา ทางใต้จึงรักษาศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจมาได้จนถึงวันสุดท้าย ก่อนที่ต้าโจวจะถูกสถาปนาและเจริญรุ่งเรืองในเวลาต่อมา
“แน่นอนว่าต้องขอบคุณคนใต้เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มีคนใต้อีกหลายคนที่เกลียดข้า วันก่อนยังบอกว่า ข้าฆ่าคนไปมาก เมื่อข้าเกิดและเติบโตที่ใต้ เช่นนั้นคนที่ข้าฆ่า ส่วนใหญ่ย่อมเป็นคนใต้ ซึ่งพวกเขาล้วนมีญาติสนิทมิตรสหายในรุ่นต่อๆ มา แล้วจะชอบข้าได้อย่างไร? แน่นอนว่า ถึงผู้ที่แค้นข้ามีมากเพียงใด ก็มิใช่คนส่วนใหญ่ มิฉะนั้นแล้วข้าคงกลายเป็นหนูตามตลาดที่ใครๆ ก็อยากตีให้ตาย ปัญหาอยู่ที่เมื่อหลายปีก่อน ข้าได้ก่อเรื่องที่ทำให้คนใต้ผิดหวังเป็นอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง ดังนั้นคนที่ไม่ชอบข้าจึงมีมากขึ้นเรื่อยๆ”
“เรื่องอะไรหรือ?” เฉินฉางเซิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“คดีโลหิตในสำนักฝึกหลวงเมื่อสิบกว่าปีก่อน เจ้าน่าจะรู้”
“ข้ารู้”
“พูดก็พูด นักพรตจี้เป็นอาจารย์เจ้าจริงหรือ?”
“ผู้อาวุโส…ความจริงเรื่องนี้ ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”
“เอาเถอะ กลับไปที่หัวข้อเดิม สรุปว่า หลังจากคดีในสำนักฝึกหลวงนั่น สังฆราชบาดเจ็บสาหัส ภายในกองทัพยุ่งเหยิง ราชสำนักแก่งแย่ง โจวทงหลับหูหลับตาฆ่าคน จิงตูโกลาหล แคว้นโจวของเจ้าวุ่นวาย ในสายตาชาวใต้แล้ว นี่คือโอกาสที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย อีกอย่างต้องยอมรับว่า ตอนนั้นพรรคฉางเซิงแข็งแกร่งจริง มีกำลังเพียงพอในการต่อกรกับวังหลี”
“จากนั้น?”
“ขณะที่ชาวใต้กำลังจะเคลื่อนไหวตามแผนที่เตรียมการมาหลายปีนั้น ข้าก็ไปพรรคฉางเซิงเพื่อทำธุระบางอย่าง โดยจัดการฆ่าผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคจนเกลี้ยง พวกเขาจึงไม่สามารถดำเนินการตามแผนที่เตรียมไว้ได้”
“ผู้อาวุโส ความลับนี้ฟังแล้วน่าตกใจยิ่ง แต่ทำไมข้าจึงรู้สึกว่า ท่านกำลังเปลี่ยนวิธีเยินยอตัวเอง?”
“เรื่องที่น่าเศร้าเช่นนี้ ยังมีอะไรให้เยินยออีก”
น้อยครั้งนักที่ซูหลีมิได้รับไม้สานต่อหัวข้อเยินยอตัวเองต่อ แต่กลับนิ่งเงียบ จนน่าใจหาย