ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 27 กฎสวรรค์มุ่งไปยังซีหลิว
ไม่รู้ว่าโจวทงได้เห็นกาลเวลาช่วงนั้นบนตัวของเฉินฉางเซิงหรือไม่ แต่ในตอนนี้เขาก็กำลังอ่านคัมภีร์กาลเวลาที่อยู่ในมือ
คัมภีร์กาลเวลาหรืออีกชื่อหนึ่งคือสารานุกรมซีหลิว เป็นคัมภีร์ที่สำคัญที่สุดในนิกายหลวง ในเวลาเดียวกันก็เป็นคัมภีร์ลัทธิเต๋าที่ว่าด้วยเรื่องที่ลึกล้ำยากจะเข้าใจที่สุด มีความหมายถึงแม่น้ำเจียงที่ไปไหลยังทิศตะวันตกโดยที่ไม่อาจรอช้า มีเนื้อหาพูดถึงคำแนะนำของลัทธิเต๋าอันยอดเยี่ยมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเวลา ก่อนที่เหมยหลี่ซาจะตายก็ยังไม่ลืมที่จะอ่านคัมภีร์เล่มนี้ นี่หมายความว่าอะไร
โจวทงมองตัวหนังสือที่ยากจะเข้าใจที่อยู่บนสารานุกรมซีหลิวเหล่านั้น และครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
อาจารย์ซินบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องที่เต็มไปด้วยดอกเหมยห้องนั้นต่อ “เขาพูดว่าเจ้าสำนักซางเป็นคนที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก”
โจวทงหรี่ตาลง สายตาเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นแหลมคมขึ้นมาในพริบตา คนที่ใกล้ตาย คำพูดล้วนเชื่อได้ นักบวชที่ยอดเยี่ยมอย่างเหมยหลี่ซานี้ ได้มองข้ามความเป็นความตายไปตั้งนานแล้ว ก่อนที่จะตายไยต้องอ่านคัมภีร์เล่มนี้อีก ทำไมถึงได้พูดถึงบุคคลที่ซ่อนตัวจนไร้ข่าวคราวไปหลายปีผู้นั้น
อาจารย์ซินชะงักไปครู่หนึ่ง เขานึกถึงประโยคสุดท้ายที่ใต้เท้ามุขนายกพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “เขาพูดว่าเขาอยากรู้อย่างมาก ประวัติของใต้เท้าสังฆราชคนต่อไปในคัมภีร์ลัทธิเต๋าจะบันทึกไว้เช่นไร”
คิ้วทั้งสองข้างของโจวทงเลิกขึ้นมา ในห้องที่เงียบสงบไม่มีลมพัด แต่ชุดขุนนางสีแดงกลับเริ่มลอยขึ้นมา ราวกับว่าทะเลเลือดนั้นมาถึงโลกมนุษย์
สภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏออกมาภายนอกนั้นขึ้นอยู่กับสภาวะของจิตใจ เห็นได้ชัดว่าคำพูดของอาจารย์ซินนั้นสร้างความเสียหายให้กับจิตใจของเขาอย่างไร…เพราะว่าเขาพบเบาะแสอย่างหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในคำพูดและหนังสือเล่มนี้
ใต้เท้าสังฆราชคนต่อไป ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ล้วนรู้กัน ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้น เช่นนั้นแล้วใต้เท้าสังฆราชคนต่อไปของนิกายหลวงจะต้องเป็นเฉินฉางเซิง เหมยหลี่ซาก็เป็นผู้ผลักดันที่แน่วแน่ที่สุดในเรื่องนี้ แน่นอนว่าไม่มีทางมีความคิดอื่น เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงประหลาดใจกับบันทึกชีวประวัติของเฉินฉางเซิง รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจอย่างมาก ในชีวิตนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร ผลสำเร็จหรือระดับขั้นในการบำเพ็ญเพียร
