ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 91 เพลงกระบี่เร่งรัด (ตอนต้น)
หากให้เพลงกระบี่รอบรู้เป็นหัวข้อหนึ่ง หัวข้อนี้เริ่มต้นก็มีเงื่อนไขมากมาย ตัวแปรมากมาย ข้อมูลมากมาย ไม่มีความแน่นอน จึงไม่ต้องพูดถึงการคำนวณผลลัพธ์สุดท้าย
เฉินฉางเซิงมั่นใจว่าตนไม่สามารถตั้งข้อสันนิษฐานจากสภาวะเช่นนี้ได้ อย่างน้อยก็ไม่สามารถสันนิษฐานขณะต่อสู้อย่างดุเดือด จึงเริ่มสงสัยว่าจะมีใครสามารถคำนวณได้อย่างสมบูรณ์แบบบ้าง แต่การต่อสู้เมื่อเช้า ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอย่างน้อยซูหลีทำได้…ซูหลีย่อมมิใช่คนทั่วไป แต่ถ้าเขาทำได้ ย่อมหมายความว่าเรื่องนี้สามารถทำได้จริง
ภาพทะเลสาบและภูเขาอันไกลโพ้นยามค่ำคืนอยู่ตรงหน้า เฉินฉางเซิงผละออกจากความรู้สึกยากและท้อแท้ใจอย่างรวดเร็ว แล้วคิดว่าขนาดตำแหน่งการยืนของวิชาย่างก้าวหยั่งเทวา ตนยังสามารถท่องถอยหลังได้อย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้งานได้จริง การนี้ แม้ตนไม่มีพรสวรรค์ในการคิดคำนวณ อ่านใจคน และตั้งข้อสันนิษฐานขณะต่อสู้ ก็น่าจะใช้วิธีโง่ๆ เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย ด้วยการทำแบบทดสอบให้มากเข้าไว้ ให้การสันนิษฐานกลายเป็นสัญชาตญาณ ก็อาจใช้ถ่วงเวลาได้บ้าง
ทว่าทำอย่างไรจึงจะทำแบบทดสอบให้ได้มากๆ เล่า? ถ้ากลับถึงจิงตูอาจเป็นไปได้ แต่ตอนนี้เขาจะหาผู้มีฝีมือในขั้นรวบรวมดวงดาวได้จากไหน อีกทั้งต้องรับรองด้วยว่า ถ้าทำแบบทดสอบไม่ได้ จะไม่ถูกฆ่าตาย
เมื่อสังเกตเห็นว่าความมืดที่อยู่ตรงหน้ามีจุดสว่างมากมาย ซึ่งก็คือเงาสะท้อนจากดวงดาวนั่นเอง และพอแหงนหน้ามองโค้งฟ้า ก็เห็นดวงดาวระยิบระยับในความมืด จึงจ้องมองเงียบๆ พลางนึกถึงตัวเอง
มนุษย์ (เผ่าเทพ) เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนและน่าค้นหามากสุดในโลก เพราะพวกเขามีระดับความรู้แตกต่างกัน ใช้ชีวิตแตกต่างกัน ความแปรปรวนทางอารมณ์และความคิดจิตใจส่วนใหญ่ขึ้นกับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญ ส่งผลให้มีท่าทีและการแสดงออกไม่เหมือนกัน ซึ่งซับซ้อนมาก เปรียบได้กับเหล่าดวงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า
นี่คือเรื่องราวในอดีต ที่ใต้เท้าสังฆราช นักศึกษาผู้คงแก่เรียน และผู้ซึ่งถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่มวลมนุษยชาติมากสุดคร่ำครวญกับดวงดาวบนท้องฟ้า เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติความเป็นมาของนิกายหลวง อีกทั้งยังมีเรื่องราวของนักศึกษาเผ่ามารคนหนึ่งนามทงกู่ซือ กำลังเดินทางอยู่ในพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ตอนเขามองเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า ก็นึกหวาดหวั่นแล้วพูดออกมาทำนองนี้เช่นเดียวกัน
เมื่อเฉินฉางเซิงนึกถึงคำคำนี้ขณะมองดูดวงดาว ก็รู้สึกได้ถึงดวงดาวสีแดงของตนที่อยู่ไกลแสนไกลและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นวาดอาณาเขตดวงดาวบนท้องฟ้า แล้วดึงแผนที่ดวงดาวลงมาผืนหนึ่ง วางลงตรงหน้า…แน่นอนว่า นี่เป็นการอธิบายให้เห็นภาพ มิได้เกิดขึ้นจริง
