ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 22 ดอกไห่ถังที่โหดเหี้ยมดั่งโลหิต
กรมอาญาตั้งอยู่ที่ตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง
ถึงจะพูดว่าเป็นตรอก แต่ที่จริงก็เป็นถนนสายตรงที่มีขนาดกว้างขวางอย่างมาก สามารถให้รถม้าสองคันวิ่งคู่ไปด้วยกันได้
ในตอนนี้ ในตรอกเองก็มีรถม้าอยู่สองคัน คันหน้าหนึ่งคันหลังหนึ่งกำลังจอดอยู่ ในรถไม่มีคนอยู่แล้ว ที่นอกตรอกกลับมีคนมาอยู่ไม่น้อย อีกทั้งตามข่าวที่กระจายออกไป เชื่อว่าจะมีคนอีกมากที่จะมาปรากฏตัว
คนที่อยู่นอกตรอกเหล่านั้นล้วนเป็นหูเป็นตาของกลุ่มอำนาจในจิงตู พวกเขาเพียงแค่กล้ามองจวนหลังนั้นจากปากทางเข้าตรอกที่ไกลออกไป ไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้
จวนหลังนั้นมองดูธรรมดาอย่างมากไม่มีความรู้สึกมืดมิดอะไร แต่ในตรอกใต้บันไดหินกลับไม่มีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ที่หน้าประตูจวนนั้น หยิบเอานามบัตรส่งให้กับขุนนางผู้หนึ่ง สีหน้าและท่าทางก็เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างจะเงอะงะอยู่บ้าง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาส่งนามบัตรของตนเพื่อขอเข้าพบอย่างเป็นทางการ
เมื่อก่อนตัวเขานั้นไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อนจึงอดไม่ได้ที่จะกังวลอยู่บ้าง แน่นอน เหตุผลที่กังวลนั้นเป็นเพราะตัวของจวนหลังนี้ ไม่ต้องพูดแต่เขา ลมหายใจของเซวียนหยวนผ้อก็หนักหน่วงอย่างมาก แม้แต่ถังซานสือลิ่วที่ปกติไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ในตอนนี้ก็ยังนิ่งเงียบอย่างมาก…ที่จริงแล้ว ในตอนที่รถม้าขับผ่านประตูหินของถนนหลัก เข้ามาถึงตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง และได้ยืนยันจุดหมายที่เฉินฉางเซิงจะไปในครั้งนี้แล้ว เขาก็ไม่ได้อ้าปากพูดอีกเลย
จวนหลังนี้ก็คือกรมอาญา และก็เป็นที่พักของโจวทง หรือก็คือคุกโจวที่เขาว่ากัน
สำหรับคนจำนวนมากแล้ว โดยเฉพาะขุนนางและชาวเมืองของต้าโจว จวนแห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในดินแดนต้าลู่แล้ว กระทั่งยังน่ากลัวกว่าเมืองเสวี่ยเหล่าในอาณาเขตเผ่ามารเสียอีก
เพราะว่าเมืองเสวี่ยเหล่านั้นไกลเกินไป แต่คุกโจวกลับอยู่ใกล้ๆ
ที่คุกโจวแห่งนี้มืดมิดน่ากลัว แน่นอนก็เป็นเพราะบุคคลสำคัญที่พักอยู่ด้านในผู้นั้น
นามโจวทงสามารถทำให้เด็กหยุดร้องไห้ นี่ไม่ใช่การเปรียบเปรยในวรรณคดี แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้แล้ว ยังมีเรื่องเล่าที่ใกล้เคียงกับเรื่องนี้อีกมาก เล่าขานกันว่าเมื่อสิบปีก่อน คุณชายของจวนเสนาบดีกรมพิธีการ ได้ดื่มสุราในหอนางโลมแห่งหนึ่งมากเกินไป จึงคิดจะขืนใจหญิงบริสุทธิ์นางหนึ่ง ในตอนที่กำลังจะลงมือ อยู่ๆ ก็ได้ยินด้านนอกมีคนตะโกนขึ้นมาว่าโจวทงมาแล้ว คุณชายจวนเสนาบดีกรมพิธีการผู้นั้นถึงกับตกใจจนหยุดชะงัก ตั้งแต่นี้มาก็ไม่สามารถทำเรื่องอย่างว่าได้อีก
