ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 99 เผาไหม้เถิด กระบี่ข้า (ตอนปลาย)
หลินผิงหยวนมีฐานะร่ำรวย จึงต้องแต่งตัวให้ดูดีมีระดับ แม้อยู่ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ก็ยังสวมใส่เสื้อคลุมขนสัตว์ แม้มาฆ่าคนอย่างซูหลี ก็ต้องพาลูกน้องติดมาด้วยสิบกว่าคน เหมือนไม่ห่วงว่าข่าวจะรั่วไหลออกไป
“ลูกพี่หมายความว่าอย่างไร? หมายถึงนักเลงรึ? นักเลงปกครองแค่หมู่บ้าน ส่วนนักเลงที่ปกครองพื้นที่ทั้งหมดทางตอนเหนือควรถูกเรียกว่า ผู้ทรงอิทธิพลมากกว่า ข้าคิดว่าข้าก็เป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง” เขามองซูหลีพลางพูดต่อ “ผู้ทรงอิทธิพลต้องมีศักดิ์ศรี ข้าไม่โง่เขลาเบาปัญญาอย่างเหลียงหงจวงหรอก ข้าพาลูกน้องที่เชื่อใจได้มากที่สุดกับจิตสังหารมา ย่อมไม่เจรจาเรื่องความยุติธรรมใดๆ ทั้งสิ้น สามารถล้อมฆ่าได้ก็ล้อม สามารถใส่ยาพิษสามสิบชนิดลงไปในน้ำชาของพวกเจ้าได้ก็ใส่ สามารถขุดหลุมพรางได้ลึกเท่าไหร่ก็ขุด”
หากเป็นยามปกติ ซูหลีต้องคร้านที่จะโต้ตอบกับคนเช่นนี้แน่ แต่วันนี้ไม่รู้ทำไม เขากลับค่อนข้างให้ความสนใจ จึงพูดกลับ “ข้ารู้สึกว่าเจ้าพาคนมาน้อยไป”
หลินผิงหยวนหัวเราะแล้วว่า “ถ้าผู้อาวุโสไม่ถูกพวกมารล้อมฆ่าจนบาดเจ็บสาหัสแล้วละก็ ถึงข้าพาคนกับม้ามาสามพันคน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านอยู่ดี แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสเป็นพยัคฆ์ตกยาก ข้าพาคนมาสิบกว่าคนก็เพียงพอแล้ว อีกทั้งเรื่องในวันนี้ต้องเก็บเป็นความลับ การพาคนมามากเกินไปดูจะไม่เหมาะ หากบรรดาเทพเซียนแห่งพรรคกระบี่หลีซานรู้ว่าข้าสังหารผู้อาวุโส ข้ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหรือ?”
ซูหลีหัวเราะแล้วว่า “ในเมื่อเจ้ากลัว เหตุใดยังกล้ามาฆ่าข้าอีก?”
หลินผิงหยวนว่า “ก็ฝ่ายตรงข้ามเล่นให้ราคาสูงลิบลิ่ว จะไม่ให้หวั่นไหว เดิมพันดูสักตั้งได้อย่างไร”
ซูหลีพูดอย่างเศร้าใจ “เมื่อภูมิใจนักหนาว่าเป็นนักเลงทางตอนเหนือ ไม่สิ ผู้ทรงอิทธิพลทางตอนเหนือ ก็ต้องทำตามรูปแบบของผู้ทรงอิทธิพล หลังฆ่าเราสองคนแล้ว ลูกน้องทุกคนของเจ้าก็ควรถูกเจ้าฆ่าปิดปากถึงจะถูก”
หลินผิงหยวนโบกมืออย่างวางท่า แล้วว่า “ผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องยุแยง เรื่องดีๆ ปกติพวกเราไม่ทำกันอยู่แล้ว ดังนั้นนอกจากคนกันเอง พวกเราไม่มีทางเชื่อผู้อื่น เราเชื่อในกันและกันมาก”
