ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 81 สอนเต็มเวลา (3)
ซูหลีพูดพร้อมใบหน้าเฉยชา “ข้าทำโอกาสที่ดีที่สุดและโอกาสสุดท้ายของคนทางใต้หลุดลอยไปเช่นนี้ คนต้าโจวควรขอบใจอะไรข้า? ไม่สิ พวกเขาย่อมไม่ขอบใจข้า นอกจากรู้สึกว่าข้าเป็นคนบ้าคนหนึ่ง”
เฉินฉางเซิงคิดไปคิดมา จึงว่า “…ไม่ชอบ ไม่ขอบใจ ไม่ได้แปลว่าอยากให้ผู้อาวุโสตาย”
ซูหลีว่า “พริบตาเดียว ก็ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว เทียนไห่ ตาเฒ่าอิ๋น กับยายเฒ่าบนเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์นั่น ยังคิดที่จะรวมเหนือใต้เข้าด้วยกัน แต่ข้ายังคงไม่เห็นด้วย ข้าไม่เห็นด้วย เขาหลีซานก็ไม่อาจเห็นด้วย พรรคฉางเซิงก็ไม่อาจเห็นด้วย การรวมเหนือใต้…จึงเปรียบเสมือนการวาดขนมปังบนกระดาษ ดูได้แต่กินไม่ได้ตลอดกาล แล้วเจ้าว่าผู้ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มีหรือที่ไม่อยากให้ข้าตาย?”
พอฟังเรื่องราวจากปากของซูหลี เฉินฉางเซิงก็เงียบไป เหมือนตอนเพิ่งออกจากสวนโจว แล้วเห็นกองกำลังขนาดใหญ่บนที่ราบหิมะ เนิ่นนานค่อยพูดขึ้น “พวกมาร…ก็อยากให้ท่านตาย”
“รู้สึกว่ามันน่าขันใช่ไหมล่ะ? จำไว้ ศัตรูของศัตรูย่อมไม่ใช่มิตร เพราะตรงกลางมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าผลประโยชน์ ถ้าข้าตายไป ต้าลู่สั่นสะเทือน ราชามารกับเทียนไห่ในฐานะที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ พวกเขาย่อมมั่นใจว่าสามารถใช้สถานการณ์ที่วุ่นวายให้เป็นประโยชน์ ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่พวกเขาต้องการ ดังนั้นแน่นอนว่าพวกเขาล้วนอยากให้ข้าตาย”
เฉินฉางเซิงมองดูซูหลี พลางพูดจริงจังจากใจจริง “ผู้อาวุโส แล้วเหตุใดท่านไม่สนับสนุนการรวมกันของเหนือใต้เล่า? ไม่ว่าจะมองอย่างไร เรื่องนี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์”
“เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ ข้าต้องทำด้วยหรือ? เอาเถอะ คำนี้เหมือนพวกผู้ก่อการร้ายมาก ข้าขอเก็บกลับไปก็แล้วกัน”
ซูหลีเห็นเขาเงียบไป จึงว่า “แต่เจ้าตอบคำถามข้ามาข้อหนึ่งก่อน ถูกเทียนไห่ปกครอง กับถูกราชามารปกครอง แตกต่างกันตรงไหน?”
เฉินฉางเซิงอยากบอกว่าแตกต่างกันมากเหลือเกิน การทำสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ไปเรื่อยๆ เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ การทำสงครามระหว่างมนุษย์ ปัญหามิใช่อยู่ที่ใครก้มหัว แต่เขาก็รู้ว่า สำหรับคนอย่างซูหลีแล้ว การถูกปกครอง เดิมทีก็เป็นเรื่องที่เขายอมรับไม่ได้อยู่แล้ว จึงแน่นอนว่า การปกครองของทั้งสองฝ่ายไม่มีอะไรแตกต่างกันมาก
“ผู้อาวุโส หรือโลกในสายตาท่าน ดำมืดมาโดยตลอด?”
