ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 89 เพลงกระบี่รอบรู้ (ตอนต้น)
ถึงไม่มีบันไดลงจากเวที ก็ต้องลง เมื่อถูกคำพูดประโยคหนึ่งต้อนให้จนมุม ก็ต้องตอบ
ซูหลีมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ขณะจ้องมองดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเฉินฉางเซิง ก่อนตอบ “เมืองไป๋ตี้…ช้าเร็วข้าต้องไปอยู่แล้ว แต่เป็นไปได้อย่างไรที่ตำรารวมเคล็ดวิชากระบี่หลีซานอยู่ในมือของคนเผ่าปีศาจมาโดยตลอด? ใครจะคิดเล่าว่า เจ้าไป๋สิงเยี่ยจะหน้าด้าน แต่งเมียจนได้”
เฉินฉางเซิงคิดในใจ แต่งเมียกับหน้าด้านเกี่ยวกันตรงไหน? ต่อมาค่อยเข้าใจความหมายของซูหลี
ซูหลียิ้มเย็นชาแล้วว่า “ข้าไม่กลัวไป๋สิงเยี่ยหรอก สู้ก็เคยสู้กันมาแล้ว แต่ปัญหาคือ หลังจากหมอนี่แต่งงาน ข้าก็ต้องถูกสองรุมหนึ่ง ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง”
เฉินฉางเซิงคิดว่า การเป็นศัตรูกับผู้ศักดิ์สิทธิ์สองท่าน ต่อให้เป็นผู้อาวุโส ก็รู้สึกว่ายากรับมืออยู่
ซูหลีเหลือบมองเขา ก่อนเปลี่ยนเรื่อง “กระบี่พวกนั้นมาจากไหน? เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?”
เมื่อเช้า ตอนเฉินฉางเซิงใช้กระบี่มหาสมุทรขุนเขาและกระบี่อื่นๆ ย่อมไม่อาจคลาดสายตาซูหลีไปได้ เฉินฉางเซิงจึงเงียบไปสักพัก ก่อนเล่าเรื่องสำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในสวนโจวให้ซูหลีฟัง โดยไม่ได้พูดถึงรายละเอียดบางอย่าง เช่นแผ่นป้ายอนุสรณ์สิบแผ่น มหาวิหคปีกทอง และ…สาวน้อยชุดขาวจากเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์
“เรื่องที่ปิดบังข้า มีไม่น้อยทีเดียว” ซูหลีพูดเสียงต่ำขณะจ้องมองเขา
เฉินฉางเซิงรู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงหัวเราะแล้วว่า “ผู้อาวุโส ทุกคนย่อมมีความลับส่วนตัว”
ซูหลีเย้ย “สามารถเก็บความลับไปจนตายถึงจะเรียกว่าความลับ แต่เจ้าจะโป้ปดเป็นหรือ?”
เฉินฉางเซิงคิดในใจ แม้ตนไม่ถนัดโป้ปด แต่ก็ยังเก็บความลับได้มากมายโดยไม่มีใครรู้ แม้แต่ผู้อาวุโสท่านก็ยังไม่รู้ และไม่รู้เพราะอะไร เขาถึงสะใจในเรื่องเล็กๆ เช่นนี้
แต่แล้วจู่ๆ ซูหลีก็พูดขึ้น “จากนี้ไป ตลอดการเดินทางล้วนต้องพึ่งพาเด็กหนุ่มอย่างเจ้า ข้าจึงเปลี่ยนความคิด ตัดสินใจถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้เจ้า ซึ่งเจ้าก็อย่าได้เข้าใจผิดว่านี่คือการเจรจาต่อจากตอนที่อยู่บนสันเขาหิมะ ข้าอยู่ข้างชิวซานอยู่แล้ว แต่ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง”
เช่นนี้เฉินฉางเซิงจึงแน่ใจแล้วว่า เมื่อเช้าหลังจากผู้อาวุโสยันดาบของเซวียเหอไว้ ก็ไม่เหลือแรงต่อสู้อีก และพอฟังคำอธิบายของผู้อาวุโส เขาก็ไม่รู้สึกดีใจ เพียงรู้สึกปวดใจ และรู้สึกว่าแรงที่กดทับลงบนบ่านั้นหนักมากขึ้น…เขาไม่อยากเห็นผู้อาวุโสที่รักความอิสรเสรี กล้าท้าทายดินฟ้า เปลี่ยนเป็นระแวดระวังเช่นนี้ จึงอยากพูดคุยให้บรรยากาศมีชีวิตชีวาขึ้นมา