ชุดขุนนางของโจวทงโบกสะบัดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ภายในห้องพลันเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ในทะเลเลือดนั้นเกิดคลื่นลมที่แสนน่ากลัวจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งก็เหมือนกับสภาพจิตใจของเขาในตอนนี้
ใบหน้าของอาจารย์ซินซีดขาว เขาแทบจะทนต่อแรงกดดันที่น่าหวาดกลัวในระดับนี้ไม่ไหวแล้ว แต่กลับไม่กล้าที่จะถอยออกไป
ทันใดนั้น แรงกดดันทั้งหมดได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย คิ้วของโจวทงที่เลิกขึ้น ค่อยๆ ผ่อนลง แววตาไม่ได้แหลมคมอีกแล้ว ชุดขุนนางหยุดนิ่งแนบลำตัว บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนผู้หนึ่งคืออะไร”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดหรือ” อาจารย์ซินไม่เข้าใจว่าทำไมใต้เท้าถึงได้ถามคำถามเช่นนี้ขึ้นมาในตอนนี้อย่างกะทันหัน
รอยยิ้มบนใบหน้าของโจวทงค่อยๆ จริงใจขึ้นเรื่อยๆ ราวกับดอกไม้ที่ผลิบาน แต่เมื่อเคียงคู่กับกลิ่นอายที่ดำมืดของเขา ก็ยิ่งดูแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่
“สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนผู้หนึ่งไม่ใช่ระดับขั้นในการบำเพ็ญเพียร และก็ไม่ใช่อำนาจกับเขตแดน แต่เป็น…วันเดือนปีเกิดและวันตาย” เขาเดินไปที่ประตู มองต้นไห่ถังสองต้นนั้น เขากำลังฟังเสียงล้อรถที่ดังมาจากกลางตรอกที่ไกลออกไป แล้วพูดขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์หรือหนังสือประวัติศาสตร์ของนิกายหลวง หากอยากจะบันทึกชีวิตของใครสักคน อันดับแรกที่ต้องยืนยัน ก็คือประโยคแรกจะต้องเขียนให้ชัดเจน ว่าเจ้าเกิดในวันเดือนปีใด สถานที่แห่งไหน มีเพียงยืนยันข้อมูลเหล่านี้เท่านั้น ถึงจะสามารถยืนยันได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่”
อาจารย์ซินเดินไปที่ด้านหลังของเขา ไม่รู้ว่าควรจะรับคำเช่นไร เขาพอจะสัมผัสได้ ถึงแม้โจวทงในตอนนี้จะแสดงออกอย่างสงบ แต่ที่จริงแล้ว อารมณ์ที่อยู่ส่วนลึกภายในใจกลับกังวลอย่างมาก
เรื่องราวหรือการค้นพบอะไรกัน ถึงกับสามารถทำให้โจวทงซึ่งเป็นบุคคลที่น่ากลัวเช่นนี้ยังเป็นกังวลขึ้นมา
“ดอกไห่ถังร่วงโรย คุกใหญ่ทรงพลังอำนาจไร้เทียมทาน เขายืนอยู่ในนั้น แต่กลับไม่สั่นไหวดุจทะเลสาบ”
โจวทงหรี่ตาลงอีกครั้งเพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้แหลมคมราวกระบี่แล้ว แต่กลับเต็มไปด้วยความมึนงงกับความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกไม่สงบ
อาจารย์ซินเองก็อยากรู้อย่างมาก ใต้เท้าจัดฉากอันใหญ่โตเพียงนี้ นอกจากเพื่อดูเจตนารมณ์ของบุคคลสำคัญให้ชัดเจนแล้ว เป้าหมายที่สำคัญที่สุดนั้นสรุปแล้วสำเร็จหรือไม่ โจวทงอยากเห็นว่าเฉินฉางเซิงเป็นคนเช่นไร หรืออาจพูดได้ว่า เขาอยากเห็น…ว่าเฉินฉางเซิงเป็นใครกันแน่
เพียงแต่ตามปกติล้วนพูดกันว่าไม่สั่นไหวราวขุนเขา ทำไมเขาถึงประเมินเฉินฉางเซิงด้วยคำว่าไม่สั่นไหวดุจทะเลสาบกัน
