ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 16 มองดูดอกเหมยดอกนั้นมาหลายปี
อาจารย์ซินรู้สึกว่าดอกเหมยทั่วห้องกำลังแผ่ไอเย็นออกมา ถึงแม้ดอกเหมยจำนวนมากจะชอบอากาศเย็น เพื่อที่จะขับไล่ไอเย็นพวกนี้ เขาแย้มยิ้มขึ้นมาอย่างยากลำบาก และเล่าความคึกคักของสำนักฝึกหลวงต่อ โดยเฉพาะบรรยายส่วนสำคัญอย่างการที่เจ้าสำนักเฉินฉางเซิงเป็นตัวแทนของสำนักฝึกหลวงรับคำท้าประลองแล้ว ความรวดเร็วของการตอบสนองของสี่โรงพนันใหญ่ ศาลาแห่งนั้นที่อยู่ปากทางเข้าตรอกไป่ฮวา ไปจนถึงยอดการเดิมพันของสี่โรงพนันใหญ่
“ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เดิมพันมากเท่าตอนการสอบใหญ่นะ” เหมยหลี่ซาแย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น
อาจารย์ซินฟังไม่เข้าใจ การประลองของโจวจื้อเหิงกับเฉินฉางเซิงในวันพรุ่งนี้แน่นอนว่าจะดึงดูดสายตาคนอย่างมาก แต่จะสามารถไปเทียบกับการสอบใหญ่ได้อย่างไร นาทีถัดมา ในที่สุดเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ในการสอบใหญ่ ในสถานการณ์ที่ทุกคนล้วนไม่เอาใจช่วยเฉินฉางเซิง เขากลับนำทรัพย์สินทั้งหมดเดิมพันข้างเฉินฉางเซิง…เพราะว่าใต้เท้ามุขนายกเอาใจช่วยเฉินฉางเซิง
“ข้าเข้าใจแล้ว” เขายิ้มและพูดกับใต้เท้ามุขนายก “อีกสักครู่ข้าจะให้คนไปลงเดิมพัน”
ทั่วทั้งพระราชวังหลีในตอนนี้ล้วนรู้ดี หลังจากที่สำนักฝึกหลวงก้าวเข้าสู่เส้นทางที่ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ อาจารย์ซินก็กลายเป็นคนสนิทของใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซา ท่าทีของเขาก็คือท่าทีของใต้เท้ามุขนายก การสอบใหญ่ในปีนี้ อาจารย์ซินใช้ทรัพย์สินทั้งหมดลงเดิมพันข้างเฉินฉางเซิง ดังนั้นแล้ว ต่อให้เหล่านักบวชในสำนักการศึกษากลางจะไม่ได้เอาใจช่วยเฉินฉางเซิง แต่ก็เอาเงินจำนวนมากไปลงเดิมพันข้างเฉินฉางเซิง
นี่เป็นจำนวนมากก้อนหนึ่ง
ที่ในตอนสุดท้ายโรงพนันเทียนเซียนพ่ายแพ้ย่อยยับเช่นนั้น นอกจากการโจมตีที่เงียบเชียบและทรงพลังของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยแล้ว ก็เป็นเพราะพวกเขาจำเป็นต้องจ่ายเงินเดิมพันให้กับเหล่านักบวชของพระราชวังหลีที่ชนะเดิมพันให้หมด
เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ซิน เหมยหลี่ซาก็ยิ้มขึ้นมา หลังจากนั้นก็เริ่มไอ ภายในห้องมีเสียงไออันเจ็บปวดดังสะท้อน ผ่านไปเป็นเวลานานถึงได้หยุดลง เขาหายใจเข้าลึกๆ สองครั้งอย่างเหนื่อยล้า มองดูแสงแดดที่นอกหน้าต่าง และพูดขึ้นอย่างเสียดาย “เดิมทีข้าอยากจะมองดูว่าเฉินฉางเซิงจะเดินไปถึงไหนกัน น่าเสียดายที่คงมองไม่เห็นแล้ว”
สำหรับเฉินฉางเซิง พรุ่งนี้คือครั้งแรกหลังจากการสอบใหญ่ที่เขาได้แสดงความแข็งแกร่งและระดับพลังของเขาต่อหน้าคนทั้งโลก เขาดูแผ่นป้ายในสุสานเทียนซู ค้ำฟ้าในสวนโจว แบกซูหลีหนีมาจากพื้นที่ราบหิมะในอาณาเขตเผ่ามาร กลับแดนใต้…ในช่วงเวลาเหล่านี้ สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ ได้บรรลุ ล้วนจะแสดงออกมาในวันพรุ่งนี้
เขาจะแสดงและรายงานผลสำเร็จให้กับเหล่าคนที่เป็นห่วงตัวเขาเป็นครั้งแรก
พรุ่งนี้ สำหรับเขาแล้วจะเป็นวันใหม่
แต่ว่า สำหรับเหมยหลี่ซา เขาไม่มีวันพรุ่งนี้แล้ว
อาจารย์ซินรู้สึกว่าขาอ่อนยวบลงมาอย่างกะทันหัน เขาเดินไปที่หน้าเตียงอย่างยากลำบาก มองดูใต้เท้ามุขนายกที่มีสีหน้าสงบนิ่ง กังวลเสียจนพูดไม่ออก ทั่วทั้งสำนักการศึกษากลาง ไม่นานก็จมสู่บรรยากาศที่ตึงเครียด ข่าวหนึ่งได้กระจายไปทั่วทุกทิศของจิงตู
ที่สนามหน้าสำนักการศึกษากลางไม่ได้มีรอยเลือดของฤดูใบไม้ผลิปีก่อนตั้งนานแล้ว ต้นเฟิงแถบนั้นกลับมีสีแดงสดราวกับเลือดก็ไม่ปาน ดุจดั่งการเหี่ยวเฉาในฤดูใบไม้ร่วงนั้นมาย่ำเยือนก่อนล่วงหน้า ทว่าที่แท้แล้วกลับเป็นเพียงเพราะแสงสนธยามาเยี่ยมเยียนก็เท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นการอธิบายแบบไหน สุดท้ายแล้วก็ล้วนไม่เป็นมงคล และทำให้คนรู้สึกเจ็บปวด
ในเมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึงแล้ว ฤดูหนาวที่เงียบสงัดยังจะห่างไกลอีกหรือ
ยามสนธยาที่มาถึง ไม่ใช่ว่ายามราตรีก็อยู่เบื้องหน้าแล้วหรือ
ยามราตรีมาถึง ยามที่โคมไฟจุดขึ้นมา เฉินฉางเซิงก็มาถึงสำนักการศึกษากลางแล้ว เขาไม่มีเวลามาสนใจการทำความเคารพของเหล่านักบวชเหล่านั้น และมุ่งตรงไปที่ห้องที่อยู่ลึกที่สุดห้องนั้น
ในห้องยังคงเต็มไปด้วยดอกเหมย เพียงแต่ดอกเหมยมากมายไม่ได้ผลิบานอีก ทั้งยังมีร่องรอยของการโรยราแล้ว
“ข้าจะตายแล้ว” เหมยหลี่ซามองเขาแล้วพูดขึ้น น้ำเสียงอบอุ่นอย่างมาก ราวกับกลัวจะทำให้เด็กน้อยตกใจ
เฉินฉางเซิงครุ่นคิดถึงความเป็นตายมานับไม่ถ้วน มีอยู่หลายครั้งที่เขาคิดว่าตนสามารถมองข้ามความเป็นตายได้แล้ว ยกตัวอย่างเช่นตอนอยู่ตรงหน้ามังกรดำ ยกตัวอย่างเช่นตอนที่อยู่ในสวนโจว เขาถึงกับคิดว่าตนจะบรรลุถึงสัจธรรมของชีวิต ยกตัวอย่างเช่นคนที่กลัวความตายมากที่สุดมักจะไม่กลัวความตาย และมีหลายครั้งในชีวิตที่ขอเพียงไม่กลัวความตายถึงจะสามารถรอดไปได้ มีเพียงแค่สู้สุดชีวิตถึงจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้
แต่การได้มองใต้เท้ามุขนายกที่แก่ชราในตอนนี้ เขาก็พบว่าความคิดเหล่านั้นของตนไม่ได้สมบูรณ์แบบ เพราะว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อน ถ้าหากไม่มีศัตรู หรือพูดว่าถ้าหากศัตรูก็คือกาลเวลา เช่นนั้นแล้วเจ้าควรจะต่อสู้เช่นไร ในตอนที่ความตายได้คืบคลานเข้ามา เจ้าจะรักษาความสงบไว้อย่างไร เขาไม่รู้ ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
