ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 96 ความจริงหลังดื่มสุรา
เหลียงหงจวงมองซูหลีอย่างซึมเซา พลางถามอย่างคนตายซาก “เพราะอะไร?”
เงียบกริบ ไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้ได้
เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างน่าเวทนา “ข้านึกว่าเรื่องกงกรรมกงเกวียนมีจริง มิใช่ไม่ล้างแค้น แค่เวลายังมาไม่ถึง แค่รอต่ออีกหน่อย ซึ่งสุดท้ายกรรมย่อมสนอง คิดไม่ถึงว่า แท้จริงแล้วฟ้าดินไร้ความยุติธรรม เหตุใดคนอย่างเจ้าจึงสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาโดยตลอด แม้ตอนนี้ดูเหมือนเจ้าใกล้ตาย แต่ก็ยังมีเขาโผล่เข้ามา”
เฉินฉางเซิงก้มหน้า ไม่ได้มองเหลียงหงจวง มือที่จับกระบี่สั้นสั่นเล็กน้อย
“ตระกูลเหลียงของพวกข้าล่วงเกินเจ้าตรงไหน? ตระกูลเฉินแห่งเทียนเหลียงให้อะไรดีๆ กับเจ้ากันแน่? หลายสิบปีก่อนถึงต้องฆ่าล้างคนตระกูลเหลียง!”
เสียงหัวเราะของเหลียงหงจวงดังขึ้นเรื่อยๆ โลหิตในร่างก็ไหลเร็วขึ้นเรื่อยๆ น้ำเสียงของเขายิ่งมาก็ยิ่งเศร้าโศก จนถึงประโยคสุดท้าย คำถามกลับกลายเป็นเสียงแผดร้อง เสียงแผดร้องแบบสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บ เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง สิ้นหวังและเจ็บปวด ทิ่มแทงตรงเข้าไปในส่วนลึกระดับจิตวิญญาณของผู้ฟัง
เฉินฉางเซิงก้มศีรษะต่ำลงอีก สีหน้าเขาซีดขาวลง มือสั่นมากขึ้น คล้ายกำลังจะจับด้ามกระบี่ไม่อยู่ เขาไม่อยากเห็นท่าทางที่บ้าบอของเหลียงหงจวง และไม่กล้ามองซูหลี ด้วยเกรงว่าถ้ามองแล้ว อาจยากที่จะห้ามไม่ให้ตนสำนึกเสียใจกับเรื่องที่ทำลงไป ซึ่งจะนำพาความเจ็บปวดและทรมานใจตามมา
พอได้ยินเหลียงหงจวงถามอย่างเจ็บแค้น และเห็นเฉินฉางเซิงก้มหน้า ซูหลียังคงมีท่าทีเฉยชา…เรื่องที่เกิดไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขได้ จะสำนึกเสียใจหรือไม่ ล้วนไร้ความหมาย ไม่จำเป็นต้องรื้อฟื้นขึ้นมาอีก หากต้องการทบทวน ก็เป็นตัวเขาเองที่ต้องทบทวนในใจ ไม่มีวันอธิบายให้โลกนี้ฟังเป็นอันขาด
เขาก็เป็นคนเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าเหลียงหงจวงจะน่าสงสารแค่ไหน เขาก็ต้องเดินจากไปด้วยท่าทีเฉยชา วันนี้ท่าทีเขาก็ไม่เปลี่ยนเช่นกัน แต่ไม่รู้ทำไม ก่อนจากไปเขาคิดจะพูดอีกสักสองสามคำ อาจเป็นเพราะเฉินฉางเซิงก้มศีรษะต่ำจนเกินไป มือที่จับกระบี่ก็สั่นจนเกินไป?
“ตระกูลเหลียงของเจ้าตอนสืบทอดบัลลังก์เป็นองค์จักรพรรดิ ได้ฆ่าคนทางใต้ไปมากน้อยเท่าไหร่ ฆ่าล้างตระกูลไปกี่ตระกูล?”
ซูหลีมองเหลียงหงจวงที่มีสีหน้าเฉยเมยพลางว่า “เรื่องฆ่าล้างตระกูลเหลียงของเจ้า…ถ้าข้าคิดทำจริงๆ เจ้าคงไม่มีทางอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้หรอก แล้วเหตุใดเหลียงหวังซุนก็ยังอยู่ล่ะ?”
เขาพลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา จึงหันมองเฉินฉางเซิงพลางพูดเสียงเย็นชา “ยังไม่รีบไปอีก ยืนบื้ออยู่ทำไม? เลียนแบบคนเหงา แสร้งทำเป็นสิ้นหวังหรือไร? อย่าคิดว่าช่วยชีวิตข้าแล้ว จะมีสิทธิ์มาสั่งสอนข้าได้”
พูดจบ เขาก็เดินเข้าป่าร้าง
ถึงยังบาดเจ็บสาหัส แต่การได้พักฟื้นมานานหลายวัน ทำให้เขาพอจะเดินช้าๆ ได้อยู่
กวางพื้นเมืองสองตัวหลังกินหญ้าอิ่มแปล้ก็เดินกลับมาหาเจ้าของ แต่พอเห็นซูหลีเดินออกไป และเห็นเฉินฉางเซิงยืนก้มหน้าอยู่ที่เดิมก็เริ่มสับสน ไม่รู้ควรตามใครไปดี
เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้น มองเหลียงหงจวง คิดพูดอะไร แต่สุดท้ายก็พูดออกมาเพียงสองคำ “ขออภัย”
ในที่สุดก็พูดคำที่หนักหน่วงออกมาจนได้ รู้สึกคลายใจลงบ้าง จึงยื่นมือไปจับเชือกที่คล้องคอกวางพื้นเมืองสองตัวไว้ แล้วจูงพวกมันเดินตามร่างอันโดดเดี่ยวที่อยู่ด้านหน้าไปอย่างเงียบๆ
ทางนี้มุ่งสู่ทิศใต้
เหลียงหงจวงไม่สามารถยืนหยัดต่อ เขาล้มลงไปกองกับพื้น มองดูคนสองคนค่อยๆ เดินจากไป พลางแผดเสียงตะโกนอย่างเจ็บปวด “เจ้าคิดว่า พวกเจ้าจะกลับถึงใต้ได้จริงๆ หรือ? เจ้าต้องตายแน่ๆ ถ้ายังติดตามเขาต่อ”
เฉินฉางเซิงไม่ได้หันมองกลับ ก้มหน้าก้มตาเดินต่อไปอย่างเงียบๆ
ซูหลีเดินช้ามาก ใช้เวลาไม่นาน เขาก็ไล่ตามมาทัน
กวางพื้นเมืองงอเข่าหน้า หมอบลงกับพื้น เขาพยุงซูหลีขึ้นนั่ง
ไม่มีการพูดจาใดๆ ตลอดการเดินทาง
……
……
พอออกจากภูเขาร้างลูกนี้ ก็ต้องข้ามภูเขาร้างอีกสองลูก กวางพื้นเมืองจึงหยุดพักบริเวณทางขึ้นเขาที่มีหญ้าอ่อนขึ้นอยู่
เฉินฉางเซิงลงจากหลังกวาง รีบวิ่งเข้าข้างทาง แล้วโค้งตัวอาเจียน
ซูหลีเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “เจ้าหมอนั่นไม่ตายสักหน่อย ทำไมต้องอ้วกด้วย”
เฉินฉางเซิงโบกมือ คิดอธิบายสองคำ แต่กลับไม่สามารถข่มอาการอึดอัดระหว่างทรวงอกกับท้องไว้ได้ จึงอาเจียนออกมาอีกรอบ
การต่อสู้กับเหลียงหงจวง ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญหน้าตัวต่อตัวและสู้จนชนะผู้แข็งแกร่งคนดังแห่งขั้นรวบรวมดวงดาว ซึ่งรูปแบบการต่อสู้ ถ้าไม่ธรรมดาจนน่าแปลกใจ หรือเรียบง่ายไป ก็อาจเทียบเท่ากับการต่อสู้ข้ามขั้นที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
แต่สิ่งที่เขาต้องจ่ายเพื่อให้ได้มานั้นไม่ธรรมดา การฆ่าข้ามขั้นขณะต่อสู้ย่อมไม่ง่ายดังภาพที่เห็น การอยู่ภายใต้แรงกดดันของอาณาเขตดวงดาวเหลียงหงจวง ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน โดยรู้สึกว่ากระดูกตลอดทั้งร่างคล้ายจะหักออกจากกัน ก่อนหน้านี้ที่เขาตัวสั่น ก็สืบเนื่องจากภาวะทางอารมณ์ ซึ่งทำให้เกือบจะยืนไม่อยู่ด้วย
