ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 25 ร่างเล็กภายใต้ชุดขุนนางสีแดง
จิงตูในวันนี้คึกคักเป็นพิเศษ
หลังจากเช้าตรู่ไม่นาน ก็เป็นการประลองที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงได้ข้ามขั้นเอาชนะโจวจื้อเหิง
เรื่องนี้สามารถพูดได้ว่าเพียงพอที่จะสั่นสะเทือนโลกแล้ว
แต่จะเป็นใครก็ล้วนคิดไม่ถึง ว่าถัดมาเขาจะทำเรื่องที่ยิ่งสั่นสะเทือนโลกเข้าไปอีก
เขาพานักเรียนที่เหลือของสำนักฝึกหลวงทั้งสองคน ขับรถม้าบุกตรงไปยังคุกโจว ได้ยินมาว่าในตอนนี้กำลังเผชิญหน้าอยู่กับใต้เท้าโจวทงที่น่ากลัวผู้นั้นอยู่ที่ด้านใน
สำนักฝึกหลวงต้องการคน
โจวทงไม่ปล่อยคน
หลังจากที่รู้ข่าวนี้ ชาวเมืองจิงตูมากมายก็รีบตามไปดูเรื่องสนุก เพียงแต่ต่างกับเรื่องสนุกในตอนเช้าอยู่บ้าง คุกโจวนั้นมีไออัปมงคลมากเกินไป ภาพลักษณ์ในสายตาชาวเมืองก็มืดมิดเกินไป ผู้คนจึงไม่กล้าเข้าใกล้มากนัก
ดังนั้นตอนที่กองทัพของนิกายหลวงทั้งห้าร้อยนายโห่ร้องผ่านถนน จึงไม่ได้ทำให้เกิดการผิดพลาดบาดเจ็บอะไร
ต่อมา หัวหน้าขันทีของพระราชวังผู้หนึ่งมาถึงแล้ว นางกำนัลมาถึงแล้ว เหมาชิวอวี่มาถึงแล้ว สุดท้าย รถม้าของจวนอ๋องก็มาถึงแล้ว
ไม่มีใครเข้าไปในคุกโจว แม้กระทั่งในตรอกก็ยังไม่มีใครเข้าไป
เฉินหลิวอ๋องลงมาจากรถม้า มองดูกองทัพของนิกายหลวงทั้งห้าร้อยนาย เขาขมวดคิ้วอย่างที่ยากจะสังเกต และมองไปทางเหมาชิวอวี่ ฝืนยิ้มขึ้นมา พลางพูดขึ้น “เรื่องนี้ ทำให้เป็นเรื่องใหญ่เกินไปแล้ว”
เรื่องในวันนี้ช่างทำให้เป็นเรื่องใหญ่เกินไปจริงๆ ทุกคนล้วนรู้กัน เกี่ยวกับกฎข้อใหม่ในการประลองระหว่างสำนักของนิกายหลวง เป็นราชสำนัก หรือถ้าจะพูดให้เจาะจงก็คือ ตระกูลเทียนไห่ไปจนถึงใต้เท้ามุขนายกทั้งสองคนที่ภักดีต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ที่กดดันสำนักฝึกหลวง แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าสำนักฝึกหลวงจะตอบกลับเรื่องนี้อย่างดุเดือดเช่นนี้ อีกทั้งยังรวดเร็วขนาดนี้ เพิ่งจะได้รับชัยชนะในการประลองแรก ก็ถึงกับบุกตรงไปยังคุกโจวอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย! เพื่อไปเอาตัวคน!
