ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 9 ชีวิตถ้าเป็นเช่นแรกเจอ (3)
มองการตอบสนองของหนานเค่อ เฉินฉางเซิงยิ่งมั่นใจการวินิจฉัยของตัวเอง ในเมื่อเอ่ยปากแล้ว เขาก็อยากพูดให้จบ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง เขาเคยชินกับการทำตัวเป็นหมอ ไม่อาจยอมรับผู้ป่วยคนหนึ่งละทิ้งโรคไม่ไยดีหมอ แม้ฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูของเขา อีกทั้งอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่อย่างแน่นอน เขาทำได้เพียงลงมือในด้านนี้
“ปัญหาที่เกิดจากสายเลือดพรสวรรค์ ข้ามีประสบการณ์มาก ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรู้จุดนี้ ถ้าเจ้ายอมให้ข้ารักษา ข้าอาจจะหาวิธีได้จริง” เขามองหนานเค่อพลางกล่าว
คนแรกที่รู้ชื่อของเขาในต้าลู่ ไม่เกี่ยวกับสัญญาสมรสนั้น ไม่เกี่ยวกับการชุมนุมไม้เลื้อยและการสอบใหญ่เช่นกัน แต่เป็นเพราะว่าเขากลายเป็นอาจารย์ของลั่วลั่ว แต่ที่เขาได้เป็นอาจารย์ของลั่วลั่ว และได้รับการยอมรับจากคู่สามีภรรยานักปราชญ์เมืองไป๋ตี้ที่อยู่ไกลโพ้น เพราะว่าเขาได้จัดการกับปัญหาเส้นลมปราณของลั่วลั่ว ทำให้นางใช้วิชาของเผ่ามนุษย์ได้สำเร็จ เจ๋อซิ่วจากที่ราบหิมะที่ห่างไกลมุ่งหน้ามายังจิงตู เป้าหมายของการเข้าร่วมการสอบใหญ่ ไม่ใช่เพื่อเข้าสุสานเทียนซูชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ แต่เพราะรู้ว่าเขามีความสามารถในด้านนี้ ตั้งใจมาขอการรักษา สองความจริงข้อนี้สามารถพิสูจน์ได้ถึงวิชาทางการแพทย์ของเขาโดยเฉพาะความสามารถทางด้านนี้
ปัญหาของหนานเค่ออยู่ที่การรู้ตื่นของสายเลือด แม้ปัญหาที่พบเจอต่างกับลั่วลั่วและเจ๋อซิ่ว แต่มีหลายจุดที่เชื่อมโยงกัน นางจ้องเฉินฉางเซิง ไม่ได้สังเกตเห็นสติที่แตกกระเจิงของผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ด้านหลัง เงียบขรึมสักพักจู่ๆ พูดว่า “ถ้า…ข้าไม่สบายจริงๆ เจ้ารักษาให้ข้า ข้าให้เจ้าจากไป”
เฉินฉางเซิงคิดในใจว่า เวลานี้แล้ว เจ้ายังไม่ยอมให้ดรุณีชุดขาวผู้นี้จากไป ดรุณีชุดขาวเป็นใครกันแน่? เขาไม่ยอมรับการวางแผนเช่นนี้เป็นแน่ พลันพูดว่า “ถ้าข้าเดินไปถึงข้างหน้าเจ้า เจ้าต้องฆ่าข้าแน่นอน ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดน่าจะหลังจากออกจากสวนโจว ข้าค่อยรักษาให้เจ้า”
หนานเค่อพูดว่า “เรื่องอะไรข้าต้องเชื่อเจ้า? หลังจากออกจากสวนโจว เจ้ากลับไปที่พระราชวังหลี ข้าก็ไม่สามารถไปหาเจ้า”
เฉินฉางเซิงพูดยังไม่ทันคิด “ถ้าเป็นคำมั่นสัญญา ข้าจะทำตามสัญญา”
ในโลกที่สับปลับกลับกลอก ต่อหน้าความอาฆาตโลหิตระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่ามารที่เพื่อจุดมุ่งหมายแล้วล้วนไม่สนวิธีการ การทำตามสัญญาเป็นเรื่องที่น่าขันอย่างยิ่ง แต่แล้วไม่รู้เพราะเหตุใด มองสีหน้าที่สงบของเฉินฉางเซิง หนานเค่อกลับรู้สึกว่าประโยคนี้ของเขาซื่อสัตย์อย่างหาที่เปรียบมิได้ ให้ความรู้สึกไม่เชื่อไม่ได้
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางไม่คุ้นชินเล็กน้อย ไม่ค่อยมีความสุข พูดว่า “เรื่องอะไรข้าต้องเชื่อเจ้า?”