ค่ำคืนสุดท้ายของการอ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูนั้น เขาได้นำเส้นสายบนแผ่นป้ายอนุสรณ์สิบเจ็ดแผ่นแรกหน้าสุสานมาวาดรวมกัน เป็นแผนที่ดวงดาวผืนหนึ่ง ซึ่งก็คือผืนที่อยู่ตรงหน้า แผนที่ดวงดาวผืนนี้ถือเป็นผืนที่เล็กมาก เมื่อเทียบกับดวงดาวทั้งหมดบนฟากฟ้า แต่กระนั้นก็ตาม ก็ยังประกอบไปด้วยดวงดาวเป็นหมื่นเป็นล้านดวงกะพริบเป็นเส้นแสงอยู่ตรงหน้า เหมือนอยู่นิ่งอย่างเคร่งครัดตลอดกาล
แต่เขารู้ดีว่า ดวงดาวเหล่านี้กำลังเคลื่อนที่อยู่ทุกโมงยาม
ดาวทุกดวงมีเส้นทางการเคลื่อนที่ของตัวเอง หมายความว่าดวงดาวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกันกับคนเราที่อายุเพิ่มขึ้น พละกำลังถดถอยลง ความกล้าหาญลดลง ตายแล้วเกิดใหม่ ถ้าการเดินทางของดวงดาวบนท้องฟ้าหมายถึงโชคชะตา เช่นนั้นการเปลี่ยนแปลงของดวงดาวเหล่านี้ก็หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของหลายๆ ปัจจัยที่ใช้ตัดสินชะตาชีวิต
เส้นทางโดยรวมของดวงดาวก็คือชะตาชีวิตของคนเรา ทั้งหมดอยู่ในนั้น
อาณาเขตดวงดาวของผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาว ก็ไม่มีทางเกินเลยไปจากขอบเขตนี้ ดวงดาวเคลื่อนที่ ก็เหมือนพลังปราณเคลื่อนที่ ระดับความสว่างของดวงดาว ก็เหมือนระดับความแข็งแกร่งของพลังปราณ ไม่ว่าเงื่อนไขหรือข้อมูลใดๆ ล้วนสอดคล้องกับเส้นทางการเคลื่อนที่ของดวงดาว เพียงแต่เงื่อนไขเหล่านี้คือความจริง ไม่ลึกลับซับซ้อน พูดง่ายๆ ก็คือ เงื่อนไขเหล่านี้สามารถคำนวณและตรวจสอบได้
ถ้าสามารถมองความกว้างใหญ่ไพศาลของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวให้เป็นเรื่องง่าย และหาทางออกได้ ก็ย่อมสามารถหาจุดอ่อนของผู้บำเพ็ญเพียรในขั้นรวบรวมดวงดาวได้ เพียงแต่…ขณะดวงดาวกำลังเคลื่อนที่ ปัจจัยที่ส่งผลต่อผู้บำเพ็ญเพียรผู้หนึ่งก็กำลังเปลี่ยนแปลงไม่หยุดเช่นกัน เช่นนี้อย่างไรจึงจะมีบทสรุปที่ชัดเจนเล่า?
ทว่าไม่นานนัก เฉินฉางเซิงก็เข้าใจ ดังเช่นแผนที่ดวงดาวผืนนี้ ตำแหน่งดวงดาวที่เห็นมิได้หมายความว่ามันอยู่ที่นั่นตลอดกาล เพียงแต่ในหมื่นล้านปี มันมักปรากฏให้เห็นในตำแหน่งนี้ นี่คือปัญหาของความน่าจะเป็น ความน่าจะเป็นมากสุดที่ดาวดวงหนึ่งจะปรากฏในที่ใดที่หนึ่ง ก็คือที่แห่งนั้น ความน่าจะเป็นมากสุดที่กระบี่จะแทงไปยังที่ใดที่หนึ่ง ก็แทงไปที่แห่งนั้น ความน่าจะเป็นมากสุดที่อาณาเขตดวงดาวจะเปลี่ยนแปลงเช่นไร ก็เปลี่ยนแปลงตามนั้น นี่เป็นเรื่องที่ยากอธิบายให้ชัดเจน กระบี่ที่ฟันลงไปมิใช่ฟันใส่คู่ต่อสู้ระดับรวบรวมดวงดาว แต่เป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวทั้งผืน
ดวงตากระจ่างใสของเขาจึงมีแสงสว่างหลายสายวาบผ่าน ซึ่งทุกสายก็คือเงื่อนไขแต่ละอย่างหรือตัวแปรนั่นเอง เขาจึงตั้งใจจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า แล้วคิดคำนวณ จนกระทั่งเข้าสู่สมาธิ