เหมาชิวอวี่ที่เคยเป็นเจ้าสำนักของสำนักเทียนเต้า ในตอนนี้ได้เป็นใต้เท้ามุขนายกของตำหนักอิงหัว ได้ยืนอยู่ในลำดับของหกผู้ยิ่งใหญ่
เขาได้มาถึงแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการแสดงถึงท่าทีของพระราชวังหลี ปัญหาอยู่ที่ แม้แต่บุคคลสำคัญเช่นเขาก็ยังยืนอยู่ที่นอกตรอก ไม่ได้เข้าไป
ใครก็รู้ ความสัมพันธ์ของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับพระราชวังหลีในช่วงหนึ่งปีมานี้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอย่างมาก ซึ่งค่อยๆ ห่างเหินกันไป แต่อย่างน้อยเบื้องหน้าก็ยังรักษาความสงบเอาไว้อยู่
ในตอนที่นักปราชญ์ทั้งสองยังรักษาความสงบไว้ ใครก็ไม่อยากและก็ไม่กล้าที่จะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดเพิ่มขึ้น กระทั่งเสียการควบคุม เพราะว่าไม่มีฝ่ายใดที่อยากจะเจอกับจุดจบอันแสนน่ากลัวนั่น
จนกระทั่งรถม้าของสำนักฝึกหลวงเข้าไปในตรอกนี้
ถ้าหากวันนี้ ในเรือนเล็กหลังนั้นเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นจิงตู ไปจนถึงโลกมนุษย์ทั้งใบจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาแล้ว
……
……
ในเรือนเล็ก ถังซานสือลิ่วมองโจวทงอย่างจริงจัง กระทั่งสามารถพูดได้ว่าพูดอย่างจริงใจ “ใต้เท้า ข้าจำเป็นต้องพูดความจริงกับท่าน ชีวิตของเฉินฉางเซิง…ดีอย่างมากจริงๆ ถึงขนาดที่สูงส่งจนไม่อาจใช้คำพูดมาบรรยาย ข้าไม่รู้ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะมองอย่างไร แต่อย่างน้อยในสายตาของใต้เท้าสังฆราช ชีวิตของใต้เท้าท่านไม่มีทางมีค่าเท่าชีวิตของเฉินฉางเซิง หากถ้าวันนี้เขาตายภายในคุกโจวจริงๆ ท่านคิดว่าใต้เท้าสังฆราชจะปล่อยท่านหรือ แล้วจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะมองท่านเช่นไร”
“สูงส่งจนไม่อาจใช้คำพูดบรรยายหรือ” โจวทงมองเฉินฉางเซิงแล้วหรี่ตาลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ถังซานสือลิ่วพูดต่อ “อีกทั้งท่านอาจจะไม่เข้าใจเขา ตัวเขาบางครั้งก็ยึดติดจริงๆ และก็โง่เขลาอย่างมาก เขาสามารถทำเรื่องอย่างการเอาชีวิตของตนไปแลกกับชีวิตของเจ๋อซิ่วได้”
“พูดไปพูดมา ก็ยังข่มขู่ข้าอยู่” โจวทงเกิดความปลงอนิจจังขึ้นอย่างมาก แล้วพูดขึ้น “หรือว่าช่วงนี้เรื่องของข้าในจิงตูได้เล่าลือน้อยกว่าตอนนั้นไปมาก ขนาดที่ว่าไม่มีคนกลัวข้าแล้ว”
ถังซานสือลิ่วแย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “แล้วแต่ท่านจะคิด”
โจวทงคำรามขึ้นเสียงเย็น “พวกเจ้าจะรับผิดชอบผลลัพธ์ในภายหลังได้หรือ”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ไม่ใช่ตัวข้าที่อยากจะเป็นเจ้าสำนักฝึกหลวง ข้าไม่คิดว่าตนจะต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ในภายหลัง”
ความหมายของประโยคนี้ชัดเจนอย่างมาก
เขาเป็นเจ้าสำนักฝึกหลวง เจ๋อซิ่วมีชื่อเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง เจ๋อซิ่วถูกขังไว้ในคุกโจวนานเกินไป แน่นอนว่าเขาต้องช่วยพาเจ๋อซิ่วออกมา ส่วนเรื่องที่เบื้องหลังของเรื่องนี้จะมีความหมายแฝงอยู่เท่าไหร่ เขาก็ไม่เข้าใจจริงๆ และก็ไม่อยากไปคิดอีก ดังนั้นเขาต้องรับผิดชอบเพียงแค่ผลลัพธ์ของเจ้าสำนักที่ปกป้องนักเรียนเท่านั้น ส่วนเรื่องนี้จะก่อให้เกิดผลลัพธ์อะไรที่ร้ายแรงในภายหลัง แน่นอนว่าควรจะให้คนที่ให้เขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงผู้นั้น ไปจนถึงคนที่ให้โจวทงขังเจ๋อซิ่วผู้นั้นรับผิดชอบ
พูดอีกอย่างคือ ถ้าหากวันนี้เกิดคลื่นลมขึ้นในเรือนเล็กจริงๆ ราชสำนักกับพระราชวังหลีก็จะเป็นดั่งน้ำกับไฟ ต่อให้ใต้หล้าจะวุ่นวาย เผ่ามารจะถือโอกาสรุกราน ประชาชนบ้านแตกสาแหรกขาด กระทั่งเผ่ามนุษย์ต้องตกเป็นทาสไปนับหมื่นปี…นั่นก็เป็นความผิดของใต้เท้าสังฆราชกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
