ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 2 คำนับใต้เท้าสังฆราช
คำว่าคนทรยศสองคำนี้ที่จริงก็ไม่เหมาะสมนัก หรือพูดได้ว่าไม่ค่อยตรงนัก ในเรื่องนี้ควรจะพูดว่าเป็นสายลับมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นคำพูดที่ทำลายความเงียบของฝูงชนประโยคนี้ “เฉินฉางเซิงเจ้าคนชั่ว ถึงกับร่วมมือกับเผ่ามารสังหารศิษย์ที่ยอดเยี่ยมของเขาหลีซาน ตอนนี้ถึงกับบีบให้คุณชายห้วนอวี่ต้องตาย!”
“บีบให้ตาย ข้าว่าเป็นคนสำคัญบางคนใช้วิธีการที่น่าอับอายมากกว่า! นี่เป็นการสังหารที่ไร้ยางอาย! ช่างไร้ยางอายเกินไปแล้ว!”
“พวกเจ้าพูดมั่วอะไร!”
หลังจากที่ดูป้ายอนุสรณ์ที่สุสานเทียนซู เฉินฉางเซิงก็ไม่ใช่เป้าหมายที่ทุกคนในจิงตูล้วนเห็นเป็นศัตรูแล้ว และเริ่มมีคนมากมายมองเขาเป็นเกียรติยศของต้าโจว มีคนกล่าวหาเฉินฉางเซิงเสียงดัง แน่นอนว่าก็มีคนที่ใช้เสียงที่ดังยิ่งกว่าแก้ต่างให้เขา ในตอนนี้ถนนใหญ่ของจิงตูเต็มไปด้วยเสียงการโต้เถียง เป็นความวุ่นวายอย่างหาใดเปรียบ
เฉินฉางเซิงมองผ้าม่านตรงหน้าต่าง ได้ยินเสียงที่ดังเข้ามาในรถจากภายนอกก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ตลอดทาง จากการบอกเล่าของหัวเจี้ยฟูในที่สุดเขาก็ได้รู้ถึงรายละเอียดเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสวนโจวเมื่อตอนนั้น เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากกลับมาถึงจิงตู เรื่องแรกที่จะต้องไปทำก็คือการโต้แย้งกับจวงห้วนอวี่ ใครจะรู้ว่าจวงห้วนอวี่เมื่อคืนวาน…ถึงกับตายไปแล้ว
เสียงจากนอกหน้าต่างรถยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ การโต้แย้งของชาวบ้านก็ยิ่งดุเดือดขึ้น คำพูดก็ยิ่งแหลมคมขึ้น ดังจอแจและทำให้คนรำคาญใจ เฉินฉางเซิงคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาก้มหน้านิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ขนตาสั่นไหวเบาๆ ความเยาว์วัยในช่วงดวงตาใกล้จะหายไปจนไม่เห็นอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดของผู้คนหรือการชี้ไม้ชี้มือ สรุปคือ ภายใต้ความสนใจของชาวจิงตูจำนวนนับไม่ถ้วน เฉินฉางเซิงได้กลับมาถึงจิงตูแล้ว จนกระทั่งขบวนรถเข้าไปในส่วนลึกของตรอกไป่ฮวา ในที่สุดโลกภายนอกหน้าต่างก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงบไปบ้างแล้ว
มีนักบวชของพระราชวังหลีเฝ้าตรอกไป่ฮวาอยู่รอบด้าน ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ได้ เฉินฉางเซิงมองเห็นประตูสำนักของสำนักฝึกหลวงยังคงดูใหม่อยู่เช่นเคย ที่ด้านบนก็ยังมีไม้เลื้อยแก่ๆ อยู่เช่นเดิม เขารับรู้ได้ถึงความเคร่งขรึมและเงียบสงบจากรอบด้าน รู้สึกไม่ค่อยจะคุ้นชิน
การดูป้ายอนุสรณ์ส่วนหน้าทั้งหมดในวันเดียว ยามกลางคืนแสงแห่งดวงดาวก็อาบไล้ไปทั่วจิงตู ใต้เท้าสังฆราชได้ตั้งให้เขาเป็นผู้สืบทอดนิกายหลวง ต่อมาก็เป็นพื้นที่ราบหิมะนับหมื่นลี้ ท่ามกลางการหลบหนี เขาไม่ทัน และไม่มีโอกาสที่จะรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ในตอนนี้ก็ถึงกับรู้สึกราวกับว่าอยู่กันคนละโลก
เรื่องราวมากมายล้วนเปลี่ยนไปแล้ว สำนักฝึกหลวงที่เคยถูกห้อมล้อมไปด้วยความโกรธแค้นนับไม่ถ้วนจากชาวจิงตู ในตอนนี้ได้กลายมาเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านธรรมดาไม่อาจจะเข้าใกล้ได้ ถึงแม้จะห่างไกลกับการฟื้นคืนสู่ความรุ่งเรืองในยุคนั้น แต่สภาพการณ์ก็เปลี่ยนไปใหม่แล้ว