นี่ยังคงเป็นประโยคซ้ำ ถึงเวลานี้ หนานเค่อในที่สุดก็สังเกตถึงปัญหา ความแน่วนิ่งในดวงตาปรากฏความโมโหเล็กน้อย พยายามหาวิธีอื่นเพื่อปิดบังอารมณ์ที่แท้จริงของตัวเอง พูดด้วยเสียงที่ไม่มีขึ้นลงว่า “เรื่องอะไรข้าต้องเชื่อในสิ่งที่เจ้าพูด เพียงแค่เจ้ามองปราดเดียว ก็มองออกว่าข้าป่วยได้หรือ?”
นี่เป็นครั้งที่สามที่ถามซ้ำแล้ว เฉินฉางเซิงพูดอย่างตั้งใจว่า “ใช่ ข้าเพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้”
หนานเค่อไร้สีหน้า ความโมโหในสายตาหายไป เหลือเพียงแค่ความนิ่งงัน พูดว่า “เจ้าดูออกได้อย่างไร?”
เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีก พูดว่า “ปัญหาของเจ้าไม่เหมือนลั่วลั่วและเจ๋อซิ่ว พวกเขาหลักๆ เป็นปัญหาที่ปะทะกันระหว่างสายเลือดและเส้นลมปราณ แต่เจ้า…น่าจะเป็นการปะทะกันระหว่างวิญญาณเทพและร่างกาย ดูจากชื่อของเจ้า วิญญาณเทพในร่างกายของเจ้าน่าจะเป็นนกยูงกลับชาติมาเกิด? นกยูงแต่ไหนแต่ไรมีชื่อเสียงจากวิญญาณเทพที่ยิ่งใหญ่ ถูกขนานนามว่าต้าหมิงหวัง*ก็ด้วยเหตุผลนี้ เจ้าสืบทอดวิญญาณเทพและสายเลือดของมัน พรสวรรค์การบรรลุในตัวยังยอดเยี่ยมยิ่ง ตั้งตอนยังเด็กมาก วิญญาณเทพของมันก็ได้ตื่นขึ้นมาในร่างกายของเจ้า อีกทั้งเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง เหนือกว่าระดับการเจริญเติบโตในร่างกายของเจ้าไปไกล ระหว่างสองอย่างนี้ไม่สามารถปรับเข้าไปด้วยกันได้ จึงค่อยๆ เกิดการปะทะกัน นี่ก็คือสาเหตุของปัญหา”
หนานเค่อเงียบขรึมสักพัก แล้วพูดว่า “สิ่งที่ข้าจะถามคือ เจ้ามองออกอย่างไร”
“จิตวิญญาณอยู่ที่ห้วงแห่งจิต แต่วิญญาณแห่งต้าหมิงหวังในร่างกายของเจ้าเป็นวิญญาณดวงที่สอง ฉะนั้นจึงพักพิงอยู่ตรงนี้ ในตำราแพทย์เรียกตรงนี้ว่าซงกั่ว*”
เฉินฉางเซิงชี้หว่างคิ้วของตนเองพลางพูดว่า “วิญญาณเทพของนกยูงรู้ตื่น เติบโตอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้นจึงทำให้ซงกั่วของเจ้ายิ่งมายิ่งใหญ่ แต่การเติบโตของร่างกายเจ้ากลับตามไม่ทัน ฉะนั้นสามารถมองออกได้ชัดว่าคิ้วตาของเจ้าเมื่อเทียบกับคนปกติแล้ว…อาจจะพูดว่าเผ่ามารกว้างหน่อย อีกทั้งเจ้าถอดจิตสำรวจตนเองทุกวันทุกคืน จิตใจถูกเชื่อมโยงเกือบทั้งหมด ฉะนั้นจึงกลายเป็นสถานการณ์ที่พิเศษมากรูปแบบหนึ่ง…”
เขาคิดแล้วคิดอีกว่าจะพรรณนาสถานการณ์แบบนั้นอย่างไร คิดไปครึ่งค่อนวันเห็นว่ามีเพียงคำหนึ่งที่สามารถบรรยายได้แม่นยำมากที่สุด มองไปยังหนานเค่อที่อยู่ชายฝั่งพูดว่า “ที่ข้าปราดเดียวก็สามารถมองโรคในร่างกายของเจ้าออกเป็นเพราะว่า…เจ้าตาเหล่”
ตาเหล่?