ภายในเรือนเล็กพลันเงียบกริบอย่างหาใดเปรียบอีกครั้ง
โจวทงไม่ได้คิดถึงว่าเฉินฉางเซิงจะหมายความเช่นนี้เลย เขาหรี่ตาลง ไอเย็นพลันรวมตัว กลีบดอกไม้บนพื้นกลายเป็นเกล็ดหิมะ
ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อมองไปที่เฉินฉางเซิงด้วยความเลื่อมใสอย่างมาก
……
……
พระราชวังหลี ตำหนักแสงสว่าง
รูปสลักมากมาย บ้างก็สงบนิ่ง บ้างก็ดูศักดิ์สิทธิ์ กำลังส่องแสงออกมาจางๆ และมองไปยังท้องฟ้าที่นอกตำหนัก
ใต้เท้าสังฆราชเองก็กำลังมองท้องฟ้า สีหน้ามีความสงบ ก็เหมือนกับว่าเมื่อครู่ไม่ได้ยินว่าเฉินฉางเซิงทำอะไรลงไปบ้าง และพูดอะไรออกไปบ้าง
“เฉินฉางเซิงนี่ช่างไม่คำนึงถึงงานใหญ่ ไม่สนใจภาพรวม จะสามารถสืบทอดนิกายหลวงได้อย่างไร”
คนที่พูดขึ้นก็คือนักพรตซือหยวน ประมุขแห่งตำหนักขบวนรถอริพ่าย ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็คือราชันย์แห่งหลิงไห่ ประมุขแห่งตำหนักเทียนไฉ
ในฐานะหกผู้ยิ่งใหญ่ที่อายุน้อยที่สุดในนิกายหลวง ในเวลาเดียวกันก็เป็นใต้เท้ามุขนายกสองคนที่มีอำนาจมากที่สุด ท่าทีที่พวกเขามีต่อใต้เท้าสังฆราชก็ยังคงมีความเคารพ แต่คำพูดกลับตรงไปตรงมาอย่างมาก
บางทีก็เป็นเพราะพวกเขาอยู่ห่างจากเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น สามารถที่จะเห็นเงาหลังของใต้เท้าสังฆราชได้แล้ว
ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ล้วนคิดว่า ที่ใต้เท้ามุขนายกทั้งสองสนับสนุนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ต่อและไม่ยอมยืนอยู่ข้างเดียวกับใต้เท้าสังฆราช เป็นเพราะพวกเขามีความแค้นต่อราชตระกูลเฉินอย่างที่ไม่อาจจะมอดดับลงและมีความรู้สึกไม่เชื่อใจ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า นอกจากนี้แล้ว เหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ใต้เท้าสังฆราชตัดสินใจจะมอบอนาคตของนิกายหลวงให้กับเด็กหนุ่มที่ชื่อเฉินฉางเซิงผู้นั้น
ใต้เท้ามุขนายกทั้งสองอาจจะไม่สนใจอำนาจในโลก แต่ก็ไม่อาจจะไม่สนใจผู้สืบทอดแห่งเทพได้
ราชันย์แห่งหลิงไห่ได้พูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “จดหมายที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ส่งมาได้เขียนอย่างชัดเจน เรื่องนั้นมีความหวังที่จะสำเร็จจริงๆ อธิบายอยู่ว่าการกดดันเขาหลีซานนั้นมีเหตุผล ในเรื่องนี้โจวทงก็นับว่ามีความชอบ”
ใต้เท้าสังฆราชยังคงนิ่งเงียบ ไม่ได้พูดจาแม้แต่คำเดียว
นักพรตซือหยวนถอนหายใจ แล้วพูดขึ้น “ท่านน่าจะชัดเจนดี ไม่ว่าจะเป็นไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์หรือตำแหน่งจักรพรรดิไปตกอยู่กับใคร ก็ล้วนไม่ใช่เหตุผลที่พวกข้าต่อต้านท่าน ความไม่สงบของพวกข้าอยู่ที่ ท่านกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยังเหลืออายุขัยนับสิบปี เหตุใดท่านถึงต้องรีบตัดสินใจด้วย”
การตัดสินใจในที่นี้ก็หมายถึงการที่จะตกอยู่กับใคร
ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์กับตำแหน่งจักรพรรดิจะตกอยู่กับใคร
ใบหน้าของราชันย์แห่งหลิงไห่ยังคงไม่มีการแสดงอารมณ์ใด เสียงก็ราวกับมหาสมุทรที่ลึกที่สุด ซึ่งเต็มไปด้วยพลังที่ยากจะจินตนาการ “ส่วนโจวทง ฆ่าทิ้งก็ได้แล้ว ความผิดทั้งหมดให้อยู่กับตัวเขา เขาน่าจะชัดเจนตั้งแต่แรกว่าชะตาของตนคืออะไร”
นาทีก่อน เขาเพิ่งจะพูดว่าโจวทงสร้างความชอบใหญ่หลวง
นาทีนี้ เขาพูดว่าถ้าหากที่เรือนเล็กหลังนั้นเกิดปัญหาขึ้น ก็แค่ฆ่าโจวทงเสียก็ได้แล้ว
นาทีถัดมา ที่นอกตำหนักแสงสว่างพลันมีเสียงที่ค่อนข้างจะไม่สงบและกระวนกระวายดังเข้ามา ที่ตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งนั้นเกิดเรื่องที่คนส่วนใหญ่ล้วนคาดไม่ถึงขึ้น
โจวทง ถึงกับปล่อยคนออกมาจริงๆ แล้ว!