“ที่ผู้อาวุโสยอมสอนเพลงกระบี่ให้ข้า เป็นเพราะเห็นความสามารถข้า”
เฉินฉางเซิงมองซูหลีพลางพูดต่อ “เป็นเพราะการต่อสู้เมื่อเช้า ข้าได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่ามีคุณสมบัติพอที่จะฝึกฝนเพลงกระบี่”
ซูหลีอึ้ง ก่อนหัวเราะเสียงดังออกมา “ท่าทางหลงตัวเองของเจ้า มีบางส่วนสง่างามเหมือนข้าจริงๆ”
เฉินฉางเซิงนึกในใจ นี่ล้วนติดมาจากถังซานสือลิ่ว พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็ไม่รู้สึกกดดันต่อความคิดของคนบางกลุ่มในเมืองจิงตูอีก จะว่าไปก็น่าทึ่ง หลังออกจากเมืองซีหนิง เขาระลึกถึงท่านอาจารย์และศิษย์พี่อวี๋เหรินเสมอ แต่ไม่ค่อยรู้สึกคิดถึง ตอนนี้เขาจากจิงตูมาแค่เดือนกว่า แต่กลับคิดถึงจิงตูทุกวัน มากกว่าวันละครั้ง
คิดถึงต้นไทรใหญ่ในสำนักฝึกหลวง บนนั้นลั่วลั่วยืนเคียงบ่าเคียงไหล่เขา โดยมีถังถังยืนด่าไม่หยุดอยู่ด้านล่าง ขณะดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้ากลางทะเลสาบ ไกลออกไป เสนาธิการจินนั่งอยู่ในห้อง มุขนายกเหมยนอนหลับอุตุ ทุกคนสบายดีไหม? ยังมีสาวน้อยคนนั้น…แม่นาง แม่นาง แม่นางชูเจี้ยน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?
ใจของเฉินฉางเซิงอยู่ที่จิงตูแล้ว เขาตั้งใจว่าต้องกลับไปให้ได้ กลับไปแบบตัวเป็นๆ ต้องรีบกลับไป…เขาลุกขึ้นยืน คุกเข่าทำความเคารพซูหลีอย่างเป็นทางการ พลางพูดจากใจจริง “ขอผู้อาวุโส สอนเพลงกระบี่ให้ข้าด้วย”
ซูหลีมองเขาพลางถาม “เจ้าเป็นเพลงกระบี่อะไรบ้าง?”
เฉินฉางเซิงลุกขึ้นยืน หันมองทะเลสาบที่ค่อยๆ มืดลงและเริ่มมีดวงดาวปรากฏให้เห็น กระแอมไอเล็กน้อย แล้วว่า “ที่ข้าเป็นก็มี เพลงกระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซาน เพลงกระบี่แปดร้อยเล่มข้ามลำน้ำใหญ่ เพลงพลองพลิกขุนเขาของสำนักฝึกหลวง เพลงกระบี่แท้ไร้เทียมทานของนิกายหลวง เพลงกระบี่สิบสามกิ่งหลิว เพลงกระบี่น้ำค้างแข็งของพรรคเทือกเขาหิมะ ข้ายังเป็นเพลงกระบี่แสงชั่วพริบตาของสำนักเทียนเต้า เพลงกระบี่เจิ้งอี้ของหอจงซื่อ เพลงกระบี่ทลายทัพของสำนักเด็ดดารา เพลงกระบี่เวิ่นสุ่ยสามกระบวนท่ากับเพลงกระบี่ประจำตระกูลของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย ของพรรคกระบี่หลีซานมี เพลงกระบี่บุบผาบานดั่งแพรไหม ผีภูเขาแบ่งหินผา กระบี่อาคม กระบี่รับแขก กระบี่ย้ายขุนเขา กระบี่เผานภา ของสถานศึกษาหนานซีมีเพลงกระบี่ดอกเหมยบานสามหน กระเรียนขาวจากตะวันตก ตวัดลายพู่กัน…”
ข้างทะเลสาบเงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงดังกังวานไม่หยุดของเด็กหนุ่ม ชื่อเพลงกระบี่หลากหลายลอยระบำบนผิวน้ำ ตามสายลมยามราตรี อย่างไม่มีวี่แววว่าจะหยุด
จวบจนดวงดาวปรากฏเต็มท้องฟ้า และใครบางคนเริ่มทนไม่ไหว
“หยุด!” ซูหลีมองเขาพลางว่า “นี่เจ้ากำลังต่อคำอยู่รึ?”