“เขาเหมือนกับคนผู้หนึ่งอย่างมาก” บนใบหน้าของโจวทงเผยให้เห็นความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน พลางพูดขึ้น “เหมือนกับเฉินเสวียนป้าที่เป็นความลับของพระราชวังผู้นั้น”
อาจารย์ซินไม่เข้าใจ ในหนังสือประวัติศาสตร์จนถึงเรื่องเล่าของชาวบ้าน เฉินเสวียนป้าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของราชสกุลเฉินในรอบพันปี เคียงคู่มากับจักรพรรดิไท่จง ตลอดมามีชื่อในเรื่องหยาบคายเจ้าอารมณ์ ไหนเลยจะมีส่วนใดที่เหมือนกับเฉินฉางเซิง อีกทั้งเหตุใดถึงพูดว่าเฉินเสวียนป้าที่เป็นความลับของพระราชวัง ใต้เท้าถึงกับมีโอกาสได้สัมผัสกับความลับเหล่านั้นที่เป็นความลับของพระราชวังหรือ บางที บันทึกเรื่องราวของเฉินเสวียนป้าในนั้นอาจจะไม่เหมือนกับที่เล่ากันมา
“จักรพรรดิไทจ่งผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเรา ได้แก้ไขหนังสือประวัติศาสตร์และคัมภีร์ลัทธิเต๋าทั้งหมดที่สามารถแก้ได้ไปทั้งหมด ดังนั้นแน่นอนว่าเฉินเสวียนป้าถึงได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่หยาบโลน ไม่สนใจงานใหญ่ ไม่สนใจภาพรวม” โจวทงพูดด้วยความถากถาง “ใครจะนึกถึงว่าเฉินเสวียนป้าที่แท้จริงจะเป็นคนที่สงบนิ่งอย่างมาก”
อาจารย์ซิ่นรู้สึกว่าคำประเมินนี้ช่างคุ้นหูนัก หลังจากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ นี่ก็คือคำที่ใต้เท้าใช้ประเมินเฉินฉางเซิงก่อนหน้านี้
คำว่าเงียบสงบในที่นี้ แทนที่ความหมายต่างๆ มากมาย ยกตัวอย่างเช่นในตอนที่ไม่จำเป็นต้องพูด ก็ไม่พูด ทึ่มทื่อในคำพูดแต่มีไหวพริบในการกระทำ แต่กลับมีใจที่สงบ ยกตัวอย่างเช่นความสงบเมื่อเจอกับเรื่องใหญ่
เรือนเล็กพลันเงียบสงบเป็นเวลานานอย่างมาก
สุดท้ายโจวทงก็พูดขึ้น “โดยเฉพาะ เขาเองก็มีแซ่เฉิน”
อาจารย์ซินไปแล้ว ทั้งยังนำพาความกดดันในใจกับความหวาดกลัวไม่สงบอย่างมากออกไปจากตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง ความกดดันใจในนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฐานะทั้งสองของเขา แต่มาจากข้อมูลที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้นของโจวทง เฉินฉางเซิง หรือว่าเขาจะเป็นทายาทของราชวงศ์จริงๆ
เขาไม่กล้าไปคิด และยิ่งไม่กล้าที่จะคิดลึกลงไป เพราะว่ามันชัดเจนอย่างมาก แม้แต่ใต้เท้าโจวทง ยังเป็นกังวลขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ โจวทงกังวลใจอย่างมากเพราะว่าเขารู้มากกว่าอาจารย์ซินมากนัก อีกทั้งตำแหน่งและสถานะของเขา เรื่องเหล่านี้ก็จำเป็นต้องคิด อีกทั้งยังต้องคิดให้ชัดเจน
เขายืนอยู่บนบันไดหินของเรือนเล็ก มองดูต้นไห่ถังที่ดอกร่วงโรยจนเกือบหมดแล้วสองต้นนั้น คิดอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน และไม่ได้สนใจการรบกวนจากภายนอกเหล่านั้นเลย
ก่อนที่เหมยหลี่ซาจะตาย ได้พูดว่าเจ้าโจรซางเป็นคนที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก
ก่อนที่เหมยหลี่ซาจะตาย กำลังดูสารานุกรมซีหลิว มองกาลเวลาเป็นดั่งสายน้ำ
ใช่แล้ว เจ้าโจรซางสามารถช่วยให้เหนียงเหนียงท้าลิขิตพลิกโชคชะตาได้ การจะทำให้ทารกคนหนึ่งหยุดเติบโตเป็นเวลาสี่ปี ก็จะนับว่าเป็นเรื่องยากอะไร
บางที เฉินฉางเซิงเพียงแค่โตเป็นผู้ใหญ่เร็ว แต่ความมืดมนน่าเบื่อ ดูแก่เช่นนั้น หรือว่าจะเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบหกปีจริงๆ
ลูกศิษย์ผู้นั้นที่เจ้าโจรซางพาไปจากซีหนิง อายุก็ตรงกันพอดี อีกทั้งยังเป็นใบ้แต่กำเนิด ซึ่งตรงกับที่เล่ากันมามากกว่า
แต่นั่นมันเด่นสะดุดตาเกินไป ตรงเกินไป ดังนั้นจึงไม่อาจเชื่อถือได้
บางที ศิษย์ผู้นั้นอาจเป็นลูกเล่นที่ใช้หลอกลวงกฎสวรรค์
คนที่เป็นตัวจริงผู้นั้น อาจจะถูกเจ้าโจรซางใช้สารานุกรมซีหลิวแก้ไขอายุขัยไปตั้งแต่แรกแล้ว
โจวทงรู้สึกว่าร่างของตนหนาวเหน็บขึ้นเรื่อยๆ
เขารู้ว่าหัวหน้าขันทีที่ได้รับความไว้วางใจจากเหนียงเหนียงมากที่สุดผู้นั้น ในช่วงหลายเดือนมานี้ กำลังสืบหาคดีเก่าในพระราชวังคดีนั้นมาโดยตลอด
เหนียงเหนียงไม่ได้ให้เขาสืบหา ไม่ได้แปลว่าไม่ไว้ใจเขาอีก เพียงแต่หมายความว่า เหนียงเหนียงไม่อยากให้มีผู้ใดรู้เรื่องนี้
…องค์รัชทายาทเจาหมิง มีความเป็นไปได้ว่ายังมีชีวิตอยู่
ถ้าหากว่าเหนียงเหนียงเคยท้าลิขิตพลิกโชคชะตาจริงๆ อีกทั้งยังเหมือนกับที่เล่าขานกันนั่น เพื่อการท้าลิขิตพลิกโชคชะตา นางจ่ายค่าตอบแทนที่คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้
นางถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไร้ลูกหลานสืบสกุล ไร้ผู้สืบสายเลือด ถึงจะสามารถกลายเป็นจักรพรรดินีได้อย่างแท้จริง
ถ้าหากรัชทายาทเจาหมิงยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นก็หมายความว่า การท้าลิขิตพลิกโชคชะตาของเหนียงเหนียงยังไม่ได้จบลงอย่างแท้จริง!
อย่างน้อยก็หมายความว่า การท้าลิขิตพลิกโชคชะตาของเหนียงเหนียงยังมีจุดอ่อนอยู่!
ถ้าหากทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความจริง
เช่นนั้นควรจะต้องลบการมีอยู่ของรัชทายาทเจาหมิงหรือไม่ ถึงจะสามารถทำให้ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ
โจวทงรู้สึกว่าอุณหภูมิที่อยู่ในเรือนเล็กลดต่ำลงเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่เป็นต้นฤดูร้อน แต่ราวกับเข้าสู่ช่วงที่หนาวจัดของฤดูหนาว
ถึงจะเป็นเขาที่เลือดเย็นน่าหวาดกลัวที่สุดในสายตาของชาวโลก เมื่อนึกถึงเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นในปีนั้น ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าโหดร้ายเกินไป
แต่ว่า ทำไมคนเหล่านั้นถึงได้ส่งเฉินฉางเซิงมายังจิงตู หรือพวกเขาคิดจริงๆ ว่าสามารถปิดบังเหนียงเหนียงไปได้ตลอด สามารถปิดบังข้าไปได้อย่างนั้นหรือ
สีหน้าของโจวทงดูไม่ได้อย่างมาก เขาพบว่าปริศนาข้อนี้จนถึงตอนนี้ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่สามารถจะอธิบายให้ชัดเจน