ตาเหล่!
ดงกกอ้อเงียบสงบไปทั่ว โดยเฉพาะบนชายฝั่งยิ่งเงียบสนิท ไม่ว่าสาวรับใช้สองคนหรือว่าผู้เฒ่าดีดพิณสีหน้าล้วนดูไม่ได้ มองเขาก็เหมือนกับมองศพร่างหนึ่ง
สีหน้าของหนานเค่อยังคงสงบ กระทั่งสามารถพูดได้ว่ามึนงงเล็กน้อย แต่ไม่รู้ทำไม ทั้งๆ ที่ตอนนี้ไม่มีลม ผมดำที่ปล่อยอยู่บนหัวไหล่ กลับค่อยๆ พัดปลิวขึ้นมา นัยน์ตาค่อยๆ กลายเป็นสีเขียวอึมครึม บวกกับในหน้าเล็กขาวซีดที่ความเป็นเด็กยังไม่จางหาย และคิ้วตากว้าง มองดูแล้วน่าประหลาดน่ากลัวยิ่งนัก
ที่ยอดเทือกเขาอัสดง ครั้งแรกที่สวีโหย่วหรงเห็นหนานเค่อ ก็ประหลาดใจเหมือนก่อนหน้านี้ที่เฉินฉางเซิงเห็นนางครั้งแรก ไม่เพียงแค่เพราะว่าหนานเค่อในคำเล่าลือเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงที่ท่าทางเซี่องซึม ยังเป็นเพราะคิ้วตาของนางกว้างกว่าปกติไม่น้อย สายตามีความมึนงง มองดูแล้วเหมือนปัญญาโตไม่เต็มที่ อีกทั้งนัยน์ตาเอียงไปตรงกลางเล็กน้อยจริงๆ
แต่สวีโหย่วหรงไม่ได้พูดอะไร เพราะว่านางมองหนานเค่อเป็นคู่ต่อสู้ที่ควรค่าแก่การให้เกียรติ ให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างกายของฝ่ายตรงข้าม เป็นเรื่องไร้มารยาทยิ่ง
เฉินฉางเซิงแต่ไหนแต่ไรเป็นคนที่เคร่งครัดเรื่องมารยาทมาก แม้จะเจอศัตรูเผ่ามารเช่นนี้ สามารถต่อสู้กับมันได้ แต่ก็ไม่จงใจทำให้ฝ่ายตรงข้ามอับอายเพราะความบกพร่องทางร่างกาย สาเหตุที่เขาพูดว่านางตาเหล่ต่อหน้าต่อตาหนานเค่อ หนึ่งคือเพราะว่าเขารู้ว่านี่ไม่ใช่ตาเหล่ที่แท้จริง แต่เป็นสัญญาณของการปะทะระหว่างวิญญาณเทพและร่างกาย เป็นสัณฐานของโรคไม่ใช่ความบกพร่องทางร่างกาย ฉะนั้นจึงรู้สึกว่าพูดได้ อีกอย่างก็คือ ตอนนี้เขามองหนานเค่อเป็นผู้ป่วยคนหนึ่ง ในฐานะที่เป็นแพทย์แน่นอนว่าต้องพูดทุกอย่าง…เขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดี และก็ไม่ได้คิดว่าตาเหล่คำนี้สำหรับสาววัยเยาว์คนหนึ่งแล้วเป็นการทำให้อับอายแต่อย่างใด แต่แล้วก็เป็นเพราะคำพูดของเขาที่ตามใจตั้งใจและซื่อตรงเช่นนี้ ถึงเห็นว่าเป็นความจริงน่าเชื่อถือมากเป็นพิเศษ นี่ถึงทำให้หนานเค่อรู้สึกโมโหโทโสอย่างถึงที่สุด
มองนัยน์ตาที่เขียวประหลาดและผมดำขลับพัดปลิวเต้นระบำของหนานเค่อ เขาเพิ่งจะรู้สึกว่าเหมือนตัวเองพูดอะไรผิดไปบางอย่าง รีบยื่นมือทำท่ามืออธิบาย “แน่นอนว่าไม่ได้หนักหนาร้ายแรงขนาดนั้นอย่างที่ข้าพูด เจ้าเพียงแค่คิ้วตาห่างหน่อย นัยน์ตาได้รับผลกระทบจากวิญญาณเทพ ทำให้เบนออกไปจากจุดศูนย์รวมตรงกลาง เมื่อมองดูจึงมึนๆ งงๆ เล็กน้อย แต่สติปัญญาของเจ้าไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน”