เหมยหลี่ซามองเขาแล้วยิ้มขึ้นมา ไม่ได้พูดหัวข้อนี้ต่อ และถามขึ้น “พรุ่งนี้เจ้ามีความมั่นใจแค่ไหน”
อาจจะเป็นเพราะความตายได้มาถึง และเวลาเหลืออยู่น้อยมากจริงๆ ใต้เท้ามุขนายกในวันนี้ถึงได้พูดจาตรงไปตรงมาเป็นพิเศษ
เฉินฉางเซิงเองก็ตรงไปตรงมาอย่างมาก ไม่ได้มีความลังเลใดๆ เลย จึงพูดขึ้น “สิบส่วน”
เหมยหลี่ซาคิดว่าเขาอยากให้ตนสบายใจ จึงยิ้มแล้วพูดขึ้น “ข้าเชื่อว่าที่จริงเจ้าเคยคิดมาหลายครั้งแล้ว ว่าทำไมข้าถึงดีกับเจ้าเช่นนี้”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไป แน่นอนว่าเขาเคยคิดมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็คิดไม่ออก เขารู้ว่าจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่โตแน่นอน แต่ก็ไม่อยากจะคาดเดาเช่นนั้นอีก
“ข้ามีเรื่องบางอย่างปิดบังเจ้าอยู่ กระทั่งกำลังจงใจหลอกเจ้า แต่เจ้าต้องเชื่อข้า เชื่อใต้เท้าสังฆราช เชื่ออาจารย์ของเจ้า”
เหมยหลี่ซาพูดขึ้น “บางทีความจริงของหลายๆ เรื่องอาจจะดูแล้วไม่เหมือนกับที่แสดงออกมา แต่นั่นเป็นเพียงการเดินบนเส้นทางที่ต่างกัน แต่เป้าหมายสุดท้ายกลับไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ก็เหมือนการเตรียมการของพวกข้าที่มีต่อเจ้า ในอนาคตบางทีเจ้าอาจจะรู้สึกไม่พอใจจนถึงกับโกรธแค้น แต่เจ้าต้องดูว่าผลลัพธ์สุดท้ายคืออะไรกันแน่ ข้าเชื่อว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางมีผลเสียต่อเจ้า”
เฉินฉางเซิงไม่ค่อยเข้าใจความหมายในคำพูดนี้ แต่ว่าเขาเข้าใจความหมายของใต้เท้ามุขนายก…ความหมายสองอย่างนี้แตกต่างกัน…ขอเพียงแค่ผลลัพธ์ออกมาดี เช่นนั้นกระบวนการระหว่างนั้นกับการใช้ลูกเล่นก็ไม่สำคัญ ที่เหมยหลี่ซาอยากจะพูดคือสิ่งนี้ แต่สรุปแล้วหมายถึงเรื่องของจิตใจหรือการกระทำกันล่ะ เฉินฉางเซิงมองใบหน้าที่แก่ชราของเหมยหลี่ซา ไม่อยากที่จะไปถามปัญหาข้อนี้อีก เขาคิดว่าสำหรับคนแก่ที่กำลังจะลาจากโลกใบนี้แล้ว การถามต่อ จะเป็นเรื่องที่โหดร้ายอย่างมาก อีกทั้งเขายังรู้สึกได้ว่าชายชราผู้นี้หวังดีกับตนจริงๆ
ในสายตาของคนบนโลก ไม่ว่าจะเป็นงานชุมนุมไม้เลื้อยหรือการสอบใหญ่ ที่เฉินฉางเซิงสามารถได้รับชัยชนะในตอนท้ายสุด มีชื่อเสียงสะท้านจิงตู คนที่เขากับสำนักฝึกหลวงต้องขอบคุณมากที่สุดก็คือใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซา ก่อนที่ใต้เท้าสังฆราชจะสวมมงกุฎหนามให้เขากับมือ เหมยหลี่ซาก็เป็นเพียงคนเดียวบนโลกที่สนับสนุนเขา เป็นที่พึ่งของสำนักฝึกหลวง แน่นอนว่าเขากับเฉินฉางเซิงใกล้ชิดกันอย่างมาก เพียงแต่ตัวของเฉินฉางเซิงชัดเจนดี ที่จริงเขากับใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาแม้แต่พบหน้าก็มีเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง จากซีหนิงมาจนถึงจิงตู ทั้งหมดล้วนเกินขึ้นอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก็เป็นในตอนที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เขากับสำนักฝึกหลวงก็เดินมาถึงทุกวันนี้ และอีกฝ่ายก็กำลังจะตายแล้ว
พวกเขาพบกันไม่มาก และอายุห่างกันนับร้อยปี แน่นอนว่าไม่ได้สนิทสนมกัน แต่เขาสามารถรับรู้ได้ว่าใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาดีกับเขาจริงๆ อีกทั้งยัง…น่าเวทนาอย่างมาก ราวกับรู้ถึงความลับที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขานั่น ดังนั้นในตอนที่มองมาที่เขาดวงตาถึงได้มีความรู้สึกผิด ความรู้สึกใดๆ ก็ล้วนมีอยู่ ในตอนนี้มองเขาที่กำลังจะตาย เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะช่วยอะไร รู้สึกไร้กำลัง และรู้สึกผิดอย่างมาก ถึงขนาดที่ว่าดวงตาก็ยังชื้นขึ้นมา
……
……
เหมยหลี่ซาให้เฉินฉางเซิงจากไป ให้อาจารย์ซินหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากบนชั้นมาอ่าน
ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เขายังอ่านหนังสืออยู่ นั่นเป็นหนังสือเต๋าที่หน้าปกค่อนข้างจะเก่าเล่มหนึ่ง
เขาอ่านอยู่นานมาก หลังจากนั้นก็ปิดหนังสือลง มองดูยามราตรีที่นอกหน้าต่างแล้วพูดพึมพำขึ้นมา “เจ้าสำนักซางช่างเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
อาจารย์ซินไม่เข้าใจว่าทำไมในเวลานี้ ใต้เท้ามุขนายกถึงได้นึกถึงผู้ที่เคยเป็นเจ้าสำนักฝึกหลวงผู้นั้น ถึงแม้เขาเพิ่งจะพบว่าเฉินฉางเซิงเป็นศิษย์ของคนผู้นั้น
“น่าสนใจ” นิ้วมือที่ผอมแห้งของเหมยหลี่ซาชี้ไปที่หนังสือเต๋าเล่มนั้นอยู่สองจุด แล้วพูดขึ้น “ข้าอยากรู้อย่างมาก ประวัติของใต้เท้าสังฆราชคนต่อไปในคัมภีร์ลัทธิเต๋าจะบันทึกไว้เช่นไร”
อาจารย์ซินฟังแล้วไม่เข้าใจ และก็ไม่อยากให้ใต้เท้ามุขนายกกังวลเรื่องใหญ่ของนิกายหลวงในเวลาเช่นนี้อีก จึงถามขึ้น “ท่านว่าการประลองในวันพรุ่งนี้ใครจะเป็นฝ่ายชนะกันแน่”
นี่เป็นการเปลี่ยนเรื่อง และก็เป็นความประหลาดใจอย่างมากจริงๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทั้งตัวของเขา เขาเพียงแค่ไม่เข้าใจจริงๆ
ในตอนการสอบใหญ่ ชัยชนะของเฉินฉางเซิงสามารถพูดได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์
เขาบรรลุถึงขึ้นทะลวงอเวจีระหว่างสอบ และใช้กระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่หลีซาน บีบจนโก่วหานสือต้องสละสิทธิ์การต่อสู้ เช่นนี้ถึงได้อันดับหนึ่งของขั้นที่หนึ่ง
