ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 18-1 การประลองแรกของสำนักฝึกหลวง
ด้านนอกสำนักฝึกหลวงมีเสียงคนดังระงม ราวกับเป็นกระถางขนาดใหญ่ ซึ่งน้ำที่อยู่ภายในกำลังเดือดระอุ บนถนนนอกตรอกไป่ฮวามีศาลาอยู่รอบด้าน มีผู้ดูแลมากมายกำลังยุ่งกันอยู่ คอยจดการเดิมพันของเหล่าชาวบ้าน ขอเพียงแค่การประลองยังไม่ได้เริ่มต้น เช่นนั้นก็สามารถลงเดิมพันได้ตลอดเวลา เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม อัตราเดิมพันของทั้งสองฝ่ายถึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้
ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบการพนัน มีชาวเมืองจิงตูจำนวนมากที่เพียงแค่มารอชมเรื่องสนุก อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่…หลังจากที่เฉินฉางเซิงรับตำแหน่งเจ้าสำนัก ก็เข้าไปในสวนโจว นี่เป็นครั้งแรกที่ปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่เขากลับมาจิงตู วันนี้สำหรับเขาแล้วถือว่าสำคัญอย่างมาก เช่นเดียวกัน วันนี้สำหรับสำนักฝึกหลวงเองก็สำคัญอย่างมาก ถ้าหากพูดว่าปีก่อน เฉินฉางเซิงกลายมาเป็นนักเรียนคนแรกในรอบหลายปีของสำนักฝึกหลวง ที่มากกว่าก็นี่เป็นสัญลักษณ์ของความหมายอย่างหนึ่ง เช่นนั้นการประลองในครั้งนี้ ก็เป็นการประลองแรกของสำนักฝึกหลวงที่ปรากฏตัวต่อชาวโลกอย่างแท้จริง
ถ้าหากว่านี่เป็นนิทานเรื่องหนึ่ง เช่นนั้นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อ เฉินฉางเซิงจะต้องเอาชนะได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนแน่ และทำให้สำนักฝึกหลวงที่ล่มสลายมาหลายปีประกาศการเกิดใหม่กับทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ ที่น่าเสียดายคือ ทุกคนล้วนรู้กัน นิทานในวันนี้ไม่มีทางพัฒนาต่อไปเช่นนี้ เพราะว่าคู่ต่อสู้ของเขาคือผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวผู้หนึ่ง การประลองแรกของนักเรียนใหม่จากสำนักฝึกหลวง เป็นไปได้อย่างมากว่าจะต้องเผชิญกับจุดจบที่น่าเศร้า
ผู้คนพากันมองไปที่ประตูสำนักฝึกหลวงที่ปิดสนิท มองดูโจวจื้อเหิงที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างไร้อารมณ์ ต่างเกิดความปลงอนิจจังขึ้นมากมาย ใครก็รู้ กฎใหม่ของการประลองระหว่างสำนัก เป็นการร่วมมือกันของตระกูลเทียนไห่กับกลุ่มบุคคลสำคัญกลุ่มใหม่ของนิกายหลวงที่ร่วมมือกันกดดันสำนักฝึกหลวงกับเฉินฉางเซิง และก็คิดเชื่อมโยงไปถึงเด็กหนุ่มเผ่าหมาป่าในข่าวลืออย่างเจ๋อซิ่วที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงถูกขังเอาไว้ภายในคุกโจว ยิ่งสามารถมองเห็นได้ว่าเบื้องหลังเรื่องนี้มีเงาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่สูงส่งจนเกินเอื้อมอยู่
