ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 15 กินดื่มเที่ยวผู้หญิงเล่นพนัน เกิดแก่เจ็บตาย
โจวจื้อเหิงยืนอยู่กับที่ ไม่ได้ตอบสนองกลับมา
เดิมทีเขาคิดว่าสำนักฝึกหลวงในวันนี้จะยังเหมือนกับหลายวันก่อน ที่คิดหาทางถ่วงเวลา หลังจากนั้นก็ค่อยคิดหาวิธีที่จะเผชิญหน้ากับคำท้าประลองของตนอย่างไร…ยกตัวอย่างเช่นมีความเป็นไปได้ว่าสำนักฝึกหลวงจะเชิญองค์หญิงลั่วลั่วมาจากพระราชวังหลี เช่นนั้นแน่นอนว่าเขาก็ต้องยอมแพ้แล้ว หรืออาจจะเลี่ยงการต่อสู้ แต่ตระกูลเทียนไห่ได้วางแผนล่วงหน้ากับเรื่องนี้แล้ว ถ้าหาสำนักฝึกหลวงให้องค์หญิงลั่วลั่วออกหน้าจริง ตระกูลเทียนไห่จะต้องอาศัยเรื่องนี้ทำให้เกิดคลื่นลมพายุที่ใหญ่กว่าเดิม…แต่จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าเฉินฉางเซิงจะถึงกับตอบรับแล้ว
สักพักให้หลังเขาถึงได้สติกลับมาจริงๆ เขามองเฉินฉางเซิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางถามขึ้น “สำนักฝึกหลวงจะส่งใครมาสู้”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ข้า”
ในตอนที่พูดคำว่าข้าออกมา เขาไม่ได้ชะงัก แน่นอนว่าก็ไม่ได้ครุ่นคิด แสดงให้เห็นว่าช่างสมเหตุสมผลอย่างมาก
ใช่ เขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง ในตอนที่สำนักฝึกหลวงถูกท้าประลอง แน่นอนว่าก็ควรให้เขาออกมาเผชิญหน้า
โจวจื้อเหิงรู้สึกว่าเฉินฉางเซิงในวันนี้เมื่อเทียบกับเมื่อสองวันก่อน มีบางอย่างที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นตรงไหนกันแน่ที่เกิดการเปลี่ยนแปลง
“ดีมาก” เขามองเฉินฉางเซิงแล้วถามขึ้น “ในเมื่อเวลาได้กำหนดแล้ว เช่นนั้นจะเป็นที่ไหนก็ได้ใช่หรือไม่”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ตามรายละเอียดของญัตติที่ใต้เท้ามุขนายกของตำหนักทั้งสองเสนอมา ในเมื่อเวลาสำนักฝึกหลวงของพวกข้าเป็นฝ่ายกำหนดแล้ว แน่นอนว่าสถานที่ก็ต้องให้หอจงซื่อเป็นฝ่ายกำหนด”
โจวจื้อเหิงมองฝูงชนหัวดำที่อยู่นอกตรอกไป่ฮวา และพูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ในเมื่อมีคนมามากมายขนาดนี้ เช่นนั้นก็กำหนดเป็นที่นี่เลยแล้วกัน”
เฉินฉางเซิงพยักหน้ารับ มองถังซานสือลิ่วที่ไม่รู้ว่าไปซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาตั้งแต่เมื่อไหร่ จึงส่ายศีรษะแล้วพูดขึ้นอย่างจนใจ “กินดื่มมีความสำคัญถึงขนาดนี้เลยหรือ”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “กินดื่มไม่ใช่ความเป็นความตาย แต่เหนือกว่าความเป็นความตาย”
ประตูของสำนักฝึกหลวงได้ปิดลงอีกครั้ง แต่ว่าแตกต่างกับการตัดขาดของหลายวันก่อนอย่างสิ้นเชิง ทุกคนล้วนรู้กัน พรุ่งนี้ ประตูใหญ่ที่ปิดสนิทบานนี้จะเปิดขึ้นอีกครั้ง
ความวุ่นวายของฝูงคนนอกตรอกไป่ฮวายังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทั่วทั้งจิงตูเองก็วุ่นวายตามมา
หอจงซื่อท้าประลองสำนักฝึกหลวง นี่ก็จะเป็นการประลองครั้งแรกของแต่ละสำนัก
มันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับกฎใหม่ของนิกายหลวงที่มีความหมายอันลึกซึ้งต่อการที่มวลมนุษย์จะต่อต้านเผ่ามาร ผู้คนต่างชัดเจนดี นี่เป็นการแสดงออกของตระกูลเทียนไห่ไปจนถึงกลุ่มอำนาจใหม่ของนิกายหลวง ว่าในที่สุดก็เริ่มต้นส่งเสียงของตนไปยังพระราชวังหลีแล้ว
ไม่ได้ใช้เวลานานนัก ข่าวนี้ก็ได้กระจายไปทั่วจิงตูแล้ว ไม่นานก็มีคนงานขนอุปกรณ์ต่างๆ มา ครู่เดียว ศาลาแห่งหนึ่งก็เริ่มจะเห็นรูปร่างแล้ว ตามมา รถม้านับสิบคันก็มาถึงนอกตรอกไป่ฮวา ในรถมีคนเดินลงมามากมาย มีทั้งจิตรกร มีทั้งนักเล่านิทาน มีทั้งพ่อค้า และยังมียอดฝีมือของสี่โรงพนันใหญ่
ใช่ คนเหล่านี้ที่ตอบสนองได้เร็วกว่าจวนจิงตู ล้วนมาจากสี่โรงพนันใหญ่ที่มีชื่อของจิงตู
สี่โรงพนันใหญ่ไม่ว่าการค้าใดก็ล้วนทำ ทั้งร้านอาหาร หอสุรา หอนางโลม เสบียงอาหาร ของหรูหรา ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ แต่ว่าการค้าที่ทำกำไรได้มากที่สุด ก็เป็นโรงพนันมาโดยตลอด
ทุกปีในช่วงที่มีการสอบใหญ่ ก็มักจะเป็นช่วงที่สี่โรงพนันใหญ่ทำกำไรได้มากที่สุด ไหนเลยพวกเขาจะพลาดหัวข้อเดิมพันที่แสนจะสมบูรณ์แบบอย่างการประลองระหว่างสำนักได้ ที่จริงมีคนจำนวนมากที่กำลังสงสัย พระราชวังหลีสามารถใช้เวลาที่สั้นขนาดนี้ ไม่สนใจการคัดค้านของสำนักการศึกษากลาง อนุมัติการเสนอญัตติของใต้เท้ามุขนายกของตำหนักทั้งสอง เป็นไปได้อย่างมากว่าจะมีเจ้าของสี่โรงพนันใหญ่แอบผลักดันอยู่เบื้องหลัง
แน่นอน นอกตรอกไป่ฮวาพลันคึกคักขึ้นมาอย่างหาใดเปรียบ คนของสี่โรงพนันใหญ่กลับไม่กล้าไปรบกวนความสงบของสำนักฝึกหลวง พ่อค้าก็คือพ่อค้า
เรื่องที่เกิดขึ้นต่อมา ค่อนข้างจะเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง
ผู้ดูแลคนหนึ่งของโรงพนันเทียนเซียงถึงกับไม่สนใจสายตาระวังภัยจากนักบวชของพระราชวังหลีและกองทัพอวี่หลิน กระทั่งเดินไปถึงประตูสำนักฝึกหลวง ผู้คนกำลังมองภาพเหตุการณ์นี้ และสงสัยอย่างมาก ในใจคิดว่าผู้ดูแลผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่ ต้องรู้ว่าโรงพนันเทียนเซียงมีกำลังอ่อนแอที่สุดในสี่โรงพนันใหญ่ ปกติมักจะอยู่รั้งท้ายตลอด การสอบใหญ่ในปีนี้ก็ซบเซาอย่างมาก สุดท้ายเฉินฉางเซิงสอบได้อันดับหนึ่งของขั้นที่หนึ่งอย่างยากจะจินตนาการ ก็ยิ่งทำให้โรงพนันเทียนเซียงต้องเสียหายอย่างหนัก ถึงขนาดที่ว่ามีข่าวลือออกมาตลอด ว่าเป็นไปได้อย่างมากว่าโรงพนันเทียนเซียงต้องเปลี่ยนมือเจ้าของแล้ว ผู้ดูแลคนนี้ไปเอาความฮึกเหิมมาจากไหนกัน
เรื่องที่ยิ่งเหนือความคาดหมายได้เกิดขึ้นแล้ว ประตูของสำนักฝึกหลวงถึงกับเปิดออกจริงๆ ผู้ดูแลผู้นั้นก็เดินเข้าไปเช่นนี้แล้ว
……
……
“เจ้าพูดว่า…โรงพนันเทียนเซียงเป็นทรัพย์สินของตระกูลถังของพวกเจ้าหรือ”
เฉินฉางเซิงมองดูผู้ดูแลที่อยู่ตรงหน้าของถังซานสือลิ่วนั้นมีท่าทีถ่อมตัวและมีมารยาทอย่างหาใดเปรียบ จึงถามขึ้นอย่างตกตะลึง “ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เป็นเรื่องที่เพิ่งกำหนดได้หลังจากการสอบใหญ่”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ได้ยินมาว่าเบื้องหลังของสี่โรงพนันใหญ่แห่งจิงตูล้วนลึกล้ำอย่างมาก บางแห่งดูเหมือนว่าจะเป็นทรัพย์สินของหอความลับสวรรค์ ทำไมเจ้าของเดิมของโรงพนันเทียนเซียงถึงยอมปล่อยมือ”
ใครก็รู้ว่าตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยเป็นตระกูลที่มีเงินมากที่สุดในโลก แต่ปัญหาอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเทียนไห่กับตระกูลถังค่อนข้างจะเลวร้ายอยู่บ้าง ในช่วงหลายปีมานี้ ได้แอบขัดขวางไม่ให้อำนาจของตระกูลถังเข้าถึงจิงตูมาโดยตลอด ถ้าหากโรงพนันเทียนเซียงเป็นของตระกูลถังแล้วจริงๆ ความพยายามของตระกูลเทียนไห่ก็จะสูญเปล่าไป ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าตระกูลถังสามารถทำได้อย่างไร
ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วยิ้ม โดยที่ไม่ได้อธิบายอะไร
เฉินฉางเซิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
ผู้ดูแลผู้นั้นมองไปที่เฉินฉางเซิง สีหน้าก็มีความประหลาดอยู่บ้าง ในใจคิดหากไม่ใช่เพราะตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยลงเดิมพันก้อนโตไว้ข้างเจ้าตอนการสอบใหญ่ ไหนเลยโรงพนันเทียนเซียงจะพ่ายแพ้จนต้องถูกบีบให้เปลี่ยนมือเจ้าของ แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้เขาไม่กล้าที่จะพูดออกมา เขามองไปที่ถังซานสือลิ่วและเอ่ยถามขึ้น “คุณชาย ตามกฎของตระกูลแล้ว เงินที่อยู่ในโรงพนันไม่อาจจะแตะต้อง ข้าสามารถทำได้เพียงเอาเงินส่วนตัวที่ท่านเก็บไว้ทั้งหมดไปลงเดิมพัน”
ถังซานสือลิ่วนับจำนวนดูแล้ว ในใจคิดว่าต่อให้ชนะก็ไม่พอที่จะซื้อหอเฉิงหูมาได้ จึงหันกายไปคุยกับเฉินฉางเซิงและเซวียนหยวนผ้อ “พวกเจ้ายังมีเงินอยู่อีกเท่าไหร่ เอามาให้ข้าทั้งหมด”
เขายืมเงินผู้อื่น แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเขียนใบสัญญาอะไรเทือกนั้น ส่วนเรื่องที่จะยืมเงินไปใช้ทำอะไร เขาเองก็คร้านจะอธิบาย เขายืมเงินผู้อื่น นั่นนับเป็นการให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายจริงๆ
ที่น่าเสียดายก็คือ เพื่อนร่วมสำนักทั้งสองของเขาในสำนักฝึกหลวงนี้ ในด้านนี้ก็ต้องยอมให้คนดูถูกจริงๆ
เซวียนหยวนผ้อควานหาทั้งลังแล้ว ก็หาออกมาได้อยู่เจ็ดสิบกว่าตำลึงเงิน
เฉินฉางเซิงก็ยิ่งอนาถ ควานหาทั้งตัว แม้แต่กระดาษสักแผ่นก็ยังหาไม่พบ
ถังซานสือลิ่วนั้นเห็นใจเซวียนหยวนผ้ออย่างมาก แต่กับเฉินฉางเซิงนั้นกลับโมโหเป็นอย่างมาก “ตั๋วเงินเหล่านั้นที่ข้าให้กับเจ้าล่ะ แล้วสมบัติเหล่านั้นที่องค์หญิงลั่วลั่วให้กับเจ้าล่ะ หลังจากการสอบใหญ่ สำนักฝึกหลวงได้รับของขวัญมากมายถึงเพียงนั้น ของมันวิ่งหนีไปไหนหมดแล้ว”
เฉินฉางเซิงค่อนข้างจะอับอายอยู่บ้าง พลางพูดขึ้น “ของเหล่านั้น…ล้วนหล่นอยู่ในสวนโจวหมดแล้ว”
ถังซานสือลิ่วรู้อย่างชัดเจนว่าเฉินฉางเซิงมีทรัพย์สินอยู่เท่าไหร่ก่อนที่จะไปยังสวนโจว ไม่ต้องพูดถึงตั๋วเงินที่มีเป็นลัง สมบัติที่ลั่วลั่วมอบให้เขาเหล่านั้นแม้แต่เขาเองก็ยังอิจฉาอยู่บ้าง ผลคือ…ถึงกับทำหายไปแล้ว! นึกถึงสวนโจวซึ่งในตอนนี้ได้ล่มสลายไปแล้ว ทรัพย์สินเหล่านั้นก็ไม่มีความหวังที่จะหากลับมาอีกแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ มองดูเขาแล้วพูดขึ้นอย่างโมโห “ช่างเป็นตัวจองล้างจองผลาญจริงๆ”
เฉินฉางเซิงคิดถึงลังและคัมภีร์เหล่านั้นที่อยู่ก้นทะเลสาบในสวนโจว ก็รู้สึกเสียดายอยู่มาก ในใจคิดว่าจะต้องหาทางเอากลับมาถึงจะถูก สองวันมานี้ เขาทดลองอยู่หลายครั้ง เพียงแต่หลังจากที่ดวงจิตผ่านมหาสมุทรแห่งเจตจำนงกระบี่นั่นไปแล้ว ยังคงไม่อาจข้ามผ่านป้ายหินสีดำแผ่นนั้น คิดจะหาทางกลับไปยังสวนโจวใหม่ ดูท่าแล้วคงจะต้องค้นหาเส้นทางกันอีกยาวนาน
อยู่ๆ เซวียนหยวนผ้อก็นึกถึงปัญหาอย่างหนึ่ง มองดูผู้ดูแลโรงพนันเทียนเซียงที่กำลังนับจำนวนเงินอยู่ ก็เอ่ยถามถังซานสือลิ่วขึ้น “เจ้าจะเอาเงินไปเล่นพนันหรือ”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ไม่เช่นนั้นล่ะ หรือว่าจะให้ไปเที่ยวผู้หญิงหรือ”
เซวียนหยวนผ้อส่ายหัวพูดขึ้น “เผ่าของพวกข้าเคยพูดไว้ มนุษย์นั้นเจ้าเล่ห์ที่สุด ไม่อาจพนันกับพวกเจ้าได้ ไม่สู้ข้าเก็บเงินเอาไว้ทำการค้าเล็กๆ ดีกว่า”
ขณะพูด เขาก็เตรียมจะไปเอาเงินของตนกลับมา
“เป็นหมีโง่จริงๆ” ถังซานสือลิ่วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ขอเพียงแค่สองวัน เงินหนึ่งตำลึงก็จะกลายเป็นสิบเอ็ดตำลึง มีการค้าไหนที่จะคุ้มค่าให้ทำยิ่งกว่านี้”
เซวียนหยวนผ้อหยุดเท้าลง และพูดขึ้นอย่างค่อนข้างตกตะลึง “ทำไมถึงได้มากขนาดนี้”
เผ่าปีศาจไม่ชอบที่จะพนันกับมนุษย์ ไม่ได้แปลว่าพวกเขาไม่เล่นพนัน จะเป็นเด็กหนุ่มเผ่าหมีที่ซื่อบื้อแค่ไหน อย่างน้อยก็เข้าใจถึงอัตราการเดิมพัน
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “สี่โรงพนันใหญ่เพิ่งจะคำนวณอัตราเดิมพันขึ้นมา สูงที่สุดอยู่ที่หนึ่งต่อสิบเอ็ด ที่ต่ำที่สุดก็อยู่ที่หนึ่งต่อเก้า”
เซวียนหยวนผ้อรู้สึกอย่างกะทันหันว่าไม่ค่อยถูกต้องนัก จึงถามขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “นี่ก็พูดได้ว่าพวกเราชนะแล้วหรือ”
ถังซานสือลิ่วมองเขาราวกับมองคนปัญญาอ่อน “โจวจื้อเหิงอยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาว เฉินฉางเซิงอยู่ในขั้นทะลวงอเวจี เจ้ารู้สึกว่าสี่โรงพนันใหญ่จะเดิมพันโจวจื้อเหิงที่หนึ่งต่อสิบเอ็ดหรือ”
เซวียนหยวนผ้อตะลึงไป และตะโกนขึ้น “เจ้าถึงกับเอาเงินของข้าไปเดิมพันข้างเฉินฉางเซิง!”
ต้องรู้ว่าเงินหลายสิบตำลึงนั้นนอกจากที่สำนักการศึกษากลางมอบให้ ที่เหลือล้วนเป็นเงินที่เขาได้มาจากการล้างจานอย่างยากลำบากที่ตลาดกลางคืนในตอนแรก ไหนเลยจะตัดใจยอมให้เงินเหล่านี้ลอยไปกับสายน้ำ
ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดขึ้นพลางยิ้มหยัน “เจ้าต้องเข้าใจด้วย เจ้าไม่เดิมพันข้างเขา หากเขาใช้สถานะเจ้าสำนักสร้างความลำบากให้เจ้า หรือถ้าเขาเอาเรื่องเจ้าไปฟ้องกับองค์หญิงลั่วลั่ว เจ้าจะทำเช่นไร”
เซวียนหยวนผ้อได้ยินก็จนใจ รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน
……
……
ดอกเหมยที่อยู่เต็มห้อง ยังคงเบ่งบานเช่นเดิม ราวกับบนกำแพงผนังมีฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาวทั้งสี่ฤดูอยู่จริงๆ
ที่น่าเสียดายก็คือ ชีวิตของมนุษย์ไม่อาจจะมีทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ หลังจากมาถึงฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ ก็ไม่อาจกลับไปสู่ฤดูใบไม้ผลิอีกแล้ว
อาการป่วยของเหมยหลี่ซานั้นหนักอย่างมาก งานในสำนักการศึกษากลางก็แบ่งสันให้กับลูกน้องไปจัดการหมดแล้ว มีงานบางส่วนที่ถ่ายโอนไปให้เหมาชิวอวี่
ที่จริงเขาชัดเจนอย่างมาก ว่าตนไม่ได้ป่วย เพียงแต่ชราแล้วก็เท่านั้น
ถ้าหากเป็นการป่วย ก็ต้องสามารถรักษาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าผู้ที่ป่วยคือเขา ขอเพียงเขายินยอม ต่อให้เป็นอาจารย์และนักเรียนทั้งหมดของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าก็พร้อมที่จะมาใช้เคล็ดวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ให้กับเขา
ไม่มีใครสามารถรักษาความชราได้ กระทรวงสิบสามชิงเหย้าทำไม่ได้ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทำไม่ได้ แม้แต่ใต้เท้าสังฆราชเองก็ทำไม่ได้
การแก่ไปตามกาลเวลา ก็จะหวนคืนสู่ทะเลแห่งดวงดาว ในเวลาเช่นนี้ คนที่แตกต่างกันก็จะมีการแสดงออกที่ต่างกัน
ในนิกายหลวงเหมยหลี่ซาได้ค้นคว้าตำรา บริหารการศึกษา อยู่อย่างโดดเดี่ยวมานับร้อยๆ ปี ในเวลาเช่นนี้ ที่เขาชอบที่สุดก็คือความคึกคัก โดยเฉพาะความคึกคักที่เกี่ยวข้องกับเฉินฉางเซิงและสำนักฝึกหลวง
เมื่อได้ยินอาจารย์ซินบรรยายเรื่องที่เกิดขึ้นในเช้านี้จบแล้ว ริ้วรอยบนใบหน้าของเหมยหลี่ซาก็แผ่ขยายออก เขาแย้มยิ้มและพูดขึ้น “ช่างคึกคักเสียจริง”
พูดว่าคึกคักเสียจริง ใบหน้าที่แก่เฒ่าได้มีรอยยิ้ม แม้แต่ฝ้าของคนแก่เหล่านั้นก็ราวกับว่าจางลงไปบ้างแล้ว อาจารย์ซินกลับได้ยินถึงความโดดเดี่ยว ทำให้เขารู้สึกไม่สงบอย่างมาก