คู่ต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ของเขาคือโจวจื้อเหิงที่อยู่ขั้นรวบรวมดวงดาว เขาคงไม่สามารถเป็นเหมือนกับตอนการสอบใหญ่ ที่สามารถบรรลุขั้นรวบรวมดวงดาวได้ระหว่างการประลอง ปาฏิหาริย์ ก็หมายถึงเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากยิ่ง ถ้าหากภายในเวลาอันสั้นเพียงครึ่งปี ปาฏิหาริย์ได้ย้อนรอยเกิดขึ้นซ้ำสอง นั่นก็ไม่เรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว นั่นเรียกว่าเป็นไปไม่ได้ อาจารย์ซินจะมองอย่างไร ก็ไม่เห็นถึงความเป็นไปได้ที่เฉินฉางเซิงจะสามารถเอาชนะโจวจื้อเหิงได้ เขาอยากจะรู้ ใต้เท้ามุขนายกคิดจริงๆ หรือว่าเฉินฉางเซิงจะชนะ หรือว่าเป็นเพียงแค่อยากจะมอบความมั่นใจให้กับเด็กหนุ่มผู้นั้นในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เป็นการคุ้มครองเขาเป็นครั้งสุดท้าย
กลีบดอกไม้ค่อยๆ ร่วงโรย กิ่งเหมยยังคงแข็งแกร่งเช่นเคย ต่อให้อยู่ในสภาพคดโค้ง ต่อให้อุณหภูมิในห้องจะลดต่ำลง เหลือเพียงความหนาวเย็น ก็ไม่ได้มีท่าทีจะหักลงแม้แต่น้อย
เหมยหลี่ซามองดอกเหมยที่อยู่บนโต๊ะกระถางนี้ แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “ข้ายังเอาใจช่วยเฉินฉางเซิงอยู่”
……
……
เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ภายในตำหนักใหญ่ ลั่วลั่วนั่งอยู่ข้างกายเขา ไม่ได้พูดจา เพียงแค่จับมือของเขาเอาไว้ เหล่านักบวชยืนอยู่ไกลออกไป ไม่ได้เข้ามารบกวนพวกเขา ก็เหมือนโจวจื้อเหิงผู้นั้นที่บางทีก็ลืมความจริงที่ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงไปแล้ว แต่เหล่าคนที่อยู่ที่นี่ไม่อาจลืมเลือนไปได้ อีกทั้งบรรยากาศในตอนนี้ก็ค่อนข้างจะกดดัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้นมา และพบว่าในตำหนักนั้นเงียบอย่างผิดปกติ เหล่านักบวชเหล่านั้นก็ไม่รู้ว่าไปที่ไหนกัน
ผู้เฒ่าผู้หนึ่งที่สวมชุดผ้าป่าน ได้ยืนอย่างเงียบๆ อยู่ที่หน้าภาพวาดบนกำแพงในตำหนักใหญ่ภาพนั้น ผู้เฒ่าท่านนั้นก็คือใต้เท้าสังฆราช
ภาพวาดบนกำแพงนั้นมีขนาดใหญ่มาก และกลับวาดเพียงแค่ต้นเหมยต้นหนึ่ง
ดอกเหมยหอมจากความหนาวเย็นและความยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นนิกายหลวงหรือสถานศึกษาหนานซี หรือจะเป็นพรรคกระบี่เขาหลีซาน ในการสั่งสอนก็ล้วนยอมรับความคิดนี้
เฉินฉางเซิงลุกและเดินไป เขาทำความเคารพอย่างนอบน้อม หลังจากนั้นก็ถามคำถามที่เขาสงสัยมานาน
บางทีเป็นเพราะคืนนี้ค่อนข้างจะพิเศษ บางทีเป็นเพราะก่อนหน้านี้ที่พูดคุยกับเหมยหลี่ซานั้นตรงไปตรงมาอย่างมาก เขาถึงได้ถามขึ้นมาอย่างตรงไปตรงมา
“ทำไมท่านถึงได้เปลี่ยนความคิดอย่างกะทันหัน”
ความคิดในที่นี้ แน่นอนว่าหมายถึงความคิดที่ใต้เท้าสังฆราชมีต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ความคิดที่มีต่อราชวงศ์ ความคิดที่มีต่อโลกใบนี้
เฉินฉางเซิงมองส่วนลึกของตำหนักใหญ่แล้วพูดขึ้น “แน่นอน มันไม่มีทางเป็นเพราะข้า และข้าคิดว่าก็ไม่น่าจะเป็นเพราะเขา”