เพราะอาการบาดเจ็บที่แท้จริงมิได้อยู่ที่ร่างกาย แต่อยู่ที่จิตใจ
เขาไม่มีพรสวรรค์ในการสันนิษฐานแบบสวีโหย่วหรง ยิ่งไม่มีพรสวรรค์จากสายโลหิตมาแต่กำเนิด กับเพลงกระบี่รอบรู้ที่เพิ่งเรียนรู้ในระยะแรก ก็ต้องรีบเร่งฝึกเพื่อใช้ต่อสู้ศัตรู และพอใช้ ก็ใช้ออกทีเดียวเจ็ดเพลง นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาในตอนนี้จะแบกรับไหว ซึ่งจะว่าไป ที่หนักหน่วงก็คือการคัดเลือกข้อมูลอันมหาศาลและทำการวิเคราะห์ ซึ่งเป็นการคิดคำนวณอย่างซับซ้อนดุจมหาสมุทร หรือดุจดวงดาวบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด การข่มความรู้สึกทุกอย่างไว้เพื่อให้หัวสมองโปร่งโล่ง ทำให้หัวสมองบางส่วนถูกกระทบกระเทือน กระทั่งแทบระเบิดออก
จิตสัมผัสทั้งหมดของเขาถูกทุ่มเทให้กับเพลงกระบี่ทั้งเจ็ด หัวสมองจึงว่างเปล่า
ร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรเป็นเสมือนเรือลำหนึ่งในมหาสมุทรจิตวิญญาณ ซึ่งมหาสมุทรจิตวิญญาณ ของเขาในตอนนี้แห้งเหือดไปหมดแล้ว เรือจึงลอยเท้งเต้งอยู่ในความว่างเปล่า และทำท่าจะล่มแหล่มิล่มแหล่อยู่ตลอดเวลาอย่างหยุดไม่อยู่ตลอด นี่เป็นกระบวนการที่น่ากลัวมาก เขารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ทั้งภูเขารกร้างและผืนหญ้าล้วนกำลังหมุนและแปรเปลี่ยนไม่หยุด ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มคล้ายกำลังตกใส่ศีรษะ นี่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ ยากรับไหว วิงเวียน เจ็บปวด อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง เหมือนดื่มสุราที่ทั้งแรงและคุณภาพต่ำต่อเนื่องกันเจ็ดวันเจ็ดคืน
ความรู้สึกเช่นนี้เจ็บปวดและทรมานมาก อีกทั้งยังเป็นเรื่องทางใจที่อย่างไรก็ไม่สามารถขับออกจากร่างกายได้
เขาอาเจียนเอาเนื้อย่างกับผลไม้ป่าที่กินเข้าไปเมื่อคืนกับเช้านี้ออกมาจนหมด รวมทั้งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารด้วย สุดท้ายสิ่งที่อาเจียนออกมาก็มีเพียงน้ำใสๆ อาเจียนจนไม่เหลืออะไรจะอาเจียนแล้ว แต่ก็ยังไม่หยุด เขาเริ่มเรอ คล้ายจะอาเจียนไปเรื่อยๆ ตราบชั่วฟ้าดินสลาย เช่นนี้จึงสามารถแสดงท่าทีที่มีต่อโลกใบนี้ได้อย่างสาสม
ซูหลีมองดูเด็กหนุ่มที่อาเจียนอยู่ข้างทางอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดจาอะไร
จนไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เขาจึงใช้ร่มกระดาษทองต่างไม้เท้า ค่อยๆ เดินเข้ามาที่ด้านหลังของเฉินฉางเซิง ก่อนยกร่มกระดาษทองขึ้นช้าๆ ตีเข้าที่บริเวณคอด้านหลังของเฉินฉางเซิง
