ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 24 เสียงจักจั่นไหนเลยจะเงียบได้
ไม่ใช่นมวัวทั้งหมดที่จะอร่อย ไม่ใช่ทุกคนที่ถูกโจวทงพูดใส่แค่ประโยคเดียวแล้วจะตกใจจนเงียบเหมือนจักจั่นในฤดูหนาว ยกตัวอย่างเช่นในโลกยังมีพวกเด็กหนุ่มเหล่านั้นที่ไม่เป็นเช่นนั้น
ถ้าหากเป็นโก่วหานสือ เมื่อได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยไอสังหารเช่นนี้ คิดว่าจะต้องพูดขึ้นมาอย่างอบอุ่นว่า ‘ใต้เท้าท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแค่อยากจะช่วยท่านแก้ไขปัญหา’ ถ้าหากเป็นชิวซานจวินได้ยินโจวทงพูดประโยคนี้ ก็คงจะหัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า ‘ใช่ ใต้เท้าท่านไม่ได้เข้าใจผิด ข้าก็กำลังข่มขู่ท่านอยู่’ ถ้าหากเป็นถังซานสือลิ่วตามปกติ เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามเช่นนี้ก็น่าจะพูดว่า ‘เจ้าโง่ ข้าก็กำลังข่มขู่เจ้า แล้วเจ้าจะทำไม’
ค่อนข้างน่าเสียดาย และก็สามารถพูดได้ว่าค่อนข้างจะโชคดีที่คู่สนทนาของโจวทงคือเฉินฉางเซิง ไม่ใช่ถังซานสือลิ่ว
การตอบสนองของเฉินฉางเซิงเหมาะสมกับนิสัยของเขาอย่างมาก เขายืนอยู่กับที่นิ่งๆ ดวงตาที่มองโจวทงไม่ได้ใส่สีตีไข่ แต่ก็ไม่มีเจตนาที่จะยอมถอย
ไอเย็นที่อยู่ใต้ต้นไห่ถังค่อยๆ หายไป โจวทงมองเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “ถ้าหากข้าไม่ได้มองผิดไป ตั้งแต่ที่เจ้าเริ่มเข้ามาในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ่ง เจ้าก็กังวลเป็นอย่างมาก”
เฉินฉางเซิงลองคิดดู เรื่องนี้ไม่ได้น่าขายหน้า และก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบัง จึงพูดขึ้น “ใช่”
“แต่ว่าเจ้าก็ยังมา”
“ใช่”
“เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะคิดไว้แล้วว่าข้าจะไม่ปล่อยคน”
“ใช่”
โจวทงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และพูดขึ้นอย่างค่อนข้างจะสนใจ “ข้าอยากรู้อย่างมาก เจ้าเตรียมจะทำเช่นไร”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปนาน สุดท้ายถึงได้ตัดสินใจ เขามองโจวทงแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ถ้าหากใต้เท้าไม่ปล่อยคน ข้าก็เตรียมที่จะชิงตัว”
เรือนหลังเล็กพลันเงียบเป็นเป่าสากอีกครั้ง
ดอกไห่ถังที่เหลือค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา
ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อมองเฉินฉางเซิง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และก็ไม่รู้ว่าในตอนนี้ในใจของพวกเขาเกิดมรสุมคลื่นลมขึ้นมาแค่ไหน แต่อย่างน้อยบนใบหน้าก็ไม่ได้มีการแสดงออกใด
โจวทงเองก็กำลังมองเฉินฉางเซิง ในครั้งนี้เขากลับมองอย่างตั้งอกตั้งใจ
แววตาของเฉินฉางเซิงกระจ่างใส และสงบอย่างมาก ดังนั้นจึงสามารถเห็นถึงความคิดของเขาได้อย่างง่ายดาย ต่อให้เป็นความคิดที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุด
โจวทงมองอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงสามารถมองออกได้อย่างง่ายดายว่า…เฉินฉางเซิงนั้นจริงจัง
คำพูดประโยคนั้นของเขาไม่ใช่คำพูดล้อเล่น
ถ้าหากวันนี้เจ๋อซิ่วไม่ได้ออกจากคุกโจว เขาก็จะลงมือชิงตัวจริงๆ
ปัญหาคือ เดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
โจวทงยิ้มขึ้นมา หลังจากนั้นก็ส่ายหน้า
ที่นี่คือจวนตระกูลโจว สวนตระกูลโจว คือคุกโจว
ที่นี่เป็นสถานที่ที่มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาของราชสำนักต้าโจว ไม่ได้ด้อยไปกว่าพระราชวังเลย
รอบด้านของจวนที่เงียบสงบและงดงามแห่งนี้ ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่เท่าไหร่ หน้าหลังของถนนหลายสาย ยังมีกองทัพของราชสำนักคุ้มกันอยู่
ต่อให้เป็นหวังผ้อแห่งเทียนเหลียงก็ไม่สามารถชิงตัวคนไปจากที่นี่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นพวกเขา
ใช่ เด็กหนุ่มทั้งสามคนนี้ล้วนเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรอย่างมาก แต่อย่างไรเสียก็เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่ม อย่างน้อยในตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่มีกำลังที่จะต่อต้านโลกใบนี้
ขนาดที่ไม่ต้องให้พวกยอดฝีมือของราชสำนักที่ซ่อนตัวอยู่พวกนั้นลงมือ เพียงแค่โจวทงคนเดียว ขอเพียงเขาขยับนิ้ว พวกเฉินฉางเซิงทั้งสามคนก็ไม่อาจจะออกไปจากเรือนเล็กหลังนี้แล้ว
โจวทงไม่ได้สนใจพวกเขาอีก และหันหลังเดินไปยังห้องด้านข้างที่ทางเหนือของเรือนเล็ก
ชุดขุนนางสีแดงสดท่ามกลางฝนดอกไม้ที่ร่วงโรย ก็ยังสะดุดตาอยู่เช่นนั้น และถึงขนาดดึงดูดสายตา
ในดวงตาของเฉินฉางเซิง มีเพียงแค่ชุดขุนนางสีแดงสดตัวนี้ ก็เหมือนกับทะเลเลือดที่กว้างใหญ่ผืนนั้นก่อนหน้านี้
โจวทงหันหลังให้กับพวกเขา การมองข้ามเช่นนี้น่าจะทำให้คนจำนวนมากรู้สึกถึงการดูหมิ่น แต่กลับเพียงแค่ทำให้เขาใจเย็นขึ้น
เห็นได้ชัดเจนอย่างมาก โจวทงไม่สนใจเลยว่าเขาจะลงมือหรือไม่ กระทั่งไม่เชื่อว่าเขาจะลงมือด้วยซ้ำ
ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อมองเขา รอคอยการตัดสินใจของเขา
ตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่สำนักฝึกหลวงจนมาถึงกรมอาญา พวกเขาไม่ได้มีการพูดคุยกัน แต่ก็ไม่เคยมีความลังเลและความสั่นคลอนใด
เฉินฉางเซิงต้องการมายังกรมอาญา พวกเขาก็ตามกันมา เฉินฉางเซิงต้องการพบโจวทง พวกเขาก็ตามเข้ามาพบ
ในตอนนี้ถ้าหากเฉินฉางเซิงพูดว่าจะลงมือ แน่นอนว่าพวกเขาก็จะลงมือด้วย
“ใต้เท้า โปรดหยุดก่อน”
ในที่สุดเสียงของเฉินฉางเซิงก็ดังขึ้นมา
ในเวลาเดียวกัน มือของเขาก็จับไปที่ด้ามกระบี่
กระบี่ชื่อไร้ราคี ช่างเหมือนกับผู้ใช้จริงๆ
ถังซานสือลิ่วหายใจเข้าลึกๆ พลันขับเคลื่อนปราณแท้ขึ้นมา มือขวาของเขาจับไปที่ด้ามของกระบี่เวิ่นสุ่ย ในเวลาเดียวกันมือซ้ายก็จับศาสตราวิเศษชิ้นหนึ่งที่อยู่ในแขนเสื้อ
เซวียนหยวนผ้อหันหน้ามองหาอาวุธที่เหมาะมือไปรอบด้าน สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ต้นไห่ถังต้นนั้น ในใจคิดว่าถึงแม้จะบางไปบ้าง แต่ก็ยังพอจะเอามาใช้ได้
โจวทงหยุดเท้าลง แต่กลับไม่ได้หันกลับมา
ชุดขุนนางสีแดงบนร่างของเขาขยับเบาๆ ไปตามลมพัด กระจายกลิ่นคาวเลือดของมหาสมุทรโลหิตออกมา ในพริบตาก็ปกคลุมไปทั่วทั้งเรือนแล้ว ช่างมืดมิดน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น
ไม่ใช่คนในเรือนที่ลงมือ แต่เป็นเสียงฝีเท้าม้าจากด้านนอกที่ไกลออกไปซึ่งดังราวกับเสียงฟ้าผ่า แม้แต่พื้นดินก็ยังสั่นสะเทือนขึ้นมา
ต่อมา แต่ละที่ล้วนมีเสียงของเหล่าขุนนางกรมอาญาตะโกนขึ้นมาอย่างเป็นกังวล
ที่มาก็คือ…กองทัพของนิกายหลวง!
……
……
“เจ้าเคลื่อนกองทัพของนิกายหลวงไม่ได้แน่”
โจวทงหันกลับมา มองดูเฉินฉางเซิงพลางพูดขึ้นราวกับกำลังมีความคิด
ในทั่วทั้งจิงตู มีเรื่องราวไม่มากนักที่สามารถปิดบังสายตาของเขาไปได้ ตั้งแต่นาทีที่ยืนยันว่าเป็นไปได้ที่เป้าหมายของรถม้าสำนักฝึกหลวงจะเป็นตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง มีรายงานที่เกี่ยวข้องจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนถูกส่งมายังที่แห่งนี้ เขาชัดเจนอย่างมากว่าเฉินฉางเซิงไม่ได้เตรียมการแผนสำรองใดไว้ เขาก็อาศัยการที่เอาชนะโจวจื้อเหิงมาได้ อาศัยเจตจำนงกระบี่นั่น บุกตรงเข้ามาถึงที่นี่
“ไม่เกี่ยวกับข้า”
เป็นเรื่องจริงที่เฉินฉางเซิงไม่สามารถสั่งเคลื่อนกองทัพของนิกายหลวงได้
กองทัพของนิกายหลวงเหล่านี้ขึ้นตรงกับพระราชวังหลี ความสามารถในการสู้รบถือว่าแข็งแกร่งอย่างมาก
อยู่ๆ โจวทงก็นึกถึงวันหนึ่งเมื่อปีก่อน ในวันนั้นทั่วทั้งจิงตูได้ปิดล้อมสำนักฝึกหลวง ที่หน้าตำหนักของสำนักการศึกษากลางล้วนเต็มไปด้วยคน
หลังจากนั้น กองทัพของนิกายหลวงก็มาแล้ว เป็นดั่งสายลมในฤดูใบไม้ร่วงที่พัดกวาดใบไม้ก็ไม่ปาน พวกเขาจัดการพื้นที่ตรงนั้นอย่างแข็งกร้าวและโหดเหี้ยม
วันนั้นมีคนตายไปไม่น้อย
และหลังจากวันนั้น คนมากมายถึงได้เข้าใจ ที่แท้ใต้เท้ามุขนายกของสำนักการศึกษากลางที่ราวกับจะหลับตลอดเวลาผู้นั้น ถึงกับมีบารมีในนิกายหลวงสูงส่งขนาดนี้ และมีอำนาจซ่อนไว้มากมายขนาดนี้
เช่นนี้แล้ว กองทัพของนิกายหลวงที่เพิ่งมาถึงเหล่านี้ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในสมบัติของผู้เฒ่าที่เพิ่งจากไปผู้นั้นเหลือไว้ให้กับเฉินฉางเซิง
โจวทงมองเฉินฉางเซิงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ พลางพูดขึ้น “เจ้ารู้ว่าหากเจ้าลงมือ จะเป็นจุดจบเช่นไร”
“ข้าจะตาย”
“ต่อหน้าข้า พวกเจ้าคิดจะตายก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น”
“ไม่ แน่นอนว่าข้ามีวิธีที่จะตาย”
ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ โจวทงถึงได้รู้สึกโมโหขึ้นมา จึงพูดขึ้น “เช่นนั้นทำไมเจ้ายังไม่ไปตายอีก”
“ใต้เท้ายังไม่ลงมือ คิดว่าคงกลัวพวกข้าตายไปจริงๆ”
โจวทงพูดเย้ยหยันขึ้น “ข้ามีอะไรให้กลัว”
“เมื่อครู่ใต้เท้าพูดว่าข้ากำลังข่มขู่ท่าน ก็น่าจะชัดเจนดี หากข้าอยากจะข่มขู่ท่าน ก็มีวิธีนี้อยู่แค่วิธีเดียว…” เฉินฉางเซิงยังพูดต่ออีกว่า “ข้าเอาชีวิตเป็นเดิมพัน หลังจากนั้นค่อยดูว่าในสายตาของบุคคลสำคัญเหล่านั้นสรุปแล้วชีวิตของข้าสำคัญ หรือชีวิตของใต้เท้าสำคัญ”
ในช่วงต้นของฤดูร้อน ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้นไปอยู่กลางฟ้า เรือนเล็กที่เงียบสงบเริ่มที่จะร้อนอบอ้าวขึ้นมา
ไกลออกไปไม่รู้ว่าเป็นที่ใดพลันมีเสียงจักจั่นดังขึ้น ฟังแล้วก็ทำให้คนรู้สึกรำคาญใจอยู่บ้าง
ก็เหมือนกับจิตใจของโจวทงในตอนนี้
ตอนที่เขารู้ว่าเฉินหลิวอ๋องมาถึงแล้ว เหมาชิวอวี่เองก็มาถึงที่นอกตรอกแล้ว ความรำคาญใจนี้ก็ยิ่งพุ่งไปถึงขีดสุด