ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 84 สายตาของซูหลี (ตอนต้น)
ตอนนี้ทิศเหนือของเมืองเทียนเหลียงอากาศยังเย็นๆ อยู่ ข้าวฟ่างจึงยังโตได้ไม่สูงนัก แต่กลับซ่อนคนเอาไว้ผู้หนึ่งได้ ดูไปแล้วคนผู้นี้ถนัดซ่อนตัวยิ่ง หรือก็คือนักฆ่ามืออาชีพคนหนึ่ง
ซูหลีไม่สนใจนักฆ่าที่ซ่อนตัวอยู่ในทุ่งรกร้าง ต่อให้ผู้ที่ไม่ชอบความสว่างอย่างเจ้าหมอนี่จะอันตรายอย่างไร ในสายตาของเขา ก็ไม่สำคัญเท่าเซวียเหอที่เจิดจ้า
เซวียเหอเดินเข้าหาคนทั้งสองต่อ ชุดเกราะส่งเสียงกระทบกัน เจตจำนงดาบส่งเสียงแหวกอากาศพร้อมเสียงฝีเท้าที่มั่นคงและยืนหยัด พอเขาเริ่มเข้าใกล้ ก็หันมองเฉินฉางเซิงอย่างระแวดระวัง พลางถาม “เจ้าเป็นใคร?”
เฉินฉางเซิงมิได้เก็บไอพลังปราณของตน เซวียเหอจึงมองออกว่า เขาอยู่ในขั้นทะลวงอเวจี
สามารถอยู่ในขั้นทะลวงอเวจีในขณะที่อายุยังน้อยเช่นนี้ ย่อมไม่ธรรมดาแน่ เซวียเหอไม่เคยเจออะไรเช่นนี้ จึงพูดอย่างเฉยชา “ถ้าไม่ใช่เพราะข้ารู้ว่าชิวซานจวินบาดเจ็บสาหัสเพราะเรื่องในสวนโจว อยู่ที่เขาหลีซานอันห่างไกล ถ้าไม่ใช่เพราะชาติกำเนิดของเจ้าไม่ธรรมดา ข้ายังนึกสงสัยขึ้นมาจริงๆ ว่าเจ้าคือชิวซานจวิน”
ที่สุดแล้วเฉินฉางเซิงก็มั่นใจว่า พวกมารหรือคนชุดดำลึกลับนั่น มิได้แพร่ข่าวมาทางทิศใต้ว่าตนตามซูหลีมาด้วยเหตุผลบางประการ จึงอดไม่ได้ที่จะคิดต่อว่า ถ้าเซวียเหอรู้สถานะของตน จะหยุดก้าวเดินหรือไม่? ในตอนนี้เอง เสียงของซูหลีก็ดังขึ้น “ถ้าพี่ชายเจ้า เซวียสิ่งชวนอยู่ที่นี่ ย่อมไม่มีทางเข้าใจผิดว่าเขาคือชิวซานจวิน เจ้าหมอนี่แค่เข้าสู่ขั้นทะลวงอเวจี ส่วนศิษย์ข้าชิวซานจวินบรรลุขั้นรวบรวมดวงดาวแล้ว ความแตกต่างแค่นี้เจ้ายังดูไม่ออกรึ?”
มีเพียงคนอย่างซูหลีเท่านั้น ที่จะใช้คำว่า ‘แค่’ กับการลงความเห็นในเรื่องนี้ แม้ว่าตอนนี้ในกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นใหม่น่าจะมีเพียงชิวซานจวินเท่านั้นที่พอจะข่มเฉินฉางเซิงได้
นี่คือเรื่องจริง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เฉินฉางเซิงจึงรู้สึกไม่สบายใจ อาจเพราะน้ำเสียงของซูหลีฟังดูสนิทสนมเวลาพูดถึงชิวซานจวิน ทำให้เขาลืมบอกสถานะของตนเองให้เซวียเหอฟังไปชั่วขณะ
และตอนนี้เอง เซวียเหอได้ก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าคนทั้งสองแล้ว โดยเว้นระยะห่างไม่ถึงสิบจั้ง มือของเขาเป็นหนึ่งเดียวกับด้ามดาบอย่างสมบูรณ์ เจตจำนงของดาบทั้งหกเล่มรวมตัวกันเป็นวงกลม สร้างโลกของดาบขึ้นมา
เซวียเหอเตรียมพร้อมที่จะชักดาบ เขาเกร็งพลังปราณจนถึงจุดสูงสุดแล้ว ซึ่งมีเพียงผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวเท่านั้น จึงจะสามารถเรียกอาณาเขตดวงดาวที่สมบูรณ์แบบออกมาได้
เขาใช้ดาบ ดังนั้นอาณาเขตดวงดาวของเขาก็คืออาณาเขตดาบ
แม้เฉินฉางเซิงมีพรสวรรค์มากเพียงใด แต่เพราะอายุน้อย ระยะเวลาในการบำเพ็ญเพียรจึงน้อยตาม อีกอย่างเส้นชีพจรก็มีปัญหา ทำให้ปริมาณพลังปราณที่ปล่อยออกมามีจำกัด อย่างไรก็ไม่มีทางทลายอาณาเขตดาบที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ได้