เสียงป๊าบ เฉินฉางเซิงค่อยๆ ล้มหน้าคะมำ แต่เขาพยายามใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ทั้งหมด ฝืนให้ร่างหงายไปด้านหลัง เพื่อไม่ให้ล้มทับสิ่งที่ตนอาเจียนออกมา
เขายังไม่สลบ ยังคงนอนลืมตามองดูท้องฟ้า รู้สึกเจ็บปวดเหลือคณา อ่อนแออย่างถึงที่สุด
ซูหลีพูดอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าฝืนไม่ยอมสลบอีก อาจเป็นบ้าได้”
เขาได้ใช้พละกำลังสำรองที่เก็บสะสมไว้ทั้งหมดไปกับการจู่โจมเมื่อครู่ เดิมทีคิดว่าพละกำลังนี้ไม่เพียงพอที่จะฆ่าคน ก็ใช้ช่วยคนแล้วกัน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะมีร่างกายที่ทนทานเช่นนี้
เฉินฉางเซิงคล้ายปลาเจียนตายที่ปากพะงาบๆ พูดอย่างอ่อนแรงว่า “ผู้อาวุโส บนเขามีต้นหญ้า”
“เจ้าคงไม่ได้คิดเขียนกลอนสักบทก่อนตายหรอกนะ?” ซูหลีพูดต่อ “อย่าทำเช่นนี้เลย อย่าฝืนตัวเอง”
เฉินฉางเซิงยกมือขึ้นอย่างยากลำบาก ชี้ไปที่ต้นหญ้าพลางว่า “นั่นคือต้นเมาร้อยวัน”
ดังเช่นที่ซูหลีพูด ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป หัวสมองของเขาอาจระเบิดออกจริงๆ แล้วจึงตายไป หรือกลายเป็นคนปัญญาอ่อน ที่สำคัญสุดคือ เขาในตอนนี้รู้สึกแย่มากและเจ็บปวดมากจริงๆ ถ้าเขาสามารถประคองสติเอาไว้ ไม่ให้เลอะเลือน สามารถมองเห็นเมฆขาวในท้องฟ้าสีคราม เขาต้องฝังเข็มทองลงไปในร่างตนเองก่อนแน่ เพื่อทำให้ตนเองสลบไป แต่เขาทำไม่ได้
โชคดีก็คือ ตอนล้มลง เขามองเห็นต้นหญ้าที่สามารถทำให้ตนเองสลบได้
ซูหลีเข้าใจความหมายนี้แล้ว จึงเด็ดหญ้าต้นนั้นลงมา ใช้มือหักเป็นเส้นสั้นๆ อย่างหยาบๆ ยัดเข้าไปในปากของเขา
ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็หลับตาลง แต่สีหน้ายังคงขาวซีด ขนตาสั่นไหวน้อยๆ
ซูหลีรู้สึกอ่อนล้าจึงสูดหายใจเข้าสองที แล้วค่อยนั่งขัดสมาธิ เหลือบมองภูเขารกร้างอันเงียบสงบไร้ผู้คน มือขวาจับร่มกระดาษทอง
สักครู่ เฉินฉางเซิงพลันลืมตา มองท้องฟ้าตาด้วยสายเลื่อนลอย
ซูหลีหลุบตาลงต่ำ พลางว่า “ยังไม่ยอมสลบอีก?”
เฉินฉางเซิงพูดอย่างอ่อนแรง “ยายังไม่ออกฤทธิ์”
ซูหลีจึงว่า “เช่นนั้นก็หุบปาก แล้วหลับตารอ”
เฉินฉางเซิงตอบอย่างยากลำบาก “แต่ข้ามีอะไรจะพูดกับผู้อาวุโส”
ซูหลีเงียบไปสักพัก ก่อนพูดอย่างเฉยชา “พูดมา”
“ผู้อาวุโส…ต่อไปฆ่าคนให้น้อยลงหน่อยนะ”
พูดจบ เฉินฉางเซิงก็รู้สึกว่าในที่สุดตนก็ได้ปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว จึงเบาใจลง หลับตา และสลบไปด้วยประการฉะนี้