ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 1 ระหว่างความเป็นความตายในการกลับจิงตู
เฉินฉางเซิงกำลังกลับจิงตู หลังจากที่ได้ยินข่าวนี้แล้ว จวงห้วนอวี่พลันนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ก็เหมือนกับเมื่อหลายวันก่อนตอนที่เพิ่งได้ยินว่าเฉินฉางเซิงยังมีชีวิตอยู่
หลังจากที่กลุ่มคนในสวนโจวออกจากเมืองฮั่นชิวและกลับไปถึงจิงตู เจ๋อซิ่วถูกราชสำนักพาตัวไปจากพระราชวังหลี ทุกคนล้วนคิดว่าเฉินฉางเซิงได้ตายตามการถล่มของสวนโจวไปแล้ว ชีเจียนที่กลับไปถึงเขาหลีซานแล้วก็ยังคงไม่ได้สติ อีกทั้งเรื่องราวระหว่างชายหญิง นั่นก่อให้เกิดเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ได้มากที่สุดบนโลก เขาเชื่อว่าจะอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อคำแก้ตัวของเจ๋อซิ่วกับชีเจียน ดังนั้นเขาจึงมีความสุขอย่างมาก รู้สึกว่าในที่สุดชีวิตก็กลับสู่วิถีทางที่ถูกต้อง เพียงแต่ว่า บางครั้งเขาก็จะนึกถึงเหลียงเสี้ยวเซียว…เด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่ใช้เพลงกระบี่เขาหลีซานกระบวนท่าสุดท้ายฆ่าตัวตายผู้นั้น ด้วยเหตุนี้ร่างกายของเขาก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมา ไม่ว่าจะห่มผ้านวมสักกี่ชั้นก็ไม่อาจอบอุ่นขึ้นมาได้ ราวกับว่าเงามืดของภูตผีปีศาจนั้นอยู่ภายในอากาศข้างกายเขาอย่างเงียบๆ อยู่ตลอดเวลา
และที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกเหน็บหนาวก็คือ เฉินฉางเซิงยังไม่ตาย
เขาปรากฏตัวขึ้นที่ทุ่งกว้างทางเหนือของเมืองเทียนเหลียง พูดกันว่าเขาอยู่ด้วยกันกับอาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซานที่เป็นตำนานผู้นั้น ต่อมา ได้ยินว่าขุนพลเทพเซวียเหอได้ไปแล้ว แต่เฉินฉางเซิงก็ยังคงไม่ตาย พวกเขาไปที่เมืองสวินหยาง ต่อจากนั้นอีก เหลียงหวังซุนกับฮว่าเจี่ยเซียวจางก็ปรากฏตัวขึ้นมา จูลั่วกับกวนซิงเค่อทั้งสองคนที่เป็นแปดมรสุมก็ปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว แต่เฉินฉางเซิงก็ยังคงไม่ตายไป…เจ้าไม่ตายไปได้อย่างไรกัน
จวงห้วนอวี่ยืนอยู่ภายในสวน มองดูท้องฟ้ายามราตรีที่ราวกับถูกย้อมด้วยน้ำหมึกผืนนั้น ใบหน้าซีดขาว พลางพูดอยู่กับตัวเอง “เจ้าไม่ตายไปได้อย่างไรกัน”
เขามองท้องฟ้ายามราตรีแล้วนิ่งเงียบไปนาน จึงพึมพำขึ้นมา “ไม่มีใครยอมเชื่อหรอก”
หลายเดือนก่อน หลังจากที่หวังจือเช่อบรรลุสัจธรรมในคืนนั้น จิงตูแห่งต้าโจวก็ได้อาบไล้แสงแห่งดวงดาวที่เป็นดั่งเงินยวงอีกครั้ง นั่นก็เป็นเพราะการบำเพ็ญเพียรของเฉินฉางเซิง เป็นเพราะการมองดูแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูของเฉินฉางเซิง หลังจากคืนนั้น ทั่วทั้งต้าลู่จึงได้รู้ว่าเขานั้นสร้างความดีความชอบให้กับโลกมนุษย์ และก็ล่วงรู้ถึงท่าทีที่แท้จริงที่พระราชวังหลีมีต่อเขา
…เฉินฉางเซิงได้กลายเป็นหัวหน้าสำนักฝึกหลวงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ใต้เท้าสังฆราชเลือกเขาให้เป็นผู้สืบทอดของตน เขาเป็นผู้สืบทอดของนิกายหลวง
ไม่มีคนเชื่อว่าผู้สืบทอดนิกายหลวงจะร่วมมือกับเผ่ามาร เพราะว่าเผ่ามารไม่อาจให้ผลประโยชน์ที่มากยิ่งกว่านี้ให้แก่เขาได้ ถ้าหากเขาตายอยู่ในสวนโจวตั้งแต่แรก บางทีอาจจะร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ของผู้ที่มีชีวิตรอด บางคนอาจจะสามารถลองเชื่อดูได้ แต่ซูหลีมีชีวิตรอดกลับไปถึงเขาหลีซานแล้ว เฉินฉางเซิงก็กำลังกลับจิงตู เช่นนั้นแล้วทั้งหมดนี้ก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เหลียงเสี้ยวเซียวใช้การตายของตนเป็นแผนการร้าย ก็มองเห็นว่าใกล้จะไขคดีได้แล้ว แน่นอนว่าก็มีบางคนที่มองเรื่องนี้ด้วยมุมมองที่ต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่นใต้เท้าโจวทงที่แสนน่ากลัวผู้นั้น
เพราะโจวทงรู้ว่าเฉินฉางเซิงเป็นนักศึกษาของนักพรตจี้ เขาคิดว่าเพื่อการแก้แค้นของนักพรตจี้ อย่าว่าแต่ร่วมมือกับเผ่ามารเลย ต่อให้ต้องสังเวยทั้งโลกมนุษย์ไปก็ไม่เสียดาย แต่ว่าจวงห้วนอวี่ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ดังนั้นเมื่อข่าวที่เฉินฉางเซิงกลับจากใต้มายังจิงตูยิ่งมีมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งนิ่งเงียบขึ้นเท่านั้น และไม่ได้ออกจากเรือนเล็กของตนอีกเลย ในป่าสีเขียวทึบของสำนักเทียนเต้าก็ไม่อาจได้เห็นเงาร่างที่สง่างามของเขาอีก เขาเริ่มจะเข้าใจ ทำไมหลังจากที่เห็นเจ๋อซิ่วแบกชีเจียนเข้าไปในป่าในสวนโจวตอนนั้น เหลียงเสี้ยวเซียวถึงได้ตัดสินใจจะตายไป
นอกจากตายแล้ว ยังจะสามารถทำอะไรได้อีก
เขาก้มหน้าลง มองดูบ่อน้ำในสวนบ่อนั้น มองดูแสงดวงดาวที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำที่ลึกลงไปในบ่อ และก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ตั้งแต่เด็กเขาก็ประคับประคองกันกับมารดาอยู่ในชนบท ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก มุมานะอ่านหนังสือ เมื่อมายังจิงตูก็ได้เข้าสำนักเทียนเต้า เพราะว่าบิดาของเขาเป็นรองเจ้าสำนักเทียนเต้า และพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของเขาก็สูงอย่างมาก ดังนั้นจึงได้รับความรักและเอ็นดูจากอาจารย์มากมาย ได้รับความเคารพรักจากเพื่อนร่วมสำนัก แต่เขาไม่เคยผ่อนปรนความต้องการของตนเอง ถึงแม้จะเป็นฤดูหนาวที่หนาวเย็น เขาก็ยืนหยัดที่จะใช้น้ำที่เย็นเฉียบในบ่ออาบน้ำ
ในตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว จิงตูนั้นอบอ้าวอย่างมาก กระทั่งเริ่มมีความรู้สึกของฤดูร้อนขึ้นมาแล้ว เขากลับรู้สึกว่าน้ำในบ่อค่อนข้างจะหนาวเย็น
ความหนาวเย็นเช่นนั้นทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว และสิ้นหวัง
มองดูปากบ่อที่ลึกและดำมืด สีหน้าของจวงห้วนอวี่ก็ยิ่งซีดขาว หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็หันกายเดินจากบ่อน้ำไป
หลายวันมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกจากเรือนพักหลังเล็กของตน ตลอดทางได้พบกับศิษย์ในสำนักเทียนเต้าคอยมองดูเขา และเผยให้เห็นถึงสีหน้าที่ประหลาดใจ พากันหลีกทางให้เขา ทำความเคารพและไต่ถาม จวงห้วนอวี่ราวกับไม่ได้เห็นอะไรสักอย่าง และก็ไม่ได้พูดกับศิษย์ร่วมสำนัก เขาเดินตรงไปที่ด้านหน้าสิ่งก่อสร้างที่อยู่ลึกที่สุดของสำนักเทียนเต้า
ที่นี่คือสวนอวี้ของเจ้าสำนักเทียนเต้า ในตอนแรกเหมาชิวอวี่ก็พักอยู่ที่นี่ หลังจากที่เหมาชิวอวี่ไปที่พระราชวังหลีเพื่อรับตำแหน่งหัวหน้ามุขนายกตำหนักขบวนรถอริพ่าย ที่นี่ก็กลายเป็นสถานที่ของเจ้าสำนักคนใหม่แล้ว
เจ้าสำนักเทียนเต้าคนใหม่มีแซ่จวง ก็คือบิดาแท้ๆ ของเขา
เขายืนอย่างเงียบๆ อยู่ที่นอกสวนอวี้ ซึ่งขวางกั้นไว้ด้วยกิ่งเหมย มองเห็นภายในมีโคมไฟกับเงาร่างของชายผู้นั้น จวงห้วนอวี่พลันนิ่งเงียบไปเป็นเวลานานอีกครั้ง แต่ใบหน้ากลับไม่ได้ซีดขาวดั่งเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว
ในตอนนั้นบิดาของเขาทิ้งพวกเขาสองแม่ลูกเข้ามาสอบในจิงตู มีความสัมพันธ์ไม่แน่ชัดกับสตรีจากตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยนางนั้น ช่างเป็นคนที่เนรคุณอย่างมาก…นี่เป็นเรื่องที่จวงห้วนอวี่เชื่อมาโดยตลอด นี่เป็นความคิดที่เขามีต่อบิดาของตนมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงมีความแค้นอันยิ่งใหญ่และเจตนาร้ายต่อบิดาของตนมาโดยตลอด ตั้งแต่นั้นมาในตอนที่ได้เผชิญหน้ากับบิดา เขาก็มักจะเกิดความกล้าขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดคืนนี้ตนถึงได้มาที่นี่ แต่เขาพบว่า เพราะความโกรธที่มีต่อชายที่อยู่หลังหน้าต่างผู้นั้น ความสิ้นหวังและเหน็บหนาวในใจของตนจึงดีขึ้นไปมากแล้ว
ต่อมา เขาก็ออกจากสำนักเทียนเต้า เดินไปจนถึงเสาหินที่อยู่หน้าพระราชวังหลี เขาหยุดเท้าลง และไม่เดินหน้าต่ออีก
เขาเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมของสำนักเทียนเต้า และก็เป็นคนรุ่นถัดไปที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่จากนิกายหลวง เขามีคุณสมบัติพอที่จะเข้าพระราชวังหลี แต่เขาไม่ได้เข้าไป เพราะว่าที่เขามายังพระราชวังหลีไม่ใช่เพื่อจะมาเที่ยวชมทัศนียภาพ แต่กลับมาดูดอกซากุระในยามราตรีไม่กี่ดอกสุดท้ายนั่น เขามาพระราชวังหลีเพราะอยากพบคนผู้หนึ่ง แต่ต่อให้เขาเดินเข้าไปในพระราชวังหลี ก็ไม่อาจจะได้เห็นคนผู้นั้น ก็เหมือนกับที่ว่าถึงแม้เขาจะเป็นจวงห้วนอวี่ผู้มีพรสวรรค์ ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าใกล้คนผู้นั้น ก็เหมือนกับเมื่อก่อนในสำนักเทียนเต้า เขาทำได้เพียงได้เห็นศิษย์น้องหญิงที่เป็นดั่งเทพธิดาผู้นั้นในสวนอวี้ของเจ้าสำนักเหมาชิวอวี่ในบางครั้ง หลังจากนั้นก็มองนางที่เป็นดั่งเทพธิดาห่างไกลออกไป
เขายืนอยู่หน้าพระราชวังหลี มองดูตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ในค่ำคืนอย่างสงบ จินตนาการถึงการใช้ชีวิตของศิษย์น้องในโลกใบไม้ครามของใต้เท้าสังฆราช จวงห้วนอวี่เริ่มต้นที่จะหวนรำลึก
เขาอยากจะจัดระเบียบช่วงเวลาหลายปีก่อนที่ผ่านมา อยากจะรู้ให้ชัดเจนว่าสรุปแล้วเรื่องราวเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
หลายปีก่อน เขากับนางได้พบกันที่สำนักเทียนเต้า หลังจากนั้นก็ได้พบกันอีกครั้งที่การชุมนุมไม้เลื้อย เดิมทีเขาคิดว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ได้มองสบสายตากัน แต่กลับได้เห็นนางจับแขนเสื้อของเด็กหนุ่มที่ชื่อเฉินฉางเซิง
ใช่แล้ว ที่แท้เรื่องราวทั้งหมดก็เริ่มขึ้นเช่นนี้
ที่ข้างทะเลสาบในสวนโจว ในตอนที่เหลียงเสี้ยวเซียวลอบโจมตีอย่างกะทันหัน ตอนที่กำลังเห็นผู้แข็งแกร่งเผ่ามารกำลังจะฆ่าเฉินฉางเซิง เจ๋อซิ่ว และชีเจียน เขาอยู่ภายในป่า ไม่ได้ชักกระบี่ และไม่ได้ออกมาพบ
ใช่ เพราะว่าในตอนนั้นเขาเกิดหวาดกลัวขึ้นมา เขายังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มผู้หนึ่ง เขาอยากจะมีชีวิตรอด
แต่ว่าคิดดูแล้วในตอนนี้ ทำไมจะไม่ใช่เพราะว่าในใจของเขามีความแค้นและริษยาเฉินฉางเซิงอย่างมากมาโดยตลอด
เขาอยากให้เฉินฉางเซิงตายไปอย่างมากจริงๆ
เหตุใดเจ้าถึงไม่ตายไปเสีย
อยู่ๆ ก็มีฝนตกลงมาในจิงตู แน่นอนว่าพระราชวังหลีก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
อากาศในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิถูกสายฝนชำระล้างจนสะอาด พื้นหินที่เปียกปอนพลันเกิดไอเย็นขึ้นมา
จวงห้วนอวี่ไม่ได้พกร่มมา เขายืนอยู่ท่ามกลางสายฝนเช่นนี้ นิ่งเงียบไปเป็นเวลานานอย่างมาก
มีนักบวชของพระราชวังหลีเข้ามาถามไถ่ เมื่อพบว่าเป็นเขา ก็คิดเชื่อมโยงไปถึงข่าวที่วันรุ่งขึ้นเฉินฉางเซิงจะกลับมาถึงจิงตู ดังนั้นจึงเดาถึงอะไรบางอย่างได้ และไม่เข้าไปรบกวนอีก
เหล่านักเรียนของหกสำนักไม้เลื้อยกับนักบวชที่ถือร่มเดินไปเดินมากลางสายฝน จ้องมองตัวเขาที่ถูกฝนจนเปียกปอน สายตาล้วนดูซับซ้อนอย่างมาก มีบางส่วนที่สงสาร มีบางส่วนที่เห็นใจ และแน่นอนว่าก็มีบางส่วนที่เย้ยหยัน
จวงห้วนอวี่กลับมาถึงเรือนเล็กในสำนักเทียนเต้า
เสื้อของเขาถูกฝนจนเปียกไปทั้งตัว ไหนเลยจะยังสนใจว่าร้อนหรือหนาว แต่ไม่รู้เพราะอะไร สุดท้ายเขาก็ยังไม่ได้กระโดดลงไปในบ่อน้ำที่ทั้งลึกทั้งมืดมิดและเหน็บหนาวนั่น
ในนาทีสุดท้ายของชีวิต เขารักษาความหยิ่งยโสเอาไว้ ที่เขาใช้คือกระบี่
เขาเลือกที่จะตายภายใต้กระบี่ของตนเอง
……
……
ข่าวการตายของจวงห้วนอวี่กระจายไปทั่วจิงตูอย่างรวดเร็ว
ในลานสีเทาที่ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลแห่งนั้น เป็นสถานที่ที่ได้รับข่าวนี้ก่อนใคร เพราะว่าที่นี่คือกรมอาญา