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าโจวทงเป็นผู้ที่ยินยอมช่วยเหลือชาวเมืองจิงตูสั่งสอนบุตรหลานของตน หรือเป็นคนดีที่ยินยอมช่วยเหลือสตรีซึ่งกำลังตกที่นั่งลำบาก นี่เป็นเพียงแค่การแสดงออกว่าในใจของผู้คน นามของเขานั้นน่าหวาดกลัวจนถึงระดับไหนแล้ว
คนบนโลกล้วนรู้ดี โจวทงเป็นผู้ลงทัณฑ์ที่โหดร้าย เป็นคนชั่วที่น่ารังเกียจ เป็นขุนนางที่ไม่รู้ว่าทำร้ายชาวบ้านบริสุทธิ์ไปมากน้อยเท่าไหร่
ถ้าหากพูดว่าเพราะในปีนั้นซูหลีฆ่าคนไปมาก ดังนั้นจึงกลายเป็นเป้าหมายที่คนมากมายต้องการจะฆ่า เช่นนั้นแล้ว ทุกคนในแผ่นดินก็คงล้วนอย่างจะฆ่าโจวทง ต่อให้เป็นขุนนางเหมือนกับเขา บางครั้งก็อยากจะไล่ให้เขาไปตาย กระทั่งบางครั้ง มีบางคนรู้สึกว่าที่สวรรค์ให้คนอย่างโจวทงปรากฏตัวขึ้นมานั้น เป็นการลงโทษโลกมนุษย์อย่างหนึ่ง
ถ้าเป็นไปตามเรื่องราวของนิทานทั่วไป คนอย่างโจวทงนี้อย่างมากก็มีอำนาจได้ไม่นาน น่าจะต้องถูกนายเหนือหัวผู้ปรีชาสังหารเสีย หรืออาจจะถูกผู้สูงส่งทำลายให้สลายเป็นหมอกควัน แต่ว่าเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เพราะว่าเขาเป็นขุนนางใหญ่ที่สูงส่งอย่างมากในราชสำนักต้าโจว มีกองทัพยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วนคอยปกป้อง อีกทั้งตัวเขาเองก็เป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาว ที่สำคัญที่สุดคือ เขาเป็นสุนัขที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เชื่อใจที่สุด
มีคนบนโลกจำนวนมากที่ต่อต้านไม่ให้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ครองราชย์ ในนั้นมีประมาณเจ็ดส่วนที่เห็นว่านางเป็นสตรี ที่เหลืออีกสามส่วนเพราะการทำเรื่องชั่วของโจวทง เพราะว่าไม่มีใครเป็นไอ้โง่ ต่อให้เป็นชาวบ้านที่โง่เขลา ให้หลังหลายปีมานี้ ก็น่าจะมองออกแล้ว ความชั่วร้ายของโจวทงที่จริงก็คือเจตนารมณ์ของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ปกครองดินแดนต้าลู่ ที่จริงก็เป็นเวลากว่าสองร้อยปีแล้ว วิธีการปกครองก็ถือได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่ยังคงมีผู้ต่อต้านอยู่อย่างนับไม่ถ้วน
นางชัดเจนอย่างมาก ในฐานะผู้ปกครอง ไม่สามารถที่จะเมตตามากนัก ดังนั้นนางจำเป็นที่จะต้องมีสุนัขร้ายตัวหนึ่ง ต้องการดาบเล่มหนึ่ง เอาไว้กัด เอาไว้ฟาดฟันพวกคนที่แอบต่อต้านตน
พูดอีกอย่างคือ นางต้องการคนผู้หนึ่ง ที่แสดงถึงความชั่วร้ายของนาง
คนผู้นั้นก็คือโจวทง
เขาเหมาะสมกับความต้องการของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณ์
เขาไม่มีเงามืดอะไรในวัยเด็ก ไม่มีการพัวพันกับผลประโยชน์ใด ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้ เขาก็แค่ชอบที่จะใช้ชื่อของกฎหมายมาขังคน มาทรมานคน
จากตรงนี้แล้ว ที่จริงโจวทงก็เป็นคนที่บริสุทธิ์คนหนึ่ง
เขานั้นเป็นคนที่เลวอย่างบริสุทธิ์ผู้หนึ่ง
……
……
ในวันนี้ที่เฉินฉางเซิงมายังกรมอาญา ก็เพื่อจะมาพบกับโจวทง
จากเมืองซีหนิงจนถึงจิงตู เขาเคยได้ยินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโจวทงมากมาย ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลอยู่บ้าง จนกระทั่งเขาได้ล้วงเข้าไปจับของสิ่งนั้นที่อยู่ในแขนเสื้อ ถึงได้ค่อยยังชั่วขึ้นมา