หลายครั้ง ความต่างระหว่างขั้นบำเพ็ญเพียร ไม่สามารถอาศัยความกล้าหาญ ความเพียร การตัดสินใจ เคล็ดวิชา อะไรทำนองนี้มาเติมเต็มได้
เฉินฉางเซิงจ้องมองหมวกเกราะอันเจิดจ้าภายใต้แสงอรุณของเซวียเหอ พลางค่อยๆ ชักกระบี่สั้นออกจากฝัก ในช่วงเวลาคับขัน สมองของเขาทำการคิดคำนวณอยู่หลายครั้ง การสัประยุทธ์ในคัมภีร์ลัทธิเต๋าและตำราในสำนักฝึกหลวงที่เคยผ่านตากลายเป็นภาพลอยอยู่ตรงหน้า แต่เขายังคงไม่รู้จะทำเช่นไร
ขุนพลเทพลำดับที่ยี่สิบแปดของต้าลู่ คือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งสุด ตั้งแต่ที่เขาบำเพ็ญเพียรมาอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าพูดเฉพาะพลังที่เกิดจากขั้นบำเพ็ญเพียร ก็พอๆ กับสามีภรรยาขุนพลมารในสวนโจว แต่สามีภรรยาขุนพลมารเสียพลังไปกับการใช้ศาสตร์ลับเพื่อเข้าสวนโจว ขั้นบำเพ็ญเพียรจึงลดทอนลง และเพราะข้อจำกัดในสวนโจว ขณะต่อสู้ พวกเขาจึงแทบมิได้สำแดงมาตรฐานจริงๆ ของขั้นรวบรวมดวงดาวออกมา
หนานเค่อเผาผลาญวิญญาณเทพเพื่อปลุกมหาวิหคปีกทอง แต่ก็ถูกหมื่นกระบี่ที่กลายเป็นมังกรของเขาฟาดฟันจนร่วงหล่นจากฟากฟ้า แต่พลังของกระบี่ในตอนนั้นส่วนใหญ่มาจากความมุ่งมาดปรารถนาที่เก็บสะสมมาหลายร้อยปีของกระบี่พิการหมื่นเล่มในสระกระบี่ พลังที่เกิดจากปณิธานเช่นนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเขา อีกอย่างโอกาสและเวลาก็ยังมีไม่มากพอที่จะทำให้กระบี่พิการหมื่นเล่มในฝักสำแดงพลังอันยิ่งใหญ่ออกมา
ทำอย่างไรจึงจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ผู้แข็งแกร่งท่านนี้?
เฉินฉางเซิงจับกระบี่สั้น จ้องมองเซวียเหอที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ พลางใจเต้นไม่เป็นระส่ำ
เซวียเหอเอง แม้รู้ว่าเขาคือคู่ต่อสู้ของตน แต่กลับไม่สนใจ สายตาจับจ้องแต่ซูหลีที่อยู่ด้านหลัง
ยังไม่ต้องพูดว่าบาดเจ็บสาหัส ต่อให้ตอนนี้หายใจรวยริน เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย ขอเพียงซูหลียังมีชีวิตอยู่ ก็ยังคงเป็นผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวสุดในต้าลู่
ซูหลีก็จ้องมองเขาเช่นกัน แต่จริงๆ แล้วมิได้จ้องมองเขา มองอาณาเขตดาบของเขาต่างหาก
ทันใดนั้น สายตาซูหลีก็หยุดอยู่ตรงที่ว่างหน้าร่างของเขา พลางยื่นมือจับด้ามร่มกระดาษทอง
ในร่มกระดาษทองคือกระบี่ชื่อดังบังฟ้า ด้ามร่มก็คือด้ามกระบี่
ตอนอยู่บนที่ราบหิมะ ซูหลีเพียงจับด้ามกระบี่ เจตจำนงกระบี่ก็พุ่งจู่โจมฝ่ายตรงข้ามดุจไฟกัลป์ สังหารขุนพลมารที่ห่างออกไปหลายสิบลี้ตายไปหนึ่ง
ตอนนี้เซวียเหอที่อยู่ตรงหน้าเขา ก็สัมผัสได้ถึงความรุนแรงของอันตรายนี้
ไม่มีสัญญาณเตือนอะไร อาศัยเพียงความบริสุทธิ์ สัญญาณเตือนชนิดหนึ่งจากสัญชาตญาณ เซวียเหอระเบิดพลังปราณที่แข็งแกร่งสุดจะเปรียบออก
เหมือนแสงอรุณมาหยุดอยู่ตรงหน้า ชุดเกราะบนร่างเขาพลันเปลี่ยนเป็นสว่างจ้า ‘เคร้ง’ ดาบเหล็กถูกชักออกจากฝัก วาดข้ามไหล่เฉินฉางเซิง ฟันไปที่มือซึ่งกำลังจับด้ามร่มของซูหลี