“มิใช่ดำมืด แต่ไม่มีสีสันต่างหาก ทั้งยังเป็นน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ ข้าบอกแล้วว่า นั่นคือผลประโยชน์”
“หรือ…เราไม่สามารถมองโลกในแง่ดีได้?” เฉินฉางเซิงถามคำถามทำนองนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว
“ไม่สามารถ เพราะเรื่องแบบนี้ เมื่อก่อนก็เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ประวัติศาสตร์ทั้งหมด เป็นเพียงหลักฐานของปัจจุบัน ปัจจุบันทั้งหมด ก็เป็นเพียงประวัติศาสตร์ซ้ำรอย” ซูหลีมองเขาพลางเอ่ยต่อ “ข้าไม่อยากเป็นโจวตู๋ฟูคนที่สอง ดังนั้นไม่ว่าพวกมารหรือคนต้าโจว ข้าก็ไม่เชื่อถือ”
ในป่าหลิวดำเงียบเสียงลงอีกครา เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน แต่แล้วก็เอ่ยปากถาม “ผู้อาวุโส ท่านกำลังสอนข้าอยู่หรือ?”
ตั้งแต่ตอนเข้าค่ายทหาร ซูหลีก็มีปฏิสัมพันธ์กับเขามากขึ้น ต่อมาไม่ว่าพบเจอมือสังหาร หรือพบเจอทหารม้าแห่งต้าโจว รวมทั้งบทสนทนาที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ความจริงแล้วเลือกหัวข้อสนทนาได้ลึกซึ้งยิ่ง แสดงให้เห็นว่าเขาพยายามสอนเรื่องบางอย่างให้กับเฉินฉางเซิง… ว่าควรมองโลกอย่างไร และดำรงชีวิตอยู่อย่างไร
ซูหลีมองเขาอย่างเย้ยหยัน “ตอนนี้เพิ่งรู้ตัว ไม่สายเกินไปหน่อยหรือ? ร่ำลือกันว่าเจ้าเข้าใจคัมภีร์ลัทธิเต๋าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกว่าเจ้าเป็นเช่นนั้นเลยสักนิด?”
“แต่ว่า…เพราะอะไรล่ะ?”
เฉินฉางเซิงมิได้ใส่ใจคำเย้ยหยันของผู้อาวุโสท่านนี้ เพียงแต่ไม่เข้าใจเช่นกัน เขาเป็นคนต้าโจว ส่วนซูหลีเป็นคนทางใต้ เขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการฝึกอบรมแบบใหม่จากนิกายหลวง ส่วนซูหลีเป็นผู้อาวุโสสูงส่งมือกระบี่เสรี ระหว่างคนทั้งสองเดิมทีไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ทั้งผู้ใต้บังคับบัญชา หรือแม้แต่ศัตรูลับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ของสำนักฝึกหลวงกับพรรคกระบี่หลีซาน การแก่งแย่งกันระหว่างเขากับชิวซานจวินที่มีมาแต่อดีตจนถึงวันข้างหน้า ซูหลีไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะสอนเขาแบบอาจารย์คนหนึ่ง
“เพราะข้าชื่นชอบเจ้า” ซูหลีมองเขาหน้าตาเฉย “เหตุผลนี้เพียงพอหรือไม่?”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้าอย่างตรงไปตรงมา แล้วว่า “ผู้อาวุโส…ไม่พอแน่นอน”
ซูหลีมาถึงทางตัน ถ้าเปลี่ยนเป็นเด็กรุ่นใหม่คนอื่นๆ ถูกเขาอดทนสอนเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าต้องซาบซึ้งจนน้ำตาไหลพราก อย่างน้อยพอเขาให้เหตุผลข้อหนึ่ง ย่อมไม่มีทางที่จะถามต่อ เขาจึงมองดวงตากระจ่างใสของเด็กหนุ่ม แล้วพลันหัวเราะออกมา ในใจคิดว่า ก็ถูก ถ้าเจ้าหมอนี่มิใช่คนเช่นนี้ จะกระตุ้นอารมณ์ตนเองได้อย่างไร?
“เพราะข้าหวังให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ยิ่งมีชีวิตยืนยาวเท่าไหร่ได้ก็ยิ่งดี” เขาพูดกับเฉินฉางเซิงอย่างจริงจัง
เฉินฉางเซิงตกใจ ในใจคิด หรือผู้อาวุโสรู้ว่าชีพจรตนเองขาดสะบั้น อาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน?