เฉินฉางเซิงลืมตาขึ้นอีกครั้งราวยามห้าของเช้าวันใหม่ เขาไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน ตำแหน่งดวงดาวมากมายค่อยๆ ซึมเข้าไปในหัวสมอง การคิดคำนวณที่สลับซับซ้อนเหล่านี้กินพลังและจิตสัมผัสของเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่รู้ทำไม เขาถึงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย กลับรู้สึกสดชื่นเมื่อสายลมยามเช้าปะทะเข้าที่ใบหน้า
เขาสัมผัสถึงความหมายที่แท้จริงของเพลงกระบี่รอบรู้แล้ว
แต่เขาก็ชัดเจนดีว่า การควบคุมเพลงกระบี่รอบรู้ได้อย่างแท้จริงนั้น อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกหลายคืน
ซูหลีที่เอนหลังอยู่บนร่างอันอบอุ่นของกวางพื้นเมือง จ้องมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนหัวเราะออกมา
……
……
หลายคืนถัดจากนั้น เฉินฉางเซิงก็มุ่งมั่นฝึกเพลงกระบี่รอบรู้ที่ยังไม่เคยทดสอบใช้ ด้วยการดูดาวบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยมิได้รับคำชี้แนะเพิ่มเติมจากซูหลีที่นอนหลับสนิททุกคืน ซึ่งซูหลีจงใจลดความเร็วในการเดินทางกลับใต้ลง เพราะรู้ดีว่า ตนกำลังตกอยู่ในภาวะคับขัน ถ้าเฉินฉางเซิงควบคุมเพลงกระบี่รอบรู้ได้จริง เมื่อต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้ในขั้นรวบรวมดวงดาว ก็อาจได้รับชัยชนะจากการต่อสู้อย่างไม่คาดฝัน เขาจึงยอมเสียเวลาให้
ถูก ไม่ว่าจะเป็นผู้ถ่ายทอดวิชากระบี่อย่างซูหลี หรือศิษย์อย่างเฉินฉางเซิง เริ่มต้นก็กำหนดให้คู่ต่อสู้ที่อาจพบเจอระหว่างทางอยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาว เพราะถ้าอยู่ในขั้นต่ำกว่านี้ ก็ล้วนสู้เฉินฉางเซิงไม่ได้ แต่ถ้าต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่สูงกว่านี้ เช่นบรรดาผู้เฒ่าศักดิ์สิทธิ์ประหลาดๆ ทั้งหลาย การฝึกเพลงกระบี่เร่งรัดอื่นๆ ก็คงไม่มีความหมายอะไร
ถ้าเรื่องดำเนินเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรือผ่านไปอีกสิบกว่าวัน เฉินฉางเซิงสามารถฝึกเพลงกระบี่รอบรู้จากแสงของดวงดาวจนใช้งานได้จริง ก็น่าเสียดายอยู่ดี ที่โลกนี้มิได้ให้เวลามากพอกับผู้บาดเจ็บสาหัสอย่างซูหลี แต่ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือ ในที่สุด คู่ต่อสู้ของเฉินฉางเซิงก็ปรากฏตัวขึ้น การต่อสู้อยู่ตรงหน้า เพลงกระบี่เร่งรัดที่พิถีพิถันกับการเอาตัวรอด มองอย่างไรก็ไม่ทันการณ์
ขณะที่ต้องใช้เวลาอีกหลายสิบคืน หรืออีกหลายพันคืนตามเวลาปกติในปลายฤดูใบไม้ผลิไม่วันใดก็วันหนึ่ง เฉินฉางเซิงถึงจะสำเร็จวิชาเพลงกระบี่รอบรู้ ขณะอยู่ห่างจากเมืองเทียนเหลียงสองร้อยลี้ บริเวณภูเขาร้างแห่งหนึ่ง ปรากฏชายแปลกประหลาดผู้หนึ่ง ปากทาสีแดง สวมชุดกระโปรงรุ่มร่าม มองไปคล้ายนักระบำคนหนึ่ง สรุปแล้ว คล้ายเซวียเหอที่พบเจอเมื่อหลายวันก่อนอย่างไรอย่างนั้น ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนนักฆ่า
เฉินฉางเซิงจึงถามซูหลีอย่างไม่เข้าใจ
“เหตุใดตอนที่พวกเขาปรากฏตัวจึงดูไม่เหมือนนักฆ่า? หรือการเป็นนักฆ่าที่เก่งกาจ ต้องดูไม่เหมือนนักฆ่า? นี่เป็นปรัชญานักฆ่าหรือ?”
“ปรัชญานักฆ่า? ไปถูกใครบีบไข่มาล่ะ?” ซูหลีพูดเย้ยหยัน “เจ้านึกว่าพวกเขาอยากปรากฏตัวด้วยบุคลิกประหลาดๆ รึ? ก็แค่รีบเร่งมา ไหนเลยจะมีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้า”