พายุหมุนคลุ้มคลั่ง ก่อตัวขึ้นในทุ่งข้าวฟ่างสีเขียว
……
……
ตลอดการร่วมเดินทางไปใต้ ทำให้เฉินฉางเซิงชัดเจนกับท่าทางในตอนนี้ของซูหลีดี อย่าว่าแต่จับกระบี่ฆ่าศัตรูเลย ขนาดเดินก็ยังเดินไม่ไหว
เขาจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดซูหลีต้องจับด้ามร่มด้วย หรือจะใช้เจตจำนงกระบี่บีบให้เซวียเหอชักดาบ
นี่คือโจทย์ที่ซูหลีโยนให้เขาคิดในเวลาอันสั้น ซึ่งจนแล้วจนรอดเขาก็ได้คำตอบ เพราะซูหลีสอนเขาไว้มากมายจริงๆ และเขาก็ตั้งใจเรียนจริงๆ จดจำได้ทุกคำทุกตัวอักษร
หลายวันมานี้ ซูหลีบอกเขาว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการต่อสู้คือ การหาจังหวะสวนกลับ ถ้าสามารถทำได้ถึงขั้นเหนือความคาดหมายจริงๆ ต่อให้คู่ต่อสู้แกร่งขนาดไหน ก็สามารถพ่ายแพ้ได้
เมื่อเซวียเหอชักดาบ อาจเพราะซูหลีขยับ หรือเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย แม้เป็นการกระทำที่ถูกบีบ แต่ก็เป็นไปตามสถานการณ์ เพราะมีแต่ต้องกระทำเช่นนี้ จึงจะสามารถทำสิ่งเหนือคาดหมายได้จริงๆ คิดฆ่าผู้แข็งแกร่งระดับซูหลี ก่อนชักดาบ เซวียเหอย่อมคิดคำนวณมาอย่างรอบคอบแล้ว
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในการต่อสู้ก็คือ พริบตาของจุดเปลี่ยน ส่วนที่ว่า เพราะต้องทำแต่จุดนี้ให้ดี จะทำให้จุดอื่นๆ เสียไปหมดหรือเปล่า? ไม่ เฉินฉางเซิงจำได้อย่างแม่นยำ พอซูหลีพูดประโยคนี้จบ ก็อธิบายต่อว่า
ต่อให้คู่ต่อสู้แข็งแกร่งเพียงใด พริบตาที่เปลี่ยน มักต้องใช้ความพยายามมากกว่า ดังนั้นจึงเสี่ยงต่อการแสดงข้อบกพร่องออกมาให้เห็นได้ง่ายๆ
พูดอีกอย่างก็คือ ศัตรูที่แข็งแกร่งจนเกือบสมบูรณ์แบบนั้น ย่อมต้องมีพริบตาที่เปลี่ยนจากรุกเป็นรับ เปลี่ยนเป็นไม่สมบูรณ์แบบ
ดวงตาของเฉินฉางเซิงจึงใสกระจ่างขึ้นมา
เพราะดาบที่แวววาวของเซวียเหอฟันลงมาดั่งหิมะ และเพราะแสงอรุณที่ค่อยๆ สาดส่อง
กระบี่ของเขาจึงแทงออกไป
เวิ่นสุ่ยสามกระบวนท่า แขวนดวงสุริยัน
กระบี่สั้นส่งเสียงดังเวิ้งว้าง สั่นไหวด้วยความเร็วสูง พร้อมแสงอรุณที่สาดทั่วบริเวณทุ่งข้าวฟ่าง แทงเข้าใส่ทรวงอกเซวียเหอ
ระดับผู้แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาวอย่างเซวียเหอ ผู้ใช้ดาบเจ็ดเล่มสร้างอาณาเขตย่อมไม่อาจถูกโค่นลงอย่างง่ายดาย แม้พริบตาที่เขาต้องเปลี่ยนจากรุกเป็นรับ ก็ต้องมีวิธีป้องกันจุดอ่อนของตน ซึ่งไม่มีทางปล่อยให้เฉินฉางเซิงมองออกเป็นอันขาด
เฉินฉางเซิงย่อมมองไม่ออก แต่มีคนมองออก
ซูหลีมองปราดเดียว ก็รู้ว่าจุดอ่อนอาณาเขตดาบของเซวียเหออยู่ตรงไหน
ที่เขายื่นมือไปจับด้ามร่มกระดาษทอง ก็เพราะต้องการกระตุ้นให้เซวียเหอชักดาบ ซึ่งสายตาเขาจ้องจับแต่ที่ว่างหน้าร่างของเซวียเหอ
และกระบี่สั้นของเฉินฉางเซิง ก็แทงไปตามสายตาของซูหลีพอดี
เสียงสวบ คล้ายหนังสัตว์ที่บรรจุเหล้าอยู่เต็มถูกแทงทะลุ คล้ายคนเป่าลูกโป่งน้ำตาลที่ถูกเด็กซนแอบใช้ไม้ไผ่จิ้มแตก
รัศมีแสงเจิดจ้าที่ปกคลุมร่างของเซวียเหอ พลันปรากฏเส้นแสงสายหนึ่ง
ความคมของกระบี่พุ่งสู่ทรวงอกของเขา
กระทั่งบนชุดเกราะแวววาว ก็ยังสามารถเห็นเงากระบี่นี้