ซูหลีหัวเราะดัง ก่อนหันมาพูดกับเฉินฉางเซิง “เจ้าดู เขาพูดออกมาแล้วว่าเรื่องดีๆ ไม่ทำ”
เฉินฉางเซิงมองรอยโลหิตทั้งเก่าและใหม่บนพื้นร้านมาโดยตลอด พอได้ยินคำพูดของซูหลีจึงตอบคำเดียวว่า
อืม
หลินผิงหยวนหันมามองเขา พลางแสดงความสงสัยในแววตา “เจ้าเด็กหนุ่มนี่เป็นใครมาจากไหน? ศิษย์พรรคกระบี่หลีซานรึ? ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเชิญให้เจ้าตกตายไปตามกันเสียแล้ว”
เฉินฉางเซิงไม่สนใจเขา ยังคงมองดูรอยโลหิตบนพื้นร้านเหล่านั้น ที่นี่ไม่ถือว่าคึกคัก แต่เมื่อตั้งอยู่ข้างถนน คิดว่าทุกวันย่อมต้องมีพ่อค้าแม่ขาย หรือนักท่องเที่ยวเดินผ่านมากมาย ดูจากรอยโลหิต ต้องมีคนตายไม่น้อยในหลายวันมานี้ เถ้าแก่ร้านน้ำชาย่อมตายแล้ว ยังมีผู้บริสุทธิ์อีกมากน้อยเท่าไหร่ที่ตายไป?
ทางขึ้นเขาข้างร้านน้ำชามีลมพัดผ่าน ได้ยินเสียงลมพัดหวีดหวิวที่หน้าต่างด้านหลัง เขาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นแมลงวันฝูงหนึ่งบินขึ้นมามากมายก่ายกอง มองไปก็รู้สึกสยอง แม้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ แต่ทางเหนือยังไม่ถือว่าร้อน แล้วแมลงวันฝูงนี้มาจากไหน? พอไม่มีลม แมลงวันก็บินลงไป หลุดจากสายตาของเฉินฉางเซิง ลงไปในท่อน้ำด้านล่างหน้าต่าง
ตรงนั้นมีซากศพกองเกลื่อนกลาด ภาพที่เห็นอเนจอนาถจนไม่อยากมอง
ซูหลีจึงมีเหตุผลยิ่ง ในการแสดงความยินดีกับเขา
นักเลงทางเหนือที่ชื่อหลินผิงหยวน กับคนในร้านน้ำชาเหล่านี้ ล้วนสมควรฆ่าตายทั้งสิ้น
เซวียเหอมาฆ่าซูหลีเพื่อคนในแคว้น เหลียงหงจวงมาฆ่าซูหลีเพื่อล้างแค้นให้คนที่บ้าน แต่คนผู้นี้พาพรรคพวกมาฆ่าซูหลีเพื่อผลประโยชน์ พวกเขาทำแต่เรื่องเลวทราม เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่
หลินผิงหยวนลุกขึ้นยืน “กวางพื้นเมืองของพวกเจ้าไม่ตกหลุมพราง ยาพิษในน้ำชาดูไปแล้วก็ใช้ไม่ได้ผล แต่อย่างไรพวกเจ้าก็เข้ามาในร้านแล้ว ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกเจ้าจะต้านทานคนมากมายอย่างพวกเราได้อย่างไร”
ในร้านน้ำชามีคนมากมาย อีกทั้งยังแข็งแกร่งและผ่านการชำระกระดูกมาแล้วทั้งสิ้น มีสี่คนอยู่ในขั้นถอดจิต หนึ่งคนอยู่ในขั้นทะลวงอเวจี ส่วนหลินผิงหยวนเป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาว
เฉินฉางเซิงไม่สามารถใช้เพลงกระบี่รอบรู้ เพราะต่อให้เขาเห็นจุดอ่อนของหลินผิงหยวน และเอาชนะได้ ก็อาจสลบเหมือดเหมือนครั้งก่อน แล้วจะจัดการกับคนที่เหลืออย่างไร?
