ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 18-2 การประลองแรกของสำนักฝึกหลวง
ผู้ที่มาชมต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ โต้เถียงกันอย่างดุเดือด มีเพียงคนที่ลงเดิมพันไปเท่านั้น ถึงจะแสดงความคิดเห็นที่แท้จริง
ก็เหมือนกับที่เหล่าชาวบ้านวิเคราะห์กันนั่น ตั้งแต่สี่โรงพนันใหญ่ที่เปิดให้เดิมพันไปจนถึงผู้คนจำนวนมากในจิงตู ไม่มีใครเอาใจช่วยเฉินฉางเซิง ต่อให้เฉินฉางเซิงเคยแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ที่น่าตกตะลึงและความสามารถในการต่อสู้มาก่อนเมื่อตอนที่อยู่ในสวนโจวและเมืองสวินหยาง นั่นก็เป็นเพราะการต่อสู้ในเมืองสวินหยาง เฉินฉางเซิงไม่ใช่ตัวละครหลัก และก่อนที่เมืองสวินหยางจะเกิดการต่อสู้นั้นขึ้นมา ก็ไม่มีผู้ชมอยู่แล้ว
ชั้นบนสุดของหอเฉิงหูในวันนี้ได้ทำความสะอาดไว้แล้ว มีคนเพียงแค่คนเดียวที่กำลังกินข้าวอยู่บนนั้น เพราะเขารู้สึกมาตลอดว่าการชมทะเลสาบที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เวลา แต่เป็นความสงบ ในตอนนี้เป็นฤดูร้อน ของที่ขึ้นชื่อที่สุดของหอเฉิงหูอย่างงานเลี้ยงปูก็ไม่อาจจะจัดขึ้นมาได้ แต่บนโต๊ะก็ยังคงเต็มไปด้วยอาหารนับสิบจาน แต่ละจานก็ถือว่าแพงยิ่งกว่าค่าใช้จ่ายทั้งปีของชาวบ้านธรรมดาแล้ว
บุคคลที่ฟุ่มเฟือยขนาดนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่คนธรรมดา
จานที่อยู่ตรงหน้าของเทียนไห่เฉิงอู่ก็คือกุ้งมังกรสีครามที่มาจากดินแดนต้าซี เนื้อของมันขาวราวกับหยก แต่กลับดีดเด้งเย็นเฉียบยิ่งกว่าหยก มันถูกพ่อครัวของหอเฉิงอู่ใช้ทักษะการใช้มีดที่ยอดเยี่ยมหั่นเป็นรูปร่างของดอกเบญจมาศ
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมา ให้หลังกลับส่ายหัว ไม่ได้ขยับตะเกียบ
เขาไม่ได้มีความอยากอาหารอะไร เพราะว่าเอกสารในมือเหล่านั้น ไปจนถึงการบรรยายที่เต็มไปด้วยคาวเลือดเหล่านั้น ก็ค่อนข้างจะน่าคลื่นไส้อยู่บ้าง ที่เอกสารพวกนี้บรรยายก็คือการต่อสู้ระหว่างเฉินฉางเซิงกับขุนพลเทพเซวียเหอ เหลียงหงจวง และยังมีการต่อสู้กับคนผู้นั้นที่พื้นที่ราบนั่น การต่อสู้สองรอบแรก มีเซวียเหอกับเหลียงหงจวงเป็นผู้บรรยายเอง แต่การต่อสู้รอบสุดท้ายนั่น เป็นเพราะว่าทุกคนถูกเฉินฉางเซิงฆ่าตายหมดแล้ว ดังนั้นจึงเป็นการคาดเดาจากพื้นที่เกิดเหตุในภายหลัง
ไม่รู้ว่ายืนยันเรื่องใดไปแล้ว อารมณ์ของเทียนไห่เฉิงอู่จึงดีขึ้นมาก และหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง เขาคีบเนื้อกุ้งเข้าไปในปาก ค่อยๆ เคียว ก็รู้สึกเพียงความหวานที่กระจายในปาก
“ในตอนนี้ไม่มีซูหลี เจ้ายังจะชนะได้อย่างไร”
……
……
ทั่วทั้งเมืองจิงตู ไม่มีคนเอาใจช่วยเฉินฉางเซิง