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะปล่อยให้สำนักฝึกหลวงมีโอกาสเติบโตขึ้นมาอย่างแท้จริงได้อย่างไร ถ้าหากภายในนิกายหลวงไม่ได้มีการแบ่งแยก หรือทางพระราชวังหลีมีการตอบสนองต่อการกดดันในครั้งนี้ให้รุนแรงยิ่งขึ้น สำนักฝึกหลวงก็คงไม่ถึงขั้นที่ถูกบีบจนอยู่ในจุดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ที่น่าเสียดายคือแม้แต่ภายในนิกายหลวงก็มีคนมากมายที่ไม่อยากจะเห็นสำนักฝึกหลวงฟื้นฟูขึ้นมาอย่างแท้จริง…ใต้เท้ามุขนายกทั้งสองท่านที่เสนอกฎการประลองระหว่างสำนักขึ้นมาใหม่ ก็เป็นการประกาศจุดยืนของตนต่อทั่วทั้งต้าลู่แล้ว ภายใต้การเปลี่ยนใจของใต้เท้าสังฆราช พวกเขายังคงยืนอยู่ข้างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
ที่ทำให้คนเสียดายก็คือ ใต้เท้ามุขนายกทั้งสองก็คือคนที่ใต้เท้าสังฆราชตั้งใจเลี้ยงดูจนกลายมาเป็นหกผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงในปัจจุบัน กลายมาเป็นต้นไม้ใหญ่สองต้นที่สูงเสียดฟ้า และก็เพราะใต้เท้าสังฆราช พวกเขาถึงได้มีโอกาสได้ติดต่อกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนี้ใต้เท้าสังฆราชได้เปลี่ยนจุดยืนของตนแล้ว แต่กลับไม่อาจให้ทุกคนในพระราชวังหลีล้วนเปลี่ยนจุดยืนไปด้วยได้ อย่างไรเสีย พระราชวังหลีกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ใกล้ชิดกันมากว่าสองร้อยปี จะสามารถตัดขาดกันภายในวันเดียวได้อย่างไร
เมื่อคืนวานใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาตายไปแล้ว ใต้เท้าสังฆราชได้สูญเสียผู้ที่เคยเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาไป และก็เป็นเพื่อนร่วมรบที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นกัน อีกทั้งใต้เท้าสังฆราชจะต้องรักษาความเป็นธรรมที่อยู่เบื้องหน้า ต่อให้พระราชวังหลีมีความคิดมากมาย ก็ไม่สามารถเข้าข้างสำนักฝึกหลวงท่ามกลางสายตาของผู้คนนับหมื่นพันได้ ดังนั้นการต่อสู้ในวันนี้ต่อให้จะยากลำบากสักเพียงใด จุดจบอาจจะน่าเศร้าสักเพียงใด ก็ยังคงต้องให้สำนักฝึกหลวงต่อสู้ด้วยตัวเอง ในเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เฉินฉางเซิงกับสำนักฝึกหลวงอยู่ภายใต้การดูแลของนิกายหลวง ไม่ได้เผชิญหน้ากับมรสุมอะไร และเติบโตแข็งแรงขึ้นมาอย่างราบรื่น เช่นนั้นเมื่อถึงวันนี้แล้ว ไม่ต้องพูดว่าถึงคราวที่พวกเขาต้องต้านทานลมฝนให้กับพระราชวังหลี แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องเริ่มเผชิญหน้ากับลมฝนไปพร้อมกับพระราชวังหลีแล้ว
แน่นอนว่านี่ไม่ยุติธรรมเลย ชาวบ้านบนถนนส่วนใหญ่ล้วนคิดเช่นนี้ ดูจากรายชื่อที่ลงทะเบียนไว้ที่สำนักการศึกษากลาง สี่โรงพนันใหญ่ทำการยืนยันกับทั่วทั้งจิงตูไว้แต่แรกแล้ว สำนักฝึกหลวงในตอนนี้มีนักเรียนลงทะเบียนอยู่เพียงแค่ห้าคน องค์หญิงลั่วลั่วมีสถานะพิเศษ ไม่อาจจะเป็นตัวแทนสำนักฝึกหลวงเข้าร่วมการประลองได้ เจ๋อซิ่วที่ถูกคนจำนวนมากมองว่าแข็งแกร่งที่สุดก็ถูกขังอยู่ในคุกโจว เช่นนั้นในตอนที่แต่ละสำนักส่งคำท้าประลองมา สำนักฝึกหลวงก็ไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก บางทีอาจพูดได้ว่าเป็นช่องว่างของการเปลี่ยนถ่าย
ที่นี่ไม่มียอดฝีมือผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อมานาน แต่มีเพียงแค่คนหนุ่มสาว
ประตูสำนักฝึกหลวงถูกเปิดออก เฉินฉางเซิงก้าวเดินออกมา เซวียนหยวนผ้อกับถังซานสือลิ่วก็เดินตามมาด้านหลังของเขา
บนถนนพลันวุ่นวายขึ้นมา หลังจากนั้นก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว
การประลองแรกของสำนักฝึกหลวง ผู้ที่ออกมาต่อสู้แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินฉางเซิง เพราะว่าเขาเป็นเจ้าสำนัก
วันนี้เขาสวมชุดของสำนักตัวใหม่ ฝีเข็มมีความเล็กละเอียด แขนเสื้อได้เก็บไว้อย่างหมดจด เห็นได้ชัดถึงความเรียบร้อย เส้นผมสีดำถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา หน้าตาหล่อเหลา ดูแล้วสะอาดสะอ้านอย่างมาก
เขาเดินไปถึงหน้าประตูสำนัก คำนับไปทางโรงเตี๊ยมที่อยู่ในตรอกไป่ฮวา หลังจากนั้นเขาก็มองไปทางโจวจื้อเหิง และพยักหน้า
เมื่อเทียบกับอายุสิบหกปี เขาก็ดูสงบสุขุมเกินไปบ้างจริงๆ แต่ว่าไม่ได้มีกลิ่นอายแก่ชราอะไร ความรู้สึกที่มีก็เหมือนกับสายลมที่เย็นสบาย
ลำพังเพียงบุคลิก เขาก็ดูเหมือนเจ้าสำนักอย่างมากจริงๆ
รอบด้านมีเสียงชื่นชมอย่างจริงใจดังขึ้น
เหล่าชาวบ้านที่มาชมเรื่องสนุกไม่อาจฝ่ากองทัพกับนักบวชของพระราชวังหลีเข้ามาได้ ทำได้เพียงมองดูจากที่ไกลๆ จึงไม่ได้เห็นชัดนัก แต่กลับยิ่งรู้สึกว่าเจ้าสำนักหนุ่มผู้นี้ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกสบายตา
เรื่องที่ทั่วทั้งจิงตูล้อมตีสำนักฝึกหลวงเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีก่อนกลายเป็นอดีตไปนานแล้ว ใต้เท้ามุขนายกก็ตายไปแล้ว รอยเลือดที่หน้าสำนักการศึกษากลางก็ไม่อยู่แล้ว ใครยังจะไปจำเรื่องเหล่านั้นอีก เมื่อผ่านการสอบใหญ่ สุสานเทียนซู และสวนโจวทั้งสามเรื่องนี้ เฉินฉางเซิงในตอนนี้ได้กลายเป็นความภาคภูมิใจของต้าโจวแล้ว จิงตูเป็นเมืองหลวงของต้าโจว สำนักฝึกหลวงอยู่ในจิงตู เช่นนั้นคนในจิงตูล้วนคิดว่านี่เป็นความภาคภูมิใจของตนอย่างแน่นอน
มีการชื่นชมก็ย่อมมีการวิพากษ์วิจารณ์และมีความเสียดาย ผู้คนเริ่มรู้สึกว่าการประลองในวันนี้ไม่ยุติธรรม ทั่วทั้งต้าลู่ล้วนรู้กัน เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงเป็นอัจฉริยะในการบำเพ็ญเพียรที่เข้าสู่ขั้นทะลวงอเวจีได้รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งเห็นได้ยากยิ่งนัก ยิ่งไม่ต้องพูดว่าการประลองในวันนี้ หากเฉินฉางเซิงอยากจะได้รับชัยชนะ ก็จำเป็นต้องก้าวข้ามความแตกต่างของระดับขั้นของพลัง นั่นเป็นธรณีประตูที่สูงมากขนาดไหนกัน