พวกเขาถูกขุนนางของกรมอาญาพาเข้าไปในจวน เขาคิดไม่ถึงเลยว่า จวนที่ถูกเล่าว่ามืดมิดน่าหวาดกลัวอย่างหาใดเปรียบแห่งนี้ จะถึงกับเงียบสงบและงดงามขนาดนี้
พวกเขาถูกพาไปยังเรือนหลังที่อยู่ลึกสุด
ตัวเรือนไม่ใหญ่ มีต้นไห่ถังปลูกเอาไว้อยู่สองต้น ดูไปแล้วน่าจะอายุมากอยู่ กิ่งของมันนั้นสูงเลยกำแพงเรือนไปแล้ว ด้านบนยังเหลือดอกสีชมพูที่ยังไม่ร่วงลงมา
เซวียนหยวนผ้อหันหน้าไปมา เขามองดูรอบด้านอย่างค่อนข้างจะกังวล
ถังซานสือลิ่วเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เฉินฉางเซิงกำลังนึกย้อนว่าทางที่ผ่านมาได้เห็นสิ่งก่อนสร้างหรือสภาพแวดล้อมใดบ้าง และคิดจะคาดเดาตำแหน่งที่เจ๋อซิ่วถูกขังอยู่
เขาในตอนนี้อยู่ในขั้นสูงสุดของขั้นทะลวงอเวจี หากอยู่ในพรรคธรรมดาในโลก ก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือแล้ว ถึงแม้จะไม่สามารถประสานกับฟ้าดินได้ แต่ก็พอจะรับรู้ถึงความรู้สึกทางด้านนี้ได้บ้างแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่เขาได้เรียนเพลงกระบี่รอบรู้กับซูหลีแล้ว แต่จวนหลังนี้ที่ดูแล้วแสนจะธรรมดา เห็นได้ชัดว่ามีการวางค่ายกลที่เหนือล้ำกว่าระดับขั้นของเขาในตอนนี้ไปไกล ไม่ต้องพูดถึงการหาตำแหน่งที่ขังเจ๋อซิ่วเอาไว้ ยิ่งนึกย้อนดู เขาถึงกับพบว่าแม้แต่ทางที่ตนเข้ามา ก็เริ่มลืมไปบ้างแล้ว
ในเวลานี้เอง พลันมีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ขั้นทะลวงอเวจีข้ามขั้นเอาชนะขั้นรวบรวมดวงดาว ในสิบปีมานี้ถือว่าเป็นครั้งแรก ซึ่งจะต้องสั่นสะเทือนไปทั่วดินแดนต้าลู่ เจ้าในตอนนี้กำลังฮึกเหิมห้าวหาญ เจตจำนงกระบี่กำลังอยู่ในช่วงมหาศาล การขับรถตรงเข้ามาในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง จากกลยุทธ์การศึกแล้ว ถือว่าไม่เลวอย่างมาก การบุกเดี่ยวเข้ามาไหนเลยจะไม่ใช่การวางทัพอย่างหนึ่ง เพียงแต่ข้าไม่เคยได้ยินว่าเจ้าเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ตอนนี้ลองคิดดูแล้ว น่าจะเป็นซูหลีที่สอนเจ้าระหว่างทาง”
เสียงนั้นสงบและธรรมดาอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อได้ยินเสียงของคนผู้นี้ ตรงหน้าของพวกเฉินฉางเซิงทั้งสามคน ก็ราวกับได้เห็นทะเลเลือดขึ้นมา
ในทะเลเลือด มีผู้หญิงและเด็กจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังร้องไห้อย่างสิ้นหวัง และค่อยๆ จมลงไป
เฉินฉางเซิงรู้ว่านี่เป็นภาพลวงตา จึงไม่ได้กังวล ถึงแม้จะไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายแสดงภาพเช่นนี้ให้ตนดูก็ตาม
ดวงจิตไม่สั่นไหว เป็นดั่งลมเย็นสายหนึ่ง เขารู้สึกตัวขึ้นมา มองไปที่เรือนเล็ก ซึ่งมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
แน่นอนว่าชายวัยกลางคนก็คือโจงทง
ใบหน้าของเขาซีดขาว ราวกับว่าไม่ได้เจอแสงอาทิตย์มาหลายปี สีหน้าสงบนิ่ง ราวกับเป็นอาจารย์สอนหนังสือในหมู่บ้าน ริมฝีปากทั้งสองบางเฉียบ แสดงให้เห็นถึงความเย็นชาอย่างถึงที่สุด
เขาสวมชุดขุนนาง แต่กลับไม่มีกลิ่นอายของขุนนางแม้แต่น้อย และมีเพียงแค่กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง