ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 14 เจ้าสำนักเฉินที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะเข้าไปยุ่ง
“วัยหนุ่มก็ควรจะไม่เอาจริงเอาจัง…ข้ารู้สึกว่า เจ้าเหมือนกับคนผู้หนึ่งอยู่บ้าง” เฉินฉางเซิงพูดขึ้น
ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “ใคร”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ซูหลี”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างหน้าชื่นตาบาน “ท่านปู่เคยพูดไว้ ว่าข้าเหมือนกับเขาในตอนหนุ่มจริงๆ”
ทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ไม่รู้ว่าที่นอกเมืองสวินหยาง เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ได้เคยพูดกับซูหลีด้วยคำพูดที่คล้ายกัน ซูหลีบ้าระห่ำเป็นอย่างมาก ถังซานสือลิ่วเองก็แสนจะบ้าระห่ำ ถึงแม้ว่าจะมีรายละเอียดที่แตกต่าง ยกตัวอย่างเช่นความบ้าระห่ำของถังซานสือลิ่วจะมีชีวิตชีวายิ่งกว่า
ในฐานะของอัจฉริยะหนุ่มที่โดดเด่นจากตระกูลใหญ่ ถังซานสือลิ่วตั้งแต่ที่มาจากเวิ่นสุ่ยจนถึงจิงตู ก็ไม่รู้ว่าดึงดูดความสนใจมาได้มากน้อยขนาดไหน กลายมาเป็นนักเรียนที่ทางสำนักเทียนเต้าให้ความสำคัญเลี้ยงดู ในงานชุมนุมไม้เลื้อยเขากลับเข้าร่วมกับสำนักฝึกหลวงที่เสื่อมโทรมไปหลายปี
ไม่มีใครคาดถึง สำนักฝึกหลวงถึงกับได้นักเรียนใหม่ภายในเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ และสะท้านสะเทือนไปทั่วเมืองจิงตู แต่ในสายตาของชาวจิงตู ที่ทำให้สำนักฝึกหลวงฟื้นคืนชื่อเสียงอย่างแท้จริง ก็คือเฉินฉางเซิงผู้มีสัญญาหมั้นหมายกับสวีโหย่วหรงไปจนถึงองค์หญิงลั่วลั่วผู้มีสถานะสูงส่งอย่างหาใดเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นงานชุมนุมไม้เลื้อยหรือในการสอบใหญ่ ความโดดเด่นของพวกเขาดึงดูดสายตาได้อย่างไร้ที่เปรียบ เด็กหนุ่มเผ่าหมาป่าอย่างเจ๋อซิ่วผู้เป็นบุคคลที่คาบเกี่ยวกับสำนักฝึกหลวง ก็โดดเด่นอย่างมาก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ถังซานสือลิ่วกลับดูธรรมดาไปเลย
และภายใต้การที่คนมากมายคิดว่าถังซานสือลิ่วจะค่อยๆ เงียบหายไปในสำนักฝึกหลวง กลายไปเป็นนักเรียนที่ธรรมดาผู้หนึ่ง ก็เป็นตอนที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งบรรลุถึงระดับทะลวงอเวจีได้สำเร็จในสุสานเทียนซูพวกนั้นได้เข้าสู่สวนโจวเพื่อฝึกฝน เขาก็ปะทุขึ้นมาอย่างฉับพลัน
เขาอยู่ในสุสานเทียนซูเพื่อดูแผ่นป้ายบรรลุสัจธรรมต่อ และละทิ้งชีวิตที่แสนสุขสบาย ไม่ได้ขี้เกียจสันหลังยาวอีก เขากินอาหารที่กวนเฟยไป๋ทำอย่างลำบาก กระชับเสื้อแล้วนอนหลับ ตื่นขึ้นก็บำเพ็ญเพียร ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น ก็บรรลุถึงสองขั้นติดๆ กัน!
ในตอนนี้เขาอยู่ในระดับทะลวงอเวจีขั้นสูงแล้ว มองออกไป ตั้งแต่ที่ซูหลีปรากฏตัวขึ้นมานับร้อยปีนี้ นอกจากเขาและพวกหวังผ้อที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อสะท้านดินแดนต้าลู่ ยังมีใครที่สามารถเข้าสู่ระดับทะลวงอเวจีขั้นสูงได้ในช่วงอายุเท่ากับเขานี้ ถ้าหากไม่ใช่ชิวซานจวิน สวีโหย่วหรง และเฉินฉางเซิง คนทั้งสามคนซึ่งผิดปกติเกินไป เรื่องที่เขาทำก็เพียงพอให้สะท้านสะเทือนไปทั่วดินแดนต้าลู่ได้แล้ว
ก็เหมือนกับที่ท่านปู่ของตระกูลถังพูดไว้เช่นนั้น หลานคนเดียวของเขาผู้นี้ช่างเหมือนกับซูหลีอย่างมาก เช่นนั้นถังซานสือลิ่วที่เหมือนซูหลีอย่างมาก ในเช้าวันที่สองที่นอกประตูของสำนักฝึกหลวง เมื่อได้เห็นโจวจื้อเหิงอีกครั้งแล้ว แน่นอนว่าไม่มีทางปล่อยไปแน่
“ตามกฎของนิกายหลวงที่มีต่อการประลองของแต่ละสำนัก สำนักฝึกหลวงต้องทำการตอบรับอย่างช้าที่สุดภายในวันนี้”
โจวจื้อเหิงมองเขาแล้วพูดขึ้น “พวกเราล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ศัตรูในอนาคตของพวกเราล้วนเป็นเผ่ามาร ปัญหามากมายสุดท้ายแล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับกระบี่และคมหอก หรือพวกเจ้าคิดจริงๆ ว่าขอเพียงปิดประตูสำนักของสำนักฝึกหลวงให้สนิท มรสุมที่อยู่ภายนอกก็จะเข้ามาไม่ได้”
ในเช้านี้ไร้ฝน เทียนไห่หยาเอ๋อร์ที่หลายวันมานี้ล้วนนั่งอยู่บนรถเข็น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมื่อวานถูกถังซานสือลิ่วถีบอย่างแรงหรือไม่ จึงไม่ได้ปรากฏตัว มีเพียงแค่โจวจื้อเหิงที่ยืนอยู่หน้าประตูสำนัก
คนผู้นี้เป็นดั่งชื่อ โจวจื้อเหิงเดิมทีก็เป็นคนที่หยิ่งผยองอย่างมาก เพราะว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งในระดับรวบรวมดวงดาว พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของเขายอดเยี่ยมอย่างมาก เขาเป็นอาจารย์ของหอจงซื่อ และยังเป็นนักบวชของตำหนักขบวนรถอริพ่าย ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เขาเป็นแขกของตระกูลเทียนไห่
มีสถานะเช่นนี้ถึงสามสถานะ เขาไม่มีเหตุผลที่ตนจะไม่หยิ่งผยอง แน่นอน เขาชัดเจนอย่างมากว่า การที่ตนเป็นตัวแทนหอจงซื่อท้าประลองกับสำนักฝึกหลวง ที่จริงก็ไม่ดีต่อสถานะของผู้แข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการกระทำของผู้ใหญ่รังแกเด็ก ค่อนข้างจะขายหน้า แต่เพราะเหตุนี้ เขากลับแสดงออกอย่างหยิ่งผยองมากยิ่งขึ้น…เหมือนว่าจะเหยียบสำนักฝึกหลวงไว้ใต้ฝ่าเท้าอย่างสมบูรณ์ เขาถึงจะไม่รู้สึกละอายใจขนาดนั้น
ถังซานสือลิ่วมองคนผู้นี้ถึงสองครั้ง ถึงจะนึกออกว่าเขาเป็นใคร
เมื่อวานโจวจื้อเหิงขวางทางของเขา เขาคิดไม่ถึงว่า วันนี้คนผู้นี้จะมาขวางทางของเขาอีก
เมื่อวานเขาจะกลับสำนักฝึกหลวง วันนี้เขาจะไปซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ที่นอกตรอกไป่ฮวา เขาไม่ชอบกินอาหารเช้าที่เซวียนหยวนผ้อทำ โจ๊กที่จะต้มมาดีขนาดไหน เมื่อถูกเฉินฉางเซิงห้ามใส่น้ำตาล และแม้แต่ผักดองก็ยังไม่มี จะกินลงไปได้อย่างไร
เดิมทีตื่นขึ้นมาก็หงุดหงิดอยู่แล้ว อยากจะกินอาหารเช้าให้ได้ดั่งใจก็ยังถูกคนขวางไว้ แน่นอนว่าถังซานสือลิ่วไม่มีทางเกรงใจกับเขา
“เจ้าโง่ หลบไป” ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดขึ้น
เมื่อวานก็เป็นสี่คำนี้ วันนี้ก็ยังใช่
เมื่อวานโจวจื้อเหิงโมโหอย่างมาก วันนี้ยิ่งโมโหไปใหญ่ มือขวาจับด้ามกระบี่ที่เอวอีกครั้ง และก็ยังคงเป็นเหมือนกับเมื่อวาน ที่โรงเตี๊ยมในตรอกนั้นพลันมีเสียงหาวดังขึ้นมา เหล่านักบวชจึงล้อมเข้ามา เหล่าทหารเองก็ง้างคันธนูในมือ
หน้าประตูสำนักฝึกหลวงวุ่นวายไปหมด ถังซานสือลิ่วผู้ซึ่งดึงดูดให้เกิดความวุ่นวายนี้ขึ้นมากลับไม่มีการตอบสนองอะไร และเดินตรงออกไป
สำหรับเขาแล้ว น้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ของร้านนั้น สำคัญกว่าคนที่ชื่อโจวจื้อเหิงมากนัก
“ไม่มีสำนักไหนที่สามารถปิดประตูทำการสอนได้”
โจวจื้อเหิงมองเงาหลังของเขา และพูดขึ้นเสียงเย็น “ต่อให้เฉินฉางเซิงกับเจ้าจะมีเบื้องหลังยิ่งใหญ่ แต่ถ้าหากพวกเจ้าคิดจะถ่วงเวลาต่อไปจริงๆ สุดท้ายแล้วมีแต่จะทำให้สำนักฝึกหลวงต้องเป็นเรื่องน่าหัวเราะในจิงตูก็เท่านั้น!”
ถังซานสือลิ่วหยุดเท้าลง และหันหน้ากลับไปพูด “สรุปแล้วเจ้าต้องการพูดอะไรกับข้า”
สีหน้าของโจวจื้อเหิงแข็งค้างไป และคิดถึงสิ่งที่ได้รู้มาเมื่อคืนวาน เขารู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้อาศัยว่าตนเป็นหลานเพียงคนเดียวของผู้เฒ่าถัง จะทำอะไรก็กำเริบเสิบสานไม่สนใจใคร ในตอนนี้ได้เห็นคิ้วทั้งสองของเขาเลิกขึ้นมา ก็สามารถเดาได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะทำเรื่องหน้าไม่อายอีกแล้ว
“ข้าไม่พูดกับเจ้า”
เขามองถังซานสือลิ่วและพูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ข้าต้องการพูดกับเฉินฉางเซิง”
“ที่แท้เจ้าก็รู้ว่าเฉินฉางเซิงเป็นเจ้าสำนักฝึกหลวง” ถังซานสือลิ่วมองเขา แล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นตัวเจ้ามีสถานะและตำแหน่งอะไร เจ้าสำนักเฉินใช่คนที่คนอย่างเจ้าอยากพบก็จะได้พบหรือ”
โจวจื้อเหิงถึงฉุกคิดขึ้นมาได้ สถานะทั้งสามที่ทำให้ตนยิ่งผยองนั้น ต่อให้รวมเป็นหนึ่งก็ยังไม่มีคุณสมบัติใดที่จะขอพบเฉินฉางเซิง กลับกัน ลำพังเพียงแค่ก่อนหน้านี้ที่เขาเรียกชื่อของเฉินฉางเซิง สำนักฝึกหลวงก็สามารถขอให้ตำหนักขบวนรถอริพ่ายลงโทษตนได้
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ขึ้นมา
ก็เป็นในตอนนี้เอง ประตูของสำนักฝึกหลวงถูกเปิดออกมาจากด้านใน เซวียนหยวนผ้อส่งเสียงขึ้นมาราวกับระฆังที่ถูกตี “ก็แค่ไปซื้อน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ ทำไมถึงได้ใช้เวลานานขนาดนี้ รีบหน่อย ไม่เช่นนั้นเฉินฉางเซิงมาเห็นเข้า ก็จะว่าพวกเราอีก”
ถังซานสือลิ่วค่อนข้างจะโมโหขึ้นมา และพูดขึ้น “ข้าใช้เงินของตัวเอง เกี่ยวอะไรกับเขา”
เซวียนหยวนผ้อรีบโบกมือและพูดขึ้นมา “น้ำเต้าหู้นั้นไม่เป็นไร ที่สำคัญคือปาท่องโก๋…”
“ปาท่องโก๋อร่อย แต่ว่าใช้น้ำมันทอด ซึ่งมันไม่ดีต่อร่างกาย” เฉินฉางเซิงมาเร็วยิ่งกว่าที่พวกเขาคิด และเดินออกมาจากด้านในประตู เขามองไปที่เซวียนหยวนผ้อแล้วพูดขึ้น “ลากถังถังกลับมา เจ้าไปซื้ออย่างอื่นเสีย”
ถังซานสือลิ่วได้ยินก็โมโหอย่างมาก “ข้าจะกินปาท่องโก๋! เจ้านี่เป็นเจ้าสำนักจริงๆ เลยนะ เรื่องอะไรก็ยุ่ง!”
“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานเจ้าก็กินไปแล้วหรือ”
เฉินฉางเซิงเตรียมจะเตือนเขาต่อ ทันใดนั้นก็เห็นโจวจื้อเหิง จิตใต้สำนึกจึงสั่งให้หยุดขึ้นมา
โจวจื้อเหิงมองเขาแล้วพูดขึ้น “ข้าจากหอจงซื่อ…”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “พรุ่งนี้ข้าว่าง ขอให้หอจงซื่อเลือกสถานที่”
หน้าประตูสำนักฝึกหลวงเงียบเป็นเป่าสาก
โจวจื้อเหิงคิดว่าตนฟังผิดไป จึงถามขึ้น “เจ้าพูดว่าอะไร”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ข้าเป็นตัวแทนของสำนักฝึกหลวง ยอมรับคำท้าประลองของเจ้า”
ในกลุ่มคนที่มาชมเรื่องสนุกติดต่อกันหลายวัน พลันส่งเสียงดังขึ้นมา
คนนับสิบต่างวิ่งไปทางถนนใหญ่และตรอกภายในเมืองจิงตู
ใช้เวลาไม่นานนัก ทั่วทั้งจิงตูก็รู้แล้วว่าในเช้านี้ได้เกิดเรื่องนี้ขึ้น
สำนักฝึกหลวงยอมรับคำท้าประลองของหอจงซื่อแล้ว