“เมื่อคืนได้ฟังการบรรยายจากผู้ที่คอยต้อนรับของหอความลับสวรรค์ เจ้าสำนักเฉินตอนที่เผชิญหน้ากับท่านจูลั่วที่เมืองสวินหยางก็ไม่ได้ถอยแม้แต่ก้าวเดียว โจวจื้อเหิงอยู่เพียงแค่ขั้นรวบรวมดวงดาว ใครว่าเขาจะต้องชนะอย่างแน่นอนกัน”
“ถูกแล้ว ข้าเองก็เคยได้ยินมา ในเมืองสวินหยาง เจ้าสำนักเฉินกับเจ้าบ้าเซียวจางนั่นได้สู้กันอยู่รอบหนึ่ง ถึงแม้จะสู้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไรมาก”
ในฝูงคนมีคำวิพากษ์วิจารณ์ออกมามากมาย บางอย่างที่คาดไม่ถึงคือ ถึงกับมีคนจำนวนมากที่เอาใจช่วยเฉินฉางเซิง บางที นั่นอาจไม่ใช่การเอาใจช่วย แต่เป็นเพียงโน้มเอียงทางความรู้สึก
“ขอให้พวกเจ้าช่วยมองให้ชัดๆ ไม่ว่าพลังที่เจ้าสำนักเฉินแสดงออกมาที่เมืองสวินหยางจะสูงแค่ไหน แต่ในตอนนั้นข้างกายของเขามีทั้งซูหลีและหวังผ้อ อีกทั้งสถานการณ์ยังวุ่นวาย ในตอนนี้เป็นการสู้แบบตัวต่อตัว” มีคนพูดอย่างเย้ยหยันขึ้น “ข้าเองก็ไม่เถียงกับพวกเจ้าแล้ว หากพวกเจ้าเชื่อมั่นจริงๆ ก็ไม่สู้ไปเดิมพันว่าสำนักฝึกหลวงจะชนะสิ”
ฝูงชนพลันเงียบไปในทันที อย่างที่คิด ผู้คนเพียงแค่หวังให้เฉินฉางเซิงสามารถเอาชนะได้ แต่ไม่ได้เอาใจช่วยเขาจริงๆ ที่จริงแล้วก็มีแค่ไม่กี่คนที่เดิมพันว่าสำนักฝึกหลวงจะชนะ
“หนึ่งต่อสิบเอ็ด ที่จริงก็ไม่น่าจะไปลงเดิมพันข้างสำนักฝึกหลวงอยู่แล้ว”
“ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรขั้นทะลวงอเวจีขั้นสูงผู้อื่นที่ประลองกับขั้นรวบรวมดวงดาว เจ้าคิดว่าเจ้าพวกที่ยิ่งกว่าโจรเหล่านั้นจะใช้อัตราเดิมพันนี้หรือ ยิ่งไปกว่านั้นยังตั้งใจมาตั้งศาลา วางล้อมกันเสียใหญ่โตขนาดนี้ ตามที่ข้าคิดนะ สี่โรงพนันใหญ่น่าจะคิดว่าเจ้าสำนักเฉินจะต้องแพ้เช่นกัน แต่อย่างน้อยก็สามารถยื้อเอาไว้ได้เป็นเวลาที่นานมาก”
“ต่อให้โจวจื้อเหิงจะอยู่เพียงขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้น แต่การจะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่อยู่ต่ำกว่าหนึ่งขั้นเช่นนี้ หรือว่ายังต้องใช้เวลาอีกนานมาก”
“อย่าได้ลืม หวังผ้อที่อยู่ขั้นทะลวงอเวจีขั้นสูงในปีนั้น จัดการตัดมือผู้ที่อยู่ขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้นผู้นั้นจนเป็นบ้าไปได้อย่างไร”
“ถึงแม้ข้าเองก็รู้สึกว่าเจ้าสำนักเฉินร้ายกาจอย่างมาก แต่ข้าไม่คิดว่าเขาจะสามารถไล่ตามหวังผ้อในปีนั้นได้ อย่าลืม หวังผ้อในตอนนั้นก็รวบรวมดวงดาวสำเร็จจากการต่อสู้ครั้งนั้น”
“เจ้าก็อย่าลืม เจ้าสำนักเฉินในตอนต้นปี ก็เข้าสู่ขั้นทะลวงอเวจีได้สำเร็จในการประลองรอบสุดท้ายของการสอบใหญ่”
“ก็เพราะว่าไม่ลืม ดังนั้นจึงคิดว่านี่มันเป็นไปไม่ได้ เวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปีนี้ จะเกิดขึ้นติดกันถึงสองครั้งได้อย่างไร นอกจากว่านั่นจะเป็นปาฏิหาริย์”