สมกับที่เป็นเด็กหนุ่มน่าไว้วางใจและซื่อสัตย์ของสำนักฝึกหลวง คำอธิบายชุดนี้ไม่อธิบายยังดีกว่า
สีหน้าของหนานเค่อยังคงไม่แยแสอย่างเดิม ผมดำกลับพัดปลิวยิ่งมายิ่งเร็ว กลิ่นอายพลังปราณก็ยิ่งมายิ่งแรง
เสียงพึ่บพั่บหลายเสียงดังขึ้น
ไร้สัญญาณใดๆ นางยกมือขวาขึ้นมาชี้ไปยังเฉินฉางเซิง เส้นแสงสีเขียวอ่อนจางห้าสาย ทะลวงอากาศไปข้างหน้า แทงลงบริเวณอกของเฉินฉางเซิงโดยตรง!
ในแสงสีเขียวห้าสายนี้แฝงด้วยพลังปราณของนาง แฝงด้วยวิญญาณเทพซึ่งทะนงและเย็นชาดวงนั้นที่หว่างคิ้วของนาง ก็คือขนนกยูงที่ยิ่งใหญ่น่าหวาดกลัวไร้ที่เปรียบ!
หลังสนามต่อสู้เมื่อคืน ปราณแท้ของนางสูญเสียไปอย่างมาก เลือดไหลไปจำนวนมากเหมือนสวีโหย่วหรง แต่ในสถานการณ์นี้ นางไม่เสียดายที่จะใช้วิธีโจมตีเช่นนี้ พูดได้แค่ว่านางบ้าไปแล้วจริงๆ สนใจโรคอะไรเสียที่ไหน ตอนนี้นางมีเพียงความคิดเดียว นั่นก็คือสังหารหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่น่าเกลียดชังอย่างยิ่งให้ตาย!
บาดแผลหนานเค่อยังไม่หาย แต่การโจมตีที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เฉินฉางเซิงสามารถรับไว้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ของเฉินฉางเซิงในตอนนี้ยิ่งย่ำแย่ ดีที่มังกรดำที่หลับลึกอยู่ในน้ำทะเลสาบนอกแดนลี้ลับ ได้ปล่อยลมหายใจเกล็ดน้ำแข็งอย่างไม่หยุดหย่อน ช่วยเขาซ่อมแซมรอยแตกของบาดแผลบนอวัยวะภายในของเขา ที่สำคัญที่สุด เกล็ดน้ำแข็งทะเลสาบที่กระจายหล่นเหล่านั้น ช่วยเติมปราณแท้ของเขาบางส่วน
จำนวนปราณแท้เหล่านั้นยังคงน้อยนิด ไม่เพียงพอในการใช้ในการต่อสู้ แต่อย่างน้อยสามารถให้เขาได้ทำอะไรได้บางอย่าง…คิดขยับเพ่งจิตอย่างรวดเร็ว เกล็ดน้ำแข็งชั้นบางบนที่ราบรกร้างในร่างเขาแผดเผาขึ้นมา เสียงเสียดสีและเสียงปะทะของโลหะราวกับดังขึ้นมาพร้อมกัน ร่มกระดาษทองปรากฏอยู่ในมือของเขา ต้านสายลมกรรโชก
รอบจตุรทิศดงกกอ้อในตอนนี้เงียบสงบไม่มีลมสักนิดเดียว สายลมพัดมา แน่นอนว่ามาจากขนนกยูงห้าสายนั้นที่น่าหวาดผวา
ได้ยินเพียงแค่เสียงปะทะที่น่ากลัวหลายเสียงดังขึ้นติดต่อกัน ดงต้นอ้อจู่ๆ กลายเป็นฝุ่นละอองจำนวนมาก กระจายไปยังท้องฟ้าและชายฝั่ง ราวกับกองหิมะสะสมที่ถูกระเบิดออกมา