ใต้เท้ามุขนายกที่เอาใจช่วยเฉินฉางเซิงท่านนั้น ในตอนนี้ก็กำลังนอนหลับอย่างสงบอยู่ภายในดอกเหมย
ในสำนักการศึกษากลางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แต่นักบวชมากมายกลับมองไปทางสำนักฝึกหลวง
ลั่วลั่วนั่งอยู่ข้างดอกเหมย และทำหน้าที่ในการเป็นตัวแทนของสำนักฝึกหลวงของตน เมื่อได้ยินเสียงที่ดังจากที่ไกลออกไปอย่างกะทันหัน นางก็เดินไปที่ข้างหน้าต่าง และมองไปทางสำนักฝึกหลวง โดยที่มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเป็นหมัด
อาจารย์จะต้องชนะอย่างแน่นอน
ต่อให้ทุกคนจะไม่เอาใจช่วยเฉินฉางเซิง นางก็ยังคงเชื่อว่าเฉินฉางเซิงจะต้องได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด โดยที่ไม่มีเหตุผลอะไร
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ม่ออวี่มาถึงสำนักฝึกหลวงแล้ว
นางไม่ได้ไปชมการประลองที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง ในตอนนี้ที่นั่นเต็มไปด้วยบุคคลสำคัญจำนวนมากแล้ว เซวียสิ่งชวนกำลังอยู่ภายในโรงน้ำชา นางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไป
ไม่รู้เพราะเหตุใด นางถึงมาปรากฏตัวขึ้นในห้องของเฉินฉางเซิง
นางไม่ได้นอน แต่นางนั่งอยู่ที่ด้านหน้าของหน้าต่าง มองดูป่าในสำนักฝึกหลวงที่เป็นพุ่มเขียวชอุ่ม ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
ทันใดนั้น ที่ด้านหน้าสำนักก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมา
ม่านตาของนางหดลง และกวาดมองไปทางที่มีเสียงดังขึ้น
การประลองแรกของสำนักฝึกหลวง ก็เริ่มต้นขึ้นโดยไม่มีสัญญาณใดๆ เช่นนี้แล้ว
……
……
โจวจื้อเหิงชักกระบี่
เฉินฉางเซิงชักกระบี่
แต่ละฝ่ายต่างชักกระบี่ออกมา
นักบวชของพระราชวังหลีที่มีหน้าที่จดบันทึกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็มองอย่างไม่วางตา
จิตรกรนับสิบคนกับคนเล่านิทานล้วนจ้องเหตุการณ์นี้อย่างตึงเครียด
เหล่าชาวเมืองจิงตูนับพันเงียบเป็นเป่าสาก
แต่ละแห่งในจิงตู มีคนจำนวนมากยิ่งกว่าที่กำลังรอฟังสถานการณ์ล่าสุดของการต่อสู้ รอชมภาพเหตุการณ์ล่าสุด
หนึ่งเดียวที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้ ก็คือสี่โรงพนันใหญ่
จิตรกรที่มีความรู้อันลึกซึ้งและสายตาที่ยอดเยี่ยม ในชั่วพริบตาหลังจากที่โจวจื้อเหิงกับเฉินฉางเซิงชักกระบี่นั้น ก็เริ่มต้นจรดพู่กันแล้ว
โดยเฉพาะจิตรกรที่มาจากหอความลับสวรรค์ ตัวของเขาเองก็มีระดับการบำเพ็ญเพียรอยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาว จึงเห็นเพียงเขาลากเส้นไม่กี่ขีด ภาพฉากหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนกระดาษ ถึงแม้จะไม่เรียบร้อย แต่กลับจับเส้นทางและเจตจำนงของกระบี่ทั้งสองได้อย่างสมบูรณ์