ตอนที่โจวทงได้ยินข่าวนี้ กำลังถือโคมไฟ และยืนอยู่ตรงหน้าต้นชิงเฮาในแปลงผัก เขาคิดจะหาแมลงที่เมื่อคืนก่อนกัดต้นกล้วยไม้ของเขาเสียเกือบตาย
แน่นอนว่าการตายของจวนห้วนอวี่เกี่ยวข้องกับการกลับจิงตูของเฉินฉางเซิง พวกคนที่อยู่ข้างเดียวกับเฉินฉางเซิง คิดว่าจะต้องรู้สึกเชิดหน้าชูตา ส่วนพวกคนที่วางแผนจะใช้เรื่องนี้โจมตีเฉินฉางเซิงไปจนถึงนิกายหลวงพวกนั้น ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะผิดหวังกันบ้าง
โจวทงน่าจะเป็นเพียงคนเดียวในโลกที่คิดอย่างจริงจังว่าเฉินฉางเซิงอาจจะเป็นคนที่ร่วมมือกับเผ่ามาร ทว่าไม่เพียงแต่จะไม่รู้สึกล้มเหลวใดๆ เขากลับหัวเราะขึ้นมา “ตายได้ดีนัก”
เขาดีใจอย่างมากจริงๆ ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นที่หัวเราะจนตัวโก่ง แต่โคมไฟในมือก็แกว่งไปมา เงาของกิ่งต้นชิงเฮาในแปลงผักก็กลายเป็นเงาร่างมากมาย ราวกับรั้วกั้นแนวหนึ่ง
ตั้งแต่ที่เรื่องในเมืองสวินหยางจบลง ยืนยันได้ว่าซูหลียังมีชีวิตอยู่ เฉินฉางเซิงก็ยังมีชีวิตอยู่ ข่าวคราวในจิงตูก็เปลี่ยนแปลงไปในทันที
ทางด้านพระราชวังหลีกับกองทัพ ก็กดดันกรมอาญาเป็นอย่างมาก โดยการร้องขอให้ปล่อยตัวเจ๋อซิ่ว
การปล่อยตัวเจ๋อซิ่วนี่เป็นของขวัญชิ้นหนึ่ง เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่ใช้ต้อนรับการกลับมาของเฉินฉางเซิง
แน่นอนว่าโจวทงไม่มีทางปล่อยคน ถ้าหากไม่ใช่ว่าสถานะของเฉินฉางเซิงอ่อนไหวเกินไป เขาจะต้องจับเฉินฉางเซิงเข้าคุกใหญ่ที่อยู่หน้าจวนเป็นแน่
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าการตายของจวงห้วนอวี่เป็นเรื่องดี การตายอย่างไร้การตรวจสอบ ดีที่เป็นการตายอย่างไร้การตรวจสอบ
แน่นอนว่าเขารู้อย่างชัดเจนดี ด้วยตำแหน่งและสถานะของเฉินฉางเซิงในตอนนี้ การตายของจวงห้วนอวี่ก็ไม่ได้มีความหมายมากนัก
แต่ว่าจะต้องมีคนใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้แน่
……
……
สายฝนใหม่ที่โปรยปรายลงมา ฤดูใบไม้ผลิในจิงตูไม่ได้จืดจางลงไป แต่กลับเข้มข้นขึ้น งามวิจิตรจนถึงที่สุด ขนาดที่ค่อนข้างจะเลี่ยนขึ้นมาบ้าง
มีขบวนรถม้าที่กลับมายังจิงตู
เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ภายในรถม้า เขารับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวจากภายในฝักกระบี่ รู้ว่ามังกรดำจะตื่นขึ้นมาแล้ว จึงโล่งอกเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้น เขาได้ยินเสียหนึ่งดังเข้ามาจากนอกรถม้า
“คนทรยศ!”
คนมากมายล้วนรู้ว่าคนในรถคือเฉินฉางเซิง ชาวจิงตูที่ชินกับการดูเรื่องคึกคัก ก็ยังอดไม่ได้ที่จะล้อมเข้ามาสองข้างถนนเพื่อรอชม และวิพากษ์วิจารณ์กัน เสียงได้ดังวุ่นวาย มีความคึกคักอย่างหาใดเปรียบ
หลังจากที่สองคำนี้ดังขึ้นมา ถนนใหญ่ในจิงตูก็เงียบเป็นเป่าสากขึ้นมาในพริบตา