ดีที่เขาเพิ่งฝึกเพลงกระบี่ใหม่มา จึงสามารถทดลองใช้ดูได้
ในร้านพลันมีเสียงตะโกนว่าฆ่าดังขึ้น หลินผิงหยวนไม่สนใจศักดิ์ศรีของผู้ทรงอิทธิพลอะไรอีก เขาสั่งให้ลูกน้องฆ่าเฉินฉางเซิงกับซูหลี ส่วนตนเองยืนบงการอยู่ด้านหลัง เตรียมซ้ำเติมเมื่อสบโอกาส
เฉินฉางเซิงลุกขึ้นยืน และเงยหน้าขึ้น สายตาของเขามองผ่านผู้คนที่น่าขยะแขยงเหล่านี้ โดยพุ่งตรงไปที่ร่างของหลินผิงหยวน
เคร้ง เสียงกระบี่สั้นมังกรครวญหลุดออกจากฝัก
รัศมีกระบี่กระจายออก ลมพัดมาอย่างบ้าคลั่ง โต๊ะเก้าอี้ถูกฟันจนแตกหักทั้งหมด
พลังปราณลุกโชติช่วงปกคลุมทั่วร้านน้ำชา แสงสว่างวาบพุ่งออกจากกระบี่สั้น
กลุ่มคนที่ล้อมจู่โจม ล้วนเห็นกระบี่สั้นที่กำลังเผาไหม้ กลายเป็นวิหคทองในตำนานบินออกมานับไม่ถ้วน เพียงชั่วพริบตา อุณหภูมิในร้านก็สูงขึ้น จนร้อนระอุสุดจะเปรียบ
รอยโลหิตบนพื้นร้านเหล่านั้น ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ ถูกชะล้างออกไปจนเกลี้ยง
แสงสว่างและความร้อนที่กระบี่สั้นเปล่งออกมา ก็คือพลังปราณปริมาณมากมายมหาศาล
ในกลุ่มคน เริ่มได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนกและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังทยอยตามๆ กัน แต่ล้วนดังเพียงช่วงสั้นๆ
ด้านหลังของกลุ่มคน สีหน้าหลินผิงหยวนเปลี่ยนไปทันที เคร่งเครียดอย่างยิ่ง
เฉินฉางเซิงใช้วิชาย่างก้าวหยั่งเทวา ร่างของเขาพลันเลือนราง ก่อนวาบผ่านกลุ่มคน มาถึงตรงหน้าหลินผิงหยวน แล้วแทงกระบี่ออก
ปราณแท้แผดเผา เคล็ดวิชากระบี่วิหคทอง พลังกระบี่เผานภา ความเด็ดขาดในกระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่หลีซาน ล้วนอยู่ในกระบี่นี้
เพลงกระบี่สันดาป
กระบี่ที่แผดเผา
ในร้านน้ำชาพลันสว่างวาบ คล้ายวิหคทองที่บินออกจากกระบี่มารวมตัวกันอยู่ด้านหนึ่ง กลายเป็นดวงอาทิตย์ดวงหนึ่ง
ดวงอาทิตย์ทำให้แสบตาเช่นนี้ กระทั่งซูหลีก็ยังมองเห็นภาพด้านในไม่ชัดเจน
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ลมในร้านจึงหยุดพัด แสงสว่างค่อยๆ ดับลง
เฉินฉางเซิงค่อยๆ เก็บกระบี่สั้นในมือขึ้น คล้ายเก็บคบเพลิงเผานภาคืนกลับ
ได้ยินเสียงกึกดังเบาๆ หว่างคิ้วของหลินผิงหยวนมีรูลึกจนโลหิตไหลออก
ในร้านน้ำชาเต็มไปด้วยคนตาย
หลินผิงหยวนก็กำลังจะตาย
เขาถลึงตามองเฉินฉางเซิง แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ พลางถาม “เจ้าอาศัยอะไรมาสังหารข้า?”
เขาเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาว นักเลงทางเหนือ ผู้ทรงอิทธิพลที่เรื่องดีไม่ทำ เพราะเหตุใดถึงถูกเด็กหนุ่มขั้นทะลวงอเวจีฆ่าตายได้?