อีกเค่อหนึ่งให้หลัง ภาพฉากนี้ก็ถูกถ่ายทอดผ่านของวิเศษ แพร่กระจายไปทั่วจิงตู
……
……
ภาพร่างภาพนี้ ทั้งหวัดและเรียบง่าย ถ้าหากไม่รู้ว่ากำลังวาดอะไร ก็อาจจะคิดว่าเป็นผลงานของเด็กที่เพิ่งหัดเขียน
ในห้องมีแต่ความเงียบ เหล่านักเรียนของสำนักเทียนเต้าต่างล้อมอยู่รอบโต๊ะ ในใจนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย แต่กลับไม่กล้าเอ่ยถาม ไม่กล้ารบกวนคนที่ชมภาพอยู่ตรงหน้าโต๊ะผู้นั้น
ไม่มีนักเรียนของสำนักเทียนเต้าที่กล้าเข้าใกล้ข้างกายคนผู้นั้น เพราะว่ายำเกรง เพราะว่าเคารพรัก เพราะว่าคนผู้นั้นคือศิษย์พี่กวนไป๋
ถ้าหากพูดว่าจวงห้วนอวี่ที่ฆ่าตัวตายไปไม่กี่วันก่อนเป็นความภาคภูมิใจของสำนักเทียนเต้าในช่วงสองปีมานี้ เช่นนั้นกวนไป๋ก็เป็นความภูมิใจของสำนักเทียนเต้าในช่วงสิบปีมานี้
ก็เป็นเหมือนกับคนเหล่านั้นที่อยู่ในประกาศเซียวเหยา กวนไป๋เองก็มีฉายา ‘กวนไป๋ผู้โด่งดัง’
ในช่วงหลายปีมานี้ ก็เป็นเขาที่ทำให้สำนักเทียนเต้ามีชื่อเสียงไม่เสื่อมคลาย
คิ้วและดวงตาของกวนไป๋ราวกระบี่ ดูมีชีวิตมาอย่างโชกโชน เห็นได้ชัดว่าเพิ่งกลับมาจากที่ที่แสนไกล
หลังจากที่สายตาของเขาหยุดอยู่บนกระดาษที่มีภาพร่างแผ่นนั้น ก็ยิ่งเพิ่มความแหลมคม ราวกับเป็นกระบี่จริงๆ
นิ้วมือของเขาวาดท่าทางตามภาพร่างบนกระดาษกลางอากาศเบาๆ มันพลันส่งเสียงดังขึ้นมา ราวกับที่ปลายนิ้วมีเจตจำนงกระบี่แหวกอากาศขึ้นมา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาเก็บนิ้วลงไป ถอนสายตากลับมา มองไปยังสำนักฝึกหลวงที่อยู่นอกหน้าต่าง และพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่มีความซับซ้อน “กระบี่ที่ดี”
ในที่สุดก็มีนักเรียนที่อดไม่ได้และเอ่ยถามขึ้นมา “ศิษย์พี่ สรุปแล้วใครจะชนะกัน”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทันใดนั้นก็ดึงดูดสายตาของเพื่อนร่วมสำนักจำนวนนับไม่ถ้วน ในสายตาเต็มไปด้วยการกล่าวโทษ การประลองของเฉินฉางเซิงกับโจวจื้อเหิงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ในภาพนี้วาดไว้เพียงแค่กระบี่แรกของทั้งสองฝ่าย ไหนเลยจะสามารถอาศัยสิ่งนี้มาตัดสินว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ คำถามข้อนี้รบกวนการชมกระบี่ของศิษย์พี่กวนไป๋อย่างกะทันหัน ช่างโง่เขลายิ่งนัก
แต่ว่า ที่ทำให้เหล่านักเรียนในสำนักเทียนเต้าเหล่านี้คาดไม่ถึงก็คือ กวนไป๋ถึงกับตัดสินออกมาจริงๆ
เขามองไปที่เส้นขีดหลายเส้นบนกระดาษนั้น มองดูลายเส้นที่เกิดจากหมึกและพู่กัน ในดวงตาพลันมีแสงของกระบี่ส่องประกายออกมา
หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้น “เฉินฉางเซิงชนะแล้ว”