ทว่าคำพูดถัดไปของซูหลี บ่งบอกว่าเขายังไม่รู้ความลับดังกล่าว “เนื่องจากมีเพียงการมีชีวิตอยู่นานเพียงพอ จึงจะทำให้เจ้ากลายเป็นผู้แข็งแกร่งเพียงพอ ข้าหวังให้เจ้าแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ จวบจนสุดท้าย”
“สุดท้ายอะไร?”
“สังฆราชยุคต่อไป”
“…ผู้อาวุโสหวังให้ข้าเป็นสังฆราชยุคต่อไป?”
“ไม่ผิด เพราะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับคนใต้ ถ้าเจ้าได้เป็นสังฆราช”
“เพราะอะไร?”
“เพราะเจ้าไม่ยอมฆ่าคน ยิ่งไม่ชอบฆ่าคน เจ้าชัดเจนมากกับสิ่งที่เหลือ นอกเหนือจากความเป็นความตาย ข้าไม่เคยเห็นใครที่อยู่ในวัยเดียวกับเจ้า ไม่สนใจในลาภยศสรรเสริญ…ดังนั้น ความคิดของเจ้าเกี่ยวกับร่มกระดาษทอง บางครั้งก็ทำให้ข้าเริ่มสงสัยต่อการตัดสินใจของตนเอง”
“ข้าไม่รู้ว่าผู้อาวุโสดูออกได้อย่างไรว่าข้าไม่สนใจลาภยศสรรเสริญ…แต่เช่นนี้จะเป็นสังฆราชได้หรือ?”
เฉินฉางเซิงหันมองท้องฟ้ามืดครึ้มสีเทาตามจิตใต้สำนึก มองดูละอองหิมะที่ไม่รู้ตกลงมาจากที่สูงเพียงใด พลางว่า “รู้สึกไกลมากจริงๆ”
ซูหลีค่อนข้างสนใจมองเขา พลางว่า “หรือเจ้าไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน?”
เฉินฉางเซิงดึงสายตาคืนกลับ อึ้งเล็กน้อยก่อนว่า “ความรู้สึกอะไร?”
“วังหลีใส่ใจเจ้ามากขนาดนี้ ฝึกสอนเจ้า ทำให้เจ้าได้เป็นผู้มีอายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์ที่สำเร็จขั้นทะลวงอเวจี และเป็นหัวหน้าสำนักฝึกหลวงที่อายุน้อยสุดด้วย…ถ้าไม่คิดให้เจ้าเป็นสังฆราชยุคต่อไป ตาเฒ่าเหล่านั้นคิดทำอะไรไม่ทราบ?”
เฉินฉางเซิงพูดไม่ออก ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเหตุใดใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาจึงดูแลเขาดีขนาดนี้ ใต้เท้าสังฆราชคิดอะไรอยู่ หลังออกจากสุสานเทียนซู เงื่อนงำทุกอย่างมีคำตอบอยู่แต่แรก แต่เขาไม่เข้าใจเรื่องนี้มาโดยตลอด และไม่คิดจดจำเรื่องนี้ตามจิตใต้สำนึก เรื่องที่เกิดในสวนโจวมากมายเกินไป ทำให้เขาคิดว่าลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ จวบจนเมื่อครู่ถูกซูหลีสะกิดเตือนอีกครั้ง
เขาคือผู้สืบทอดนิกายหลวง
เพียงแต่ สายตาของเขายังเคยชินกับการมองออกไปไม่ไกลจากตัวเองเท่าไหร่ ไม่ชินกับการแหงนหน้ามองฟ้า ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าที่มืดครึ้ม หรือท้องฟ้ากระจ่างใส แสงสว่างก็ล้วนแสบตาเสียนี่กระไร ถ้ากลับถึงจิงตู แล้วได้เป็นผู้สืบทอดนิกายหลวง หรือต้องเผชิญหน้าตรงๆ กับอำนาจของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ นี่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจมาก แต่ก่อนอื่นเขาจำเป็นต้องกลับจิงตู