ขนนกยูงห้าสายไม่แบ่งแยกก่อนหลัง รุนแรงแต่เรียบง่าย โจมตีไปที่ผิวร่มของร่มกระดาษทอง เฉินฉางเซิงไหนเลยยังยืนหยัดอยู่ได้ แผดเผาปราณแท้หยดสุดท้าย จับด้ามจับร่มไว้อย่างแนบแน่นสุดชีวิต จากนั้นเท้าก็ได้จากไปจากดงต้นอ้อ ลอยขึ้นมาในท้องฟ้า ลอยออกไปหลายสิบจั้ง ถึงจะตกลงมาตามแนวเส้นโค้ง ล้มลงไปในที่ราบทุ่งหญ้าอย่างแรง
อาศัยร่มกระดาษทอง ลดความเร็วในการบินลงไปบางส่วน แต่เขายังคงล้มด้วยแรงที่ไม่เบา ตกลงไปในน้ำ เกิดน้ำกระเซ็นเป็นวงกว้าง
ที่จริงแล้วด้านล่างของหญ้าป่าที่มองไม่เห็นที่สิ้นสุด ก็ซ่อนแหล่งน้ำจำนวนมาก เหมือนกับดงต้นอ้อที่อยู่รอบนอก
น้ำที่เย็นเล็กน้อยตบไปที่หน้า เหมือนกับก้อนหินที่แข็งแกร่ง สะเทือนอย่างแรงทำให้เฉินฉางเซิงเกือบพ่นโลหิตออกมา กลับฝืนกลืนกลับเข้าไป
เขายืนขึ้นมาในน้ำอย่างยากลำบาก ไม่ทันได้สนใจบาดแผลที่อาจกำเริบอีกครั้ง ลากขาสองข้างที่หนักกว่าเดิม รีบวิ่งไปยังด้านหน้า
ถูกขนนกยูงที่เด็ดขาดน่าหวาดกลัวของหนานเค่อโจมตี ตกลงไปที่ที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ นี่ก็คือเรื่องที่เขาเตรียมไว้ในก่อนหน้านี้ ไม่ว่ามุม ตำแหน่ง ล้วนไม่มีความคลาดเคลื่อนใดๆ อีกนัยหนึ่ง เดิมเขาก็เตรียมที่จะหนีเข้ามาที่ที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ ใช่ แม้ทุกคนล้วนรู้ว่า เข้ามาในที่ราบทุ่งหญ้าที่ลึกลับและอันตรายแห่งนี้ ก็จะไม่สามารถจากไปได้อีก แต่เขาไม่เข้าไม่ได้
เนื่องจากถ้าไม่เข้ามาในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ เขาก็ต้องตาย เข้าไป อย่างน้อยยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสักพัก แม้อาจได้เพียงหายใจอีกแค่ไม่กี่อึดใจก็ตาม
ท้องฟ้ามีเสียงแหวกอากาศที่โหยหวนดังขึ้นเป็นครั้งคราว การโจมตีที่น่ากลัวของหนานเค่อยังคงต่อเนื่อง
เขาไม่ได้หันหน้าไปมองชายฝั่งสักปราด นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับบุรุษไม่หันไปมองอาคารถล่มแม้แต่นิดเดียว เขาเพียงแค่อยากประหยัดเวลา อยากจะจากไปเร็วกว่านี้
น้ำในที่ราบทุ่งหญ้าไม่ลึก ไม่เกินเอวของเขาพอดี แต่ถ้าอยากเดินในนี้เป็นเรื่องที่ลำบากและกินแรงมาก อยากเร็วก็ไม่สามารถเร็วได้
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงหญ้าน้ำกอหนึ่ง เขาหันหน้าไปมองสาววัยเยาว์ชุดขาวที่อยู่ในสภาพสลบไสล ไม่เข้าใจเล็กน้อย ใจคิดทั้งๆ ที่ตัวไม่สูง ทำไมถึงหนักกว่าที่คิด?
*ต้าหมิงหวัง สัญลักษณ์นกยูงโอบอุ้มพระโพธิสัตว์ เชื่อว่าเป็นบริวารของพระโพธิสัตว์รูปหนึ่ง
*ซงกั่ว ต่อมไพเนียล ตามความเชื่อนักปราชญ์ชาวกรีกกล่าวว่าเป็นศูนย์กลางอาณาจักรความคิด และเป็นจุดสถิตของจิตวิญญาณ