ดีที่ยังมีหลายเรื่องมิได้เปลี่ยนแปลงไป จินอวี้ลวี่ยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง ชุดไหมลวดลายเงินทองที่ดูสูงศักดิ์และกล้าหาญหาใดเปรียบชุดนั้นก็ยังคงส่องประกายดังสายน้ำเช่นนั้น เซวียนหยวยผ้อก็ยังคงดูห้าวหาญ วงแขนแกร่งยังดูหนายิ่งกว่าต้นไม้ ในยามกอดก็มักจะทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกกลืนกิน
ลั่วลั่วก็ยังคงเป็นลั่วลั่ว เข้าสู่อ้อมกอดราวกับสายลม แขนทั้งสองคล้องอยู่ที่คอของเขา ใช้หน้าผากถูกับคางของเขา ใบหน้าเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
……
……
ที่ต้นไทรย้อยข้างทะเลสาบ เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วได้พูดคุยกันเป็นเวลานาน เขาเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสวนโจวไปจนถึงเรื่องราวการเดินทางกลับใต้นับหมื่นลี้ในภายหลังให้กับดรุณีน้อยโดยไม่ตกหล่นเลยรอบหนึ่ง
“แม่นางจากเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์นางนั้น…รูปโฉมงดงามมากหรือ”
เรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้ มีทั้งคลื่นลมโหมกระหน่ำ มีทั้งแผนร้ายลอบสังหาร มีทั้งหนึ่งกระบี่หมื่นลี้ มีหมื่นกระบี่ออกจากฝัก มีดาบเหล็กทลายลมฝน ลั่วลั่วกลับสนใจเพียงเรื่องนี้ นางเบิกตาโตๆ ของนาง มองเฉินฉางเซิงและเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงไม่อาจลืมเลือนเด็กสาวที่มีนามว่าเฉินชูเจี้ยนนางนั้น แต่กลับพบว่าตนเริ่มจะจำดวงตาของนางได้ไม่ชัดเจนเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดร่างกายถึงรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา รู้สึกว่าตนกำลังสูญเสียอะไรบางอย่างไป
ลั่วลั่วสามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเขา จึงมองเขาอย่างเห็นใจ นางยื่นมือไปจับแขนเสื้อของเขา พลางเอ่ยขึ้นเสียงเบา “อาจารย์ไม่ต้องกังวล ข้าจะหาทางส่งคนไปตรวจสอบดู”
จากเมืองสวินหยางจนกลับมาถึงจิงตู หนทางนั้นห่างไกลอย่างมาก มีเวลาอยู่มากมาย นอกจากที่เฉินฉางเซิงใช้จัดระเบียบความทรงจำเหล่านี้และเรื่องเตรียมตัวกลับจิงตูแล้ว แน่นอนว่าไม่ได้ลืมขอให้คนในนิกายหลวงช่วยกันตามหาร่องรอยของแม่นางชูเจี้ยน แต่ไม่ว่าจะเป็นนักบวชในพระราชวังหลีหรือคนในเมืองฮั่นชิว ล้วนไม่สามารถยืนยันได้ว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรในขั้นทะลวงอเวจีที่เข้าสวนโจวจะมีแม่นางผู้นี้หรือไม่ เช่นนั้น แน่นอนว่าก็ยิ่งไม่อาจยืนยันได้ว่านางมีชีวิตรอดมาได้หรือไม่
เมื่อได้ยินคำพูดขงลั่วลั่ว เฉินฉางเซิงก็สงบใจลงไปได้บ้างแล้ว เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์กับเมืองไป๋ตี้ไปจนถึงดินแดนต้าซีล้วนมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันอย่างมาก มารดาของลั่วลั่วเป็นองค์หญิงองค์โตของดินแดนต้าซี บิดาก็เป็นจักรพรรดิขาวของเผ่าปีศาจ นางขอให้คนไปตรวจสอบ ก็น่าจะสะดวกมากกว่า
ลั่วลั่วพลันพูดขึ้นมาอีก “จวงห้วนอวี่ตายแล้ว”
นางได้ลืมไปนานแล้วว่าในตอนที่มาร่ำเรียนที่สำนักเทียนเต้า ได้เคยพบกับเพื่อนร่วมสำนักที่เคยเป็นอัจฉริยะผู้นั้นที่สวนอวี้ของเจ้าสำนักเหมา ในตอนนี้ที่พูดขึ้นมา เพียงเพราะกังวลว่าการตายของจวงห้วนอวี่จะนำพาเหล่าความวุ่นวายมาให้แก่อาจารย์ของตน
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “อืม ข้ารู้แล้ว”