เฉินฉางเซิงงุนงง จึงถาม “ผู้อาวุโส อะไรคือต่อคำ?”
“คนเล่านิทานในเมืองหลินอันชอบเล่าเรื่องตลก การต่อคำคือพื้นฐานของศิลปะชนิดนี้ เช่นตอนหนึ่งพูดว่า กับข้าวที่ข้าทำมี ต้มหางกวาง ต้มอุ้งตีนหมี…เฮ้อ ข้ากำลังพูดอะไรกับเจ้าอยู่นี่”
ซูหลีเริ่มหมดความอดทน โบกมือ “สรุปว่า พูดถึงตรงนี้พอแล้ว”
อะไรคือพอแล้ว? ซูหลีฟังพอแล้ว หรือเฉินฉางเซิงฝึกเพลงกระบี่มากพอแล้ว
เฉินฉางเซิงเชื่อฟังคำซูหลี ไม่พูดต่อ เพียงรู้สึกไม่สุดอยู่บ้าง
“เจ้านี่…เป็นเพลงกระบี่ไม่น้อยเลยทีเดียว” ซูหลีพูดพลางมองเขา ด้วยสีหน้าไม่เพียงชื่นชม แต่เต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน
เฉินฉางเซิงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ล้วนเป็นการท่องจำ ยังไม่เข้าใจถ่องแท้นัก ไม่กล้าพูดว่าควบคุมได้จริงๆ”
“เหลวไหล คิดเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเพลงกระบี่เหล่านี้ เจ้าต้องเกิดก่อนหน้านี้สักหกร้อยปี แล้วเริ่มเรียนรู้แต่ตอนนั้น” ซูหลีพูดเสียงเย็นชา “แต่ไม่มีความจำเป็น คนโง่เท่านั้นที่พยายามเรียนเพลงกระบี่มากมายเช่นนี้”
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าประโยคนี้กำลังด่าว่าตน
ซูหลีพูดต่อ “แต่อย่างน้อย นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีความรอบรู้ในวิถีกระบี่กว้างขวางพอ ซึ่งคำพูดของข้าในวันนี้ เจ้าน่าจะเข้าใจ และไม่คิดว่าข้ากำลังด่าว่าเจ้า”
เฉินฉางเซิงยังคงรู้สึกว่าประโยคนี้กำลังด่าว่าตน
ซูหลีพูดต่อไม่หยุด โดยมิได้พูดหัวข้อใดๆ ทำเพียงเริ่มต้นสอน “ผู้แข็งแกร่งทั่วหล้าล้วนรู้ว่าเซวียเหอเทียบหวังผ้อไม่ติด เมื่อเช้าเขาก็ถามข้าเรื่องนี้ และขอคำตอบจากข้า เขาใช้ดาบเจ็ดเล่ม แต่ไม่มีสักเล่มที่สามารถเอาชนะหวังผ้อได้ นี่ไม่เกี่ยวกับโลภมากลาภหายหรือหลายใจแต่อย่างใด เกี่ยวกับธรรมชาติของดาบหรือกระบี่ต่างหาก”
เฉินฉางเซิงถาม “ธรรมชาติของกระบี่คืออะไรหรือ?”
ซูหลีชักกระบี่บังฟ้าออกจากร่มกระดาษทอง วางขวางอยู่บนตัก ชี้ไปที่กระบี่พลางว่า “นี่คล้ายตัวอักษรอะไร?”
เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงทำการสังเกตกระบี่ชื่อดังที่ติดตัวเขามานานในระยะใกล้ ขณะกำลังมองให้ละเอียดถี่ถ้วนก็ได้ยินคำถาม จึงพูดโดยไม่ต้องคิด “คล้ายคำว่าหนึ่ง (一)”
ซูหลีตีหน้าขรึม “ไม่ผิด จิตวิญญาณของเส้นทางกระบี่ อยู่ที่คำว่าหนึ่ง”
เฉินฉางเซิงเงียบไปสักพัก ค่อยว่า “แต่…วันนั้นผู้อาวุโสท่านพูดว่า จิตวิญญาณของเส้นทางกระบี่อยู่ที่กระบี่?”
ซูหลีเริ่มฉุน “ยังจะอยากพูดจากันดีๆ อยู่ไหม?”