“เพราะเจ้าสมควรตาย” เฉินฉางเซิงตอบ
หลินผิงหยวนไม่เข้าใจ และไม่จำเป็นต้องเข้าใจ เพราะเขาตายแล้ว
เขาล้มลงบนพื้น จากฤทธิ์เดชของเจตจำนงกระบี่ที่เหลืออยู่ ทำให้ร่างของเขาขาดออกจากกันเป็นชิ้นเนื้อสิบกว่าชิ้น
ในร้านน้ำชาไม่มีคนยืนอยู่ นอกจากเฉินฉางเซิง โต๊ะเก้าอี้ในร้านล้วนแตกหักหมด ข้าวของทุกอย่างแตกกระจาย มีเพียงเก้าอี้ที่ซูหลีนั่งอยู่กับกาน้ำชาในมือที่มีสภาพสมบูรณ์
น้ำชาในกาย่อมมีพิษ แต่ไม่รู้ว่าเขายังถือกาน้ำชาอยู่ทำไม
เฉินฉางเซิงก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าเขา
ซูหลียกกาน้ำชาขึ้น ค่อยๆ เทน้ำชาที่เย็นลงบนร่างของเฉินฉางเซิง ได้ยินเพียงเสียงฟู่ๆ พอน้ำชาที่เย็นสัมผัสใบหน้าและร่างของเขา ก็เปลี่ยนเป็นไอน้ำทันที
เพราะการเผาไหม้พลังปราณ ทำให้ร่างของเฉินฉางเซิงร้อนระอุ แม้ตอนนี้อุณหภูมิในร่างลดลงแล้ว แต่ใบหน้ายังคงแดงอยู่ ดวงตายังเหลือประกายไฟที่คุกรุ่น แลดูน่ากลัวอยู่บ้าง
“เพลงกระบี่นี้รุนแรงเกิน…ข้ายังคงรับไม่ไหว”
พูดจบ เฉินฉางเซิงก็ล้มลงโดยไม่มีลางบอกเหตุแต่อย่างใด เหมือนครั้งก่อนที่เขาเอาชนะเหลียงหงจวง แล้วล้มลงหลังจากเดินข้ามเขาสองลูก
“สลบอีกแล้ว?”
ซูหลีมองเฉินฉางเซิงที่กองอยู่กับพื้น พลางพูดอย่างเดือดดาล “ถ้าคนผู้นั้นมาจะทำอย่างไร? รีบตื่นขึ้นมาเร็ว”
เฉินฉางเซิงที่สลบไสลไม่ตื่น ย่อมไม่สามารถตอบคำถามของเขา
ในร้านน้ำชาเต็มไปด้วยคนตาย และเศษชิ้นเนื้อเกลื่อนกลาด สยดสยองจนไม่อยากมอง กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งรุนแรง
ซูหลีสงบนิ่งลง ค่อยๆ หลับตา แต่ไม่รู้เมื่อใดที่มือข้างขวาของเขาจับเข้าที่ด้ามร่มกระดาษทอง
เวลาผ่านไปช้าๆ
แมลงวันนอกหน้าต่างบินเข้ามาในหน้าต่าง
สำหรับทวยเทพและแมลงวันเหล่านี้แล้ว ไม่ว่าดีหรือเลว ฉลาดหรือโง่ ยามเสียชีวิตล้วนเหมือนกันหมด
ซูหลีลืมตา แล้วพูดอย่างเย็นชา “ลุกขึ้นเถิด ดูไปแล้วเขายังไม่ปรากฏตัวออกมาหรอก”
ในร้านนอกจากคนตายแล้ว ก็มีเพียงเฉินฉางเซิงที่สลบไสลอยู่ แล้วเขากำลังพูดกับใครกัน?
เฉินฉางเซิงลืมตา เขาลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ก่อนพยุงซูหลีเดินออกจากร้านน้ำชา หลังเป่าปาก กวางพื้นเมืองที่อยู่ห่างออกไปพลันเดินเข้ามา ทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ในร้านน้ำชา คนผู้หนึ่งจู่ๆ ก็คลานออกมาจากซากศพ แล้วเดินออกมาที่ถนน มองดูร่างของคนกับกวางที่มุ่งหน้าไปทางใต้อย่างเงียบๆ จากนั้นก็หายตัวไปอีกครั้ง