ลั่วลั่วได้พูดขึ้นมาอีก “อาจารย์ ข้าไปที่พระราชวังมาสองครั้ง คิดจะให้พวกเขาปล่อยเจ๋อซิ่ว แต่ว่าไม่สำเร็จ”
เฉินฉางเซิงลูบศีรษะของนาง และพูดขึ้นอย่างยิ้มๆ “จะให้โทษเจ้าหรือ”
ลั่วลั่วถูหัวเข้ากับฝ่ามือของเขา ดูแข็งแกร่งนัก ช่างน่ารักเสียจริง
แสงอาทิตย์อัสดงในทะเลสาบ ส่องสะท้อนมายังบริเวณกิ่งก้านของต้นไทรย้อยต้นใหญ่ กลายมาเป็นดวงแสงจำนวนนับไม่ถ้วน แสงดวงหนึ่งได้สะท้อนอยู่บนใบหน้าของเฉินฉางเซิง ลั่วลั่วมองจ้องแสงดวงนั้น และหัวเราะขึ้นมา นางดีใจอย่างมาก เพราะว่าอาจารย์ไม่ได้โทษนาง และก็ไม่ได้ขอบคุณนาง และยังตั้งใจพูดเลียนแบบนางเพื่อให้นางดีใจ
……
……
ต่อมา เฉินฉางเซิงใช้เวลาไปครึ่งชั่วยามกับการใช้น้ำร้อนสามถังชำระล้างร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าจนสบายตัว หลังจากนั้นก็ไปพระราชวังหลีกับลั่วลั่ว
ใต้เท้าสังฆราชกำลังรอเขาอยู่ในพระราชวังหลี
ไม่ใช่ตำหนักหลักอย่างตำหนักแสงสว่าง แต่เป็นตำหนักเล็กที่เงียบสงบ
แสงในตำหนักจืดจางอย่างมาก มีเพียงใบไม้ครามกระถางนั้นที่สดเขียวและสะดุดสายตาของผู้คน หลังจากนั้นอีก เขาก็มองไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกแขวนไว้บนกำแพงอย่างไม่ใส่ใจท่อนนั้น มองดูสระใสทางด้านนั้นกับเก้าอี้ผลึกแก้วตัวนั้นที่งดงามอย่างถึงที่สุด และยังมีมงกุฎหยินหยางที่ไม่อาจใช้คำพูดพรรณนาได้บนนั้น สุดท้าย เขาถึงจะมองเห็นผู้เฒ่าที่สวมชุดผ้าป่านผู้นั้น เขาดูแตกต่างจากความคิดของสานุศิษย์บนโลกที่ศรัทธาเลื่อมใสกัน ใต้เท้าสังฆราชที่สูงส่งอย่างหาใดเปรียบมองดูแล้วก็เหมือนกับผู้เฒ่าธรรมดาผู้หนึ่ง ขนาดที่เทียบไม่ได้กับของนอกกายอย่างพวกไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์กับมงกุฎศักดิ์สิทธิ์ที่ดึงดูดสายตาเสียมากกว่า
มองเห็นเงาหลังของใต้เท้าสังฆราชที่กำลังรดน้ำให้ใบไม้คราม ความคิดของเฉินฉางเซิงก็วุ่นวายขึ้นมา ทุกคนล้วนรู้ว่าเขาเป็นผู้สืบทอดที่ใต้เท้าสังฆราชเลือกไว้ มีบุคคลสำคัญบางคนที่รู้ถึงขนาดว่าเขาเป็นศิษย์หลานของใต้เท้าสังฆราช พูดอีกอย่างคือ เดิมทีเขาก็เป็นผู้สืบทอดของใต้เท้าสังฆราชเพียงคนเดียวในโลกใบนี้ แต่ปัญหาอยู่ที่ เขากับใต้เท้าสังฆราชเพิ่งจะพบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง เขากับใต้เท้าสังฆราชไม่ได้คุ้นเคยกันจริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความใกล้ชิด
ใต้เท้าสังฆราชหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมือ หันกายมามองที่เขาแล้วพูดขึ้นอย่างแย้มยิ้ม “ข้าจำได้ว่าซูหลีชอบอาหารเลิศรส เจ้าอยู่กับเขา ได้กินอะไรดีๆ บ้างล่ะ”
เห็นชัดๆ ว่าสีหน้าของใต้เท้าสังฆราชอ่อนโยนขนาดนั้น น้ำเสียงก็อบอุ่นขนาดนั้น ก็เหมือนกับผู้อาวุโสที่ไต่ถามลูกหลานที่เพิ่งกลับจากการเดินทางไกล อีกทั้งยังไม่อยากให้เด็กน้อยต้องกังวล ดังนั้นจึงเริ่มถามด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ…แต่เฉินฉางเซิงกลับรู้สึกเหมือนมีภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ค้ำระหว่างฟ้าดินกดทับลงมา
จากพื้นที่ราบหิมะในอาณาเขตเผ่ามารจนถึงเมืองสวินหยาง คนมากมายล้วนอยากจะฆ่าซูหลี เบื้องหลังคนเหล่านั้นมีเงาร่างที่สูงใหญ่ราวกับทวยเทพอยู่ ซึ่งนั่นก็คือใต้เท้าสังฆราช
แต่ซูหลีมีชีวิตรอดมาได้ ในเหตุผลส่วนใหญ่ ก็เป็นเพราะว่าเฉินฉางเซิง ดังนั้นเขาจึงไม่อาจไม่คิดว่าคำพูดประโยคนี้ของใต้เท้าสังฆราชมีบางอย่างซ่อนอยู่ และไม่อาจไม่กังวลได้