……
……
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองท้องฟ้าอยู่บนแท่นกานลู่
ในตอนเช้า ท้องฟ้าเป็นสีคราม ภายหลังการประลองที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง รถม้าก็มุ่งไปยังกรมอาญา ไม่รู้ว่ามีเมฆลอยมาจากที่ใด ท้องฟ้าถึงได้เปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม ท้องฟ้ามืดครึ้มสีเทา ราวกับว่าจะปิดบังความจริงทั้งหมด แต่ไหนเลยจะสามารถปิดบังดวงตาของนางได้
คนส่วนมากบนโลก ไม่สามารถมองเห็นดวงดาวจากท้องฟ้าในตอนกลางวัน แต่นางสามารถทำได้ เพียงแต่ปกติแล้วนางไม่ชอบดูในตอนกลางวัน เพราะว่าเช่นนั้นจะทำให้นางนึกถึงอดีตจักรพรรดิ นึกถึงไท่จง นึกถึงคนแซ่เฉินมากมาย ทว่าในตอนนี้ที่นางกำลังมองท้องฟ้า กลับเป็นเพราะเด็กหนุ่ม…แซ่เฉินผู้หนึ่ง
นางรู้ว่าโจวทงคาดเดาได้ถึงอะไรบางอย่าง ตรวจสอบพบอะไรบางอย่าง และเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง ดังนั้นถึงได้เกิดความคึกคักที่จิงตูในวันนี้
นางไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ และยิ่งไม่ได้โมโห เพราะว่ามีเรื่องมากมาย ที่นางเองก็ไม่อาจจะยืนยันได้
ดวงดาวในท้องฟ้าตอนกลางวัน ซ่อนตัวอยู่หลังแสงของดวงอาทิตย์ แต่เมื่อเทียบกับท้องฟ้าในยามราตรีแล้ว ตำแหน่งของมันกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย
นางมองดาวโชคชะตาของตนเองอย่างเงียบๆ ดาวที่ส่องสว่างที่สุดในท้องฟ้าดวงนั้น คิดถึงหลายร้อยปีก่อนอย่างเงียบๆ นางใช้ความสามารถที่ยากจะจินตนาการ แก้ไขตำแหน่งของดวงดาวดวงนั้น ในเวลาเดียวกันก็แก้ไขความสว่างของมัน และแน่นอน ดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบดวงดาวดวงนั้นก็ล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย
คนผู้หนึ่งที่แก้ไขโชคชะตา สุดท้ายก็จะส่งผลกระทบไปถึงคนจำนวนนับไม่ถ้วน กระทั่งส่งผลกระทบไปถึงโชคชะตาของโลกทั้งใบ
เมื่อผีเสื้อขยับปีกของมัน ดินแดนต้าซีก็เกิดพายุขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นเป็นนางที่สร้างความเปลี่ยนแปลงเหนือชั้นเมฆขึ้นไป
เพียงแต่ เมื่อโชคชะตาทั้งหมดนี้รวมอยู่ด้วยกัน แล้วจะใช้พลังอำนาจใดจะมาตัดสินได้กัน ใช้กฎสวรรค์หรือ
ถ้าหากเจาหมิงยังมีชีวิตอยู่จริงๆ นางจะต้องเผชิญหน้ากับผลของกฎสวรรค์อย่างไร
ถ้าหากเจาหมิงตายไปตั้งแต่แรกแล้ว นางจะต้องเผชิญหน้ากับผลของกฎสวรรค์อย่างไร
หลายร้อยปีก่อน ตอนที่นางสังเวชต่อดวงดาว ก็เคยคำรามใส่สำนักเทียนเต้าอย่างโกรธแค้นและแข็งกร้าว นางในตอนนั้นโกรธแค้น สิ้นหวัง และเจ็บปวด ไม่มีความรักต่อโลกใบนี้ จึงได้แข็งแกร่งจนแม้แต่กฎสวรรค์ก็ยังไม่กล้าสบตากับนางตรงๆ
แต่นางไม่เคยคิดมาก่อน ว่าเจาหมิงถึงกับกำเนิดขึ้นมาจริงๆ
ตั้งแต่นาทีนั้น นางรู้ว่าตนจะต้องเผชิญหน้ากับกฎสวรรค์ แต่นางยังไม่ทันได้ทำอะไร กฎสวรรค์ก็มาอย่างไร้สุ้มเสียง หลังจากซ่อนตัวอยู่หลังม่านราตรี
จนกระทั่งเมื่อปีก่อน สำนักฝึกหลวงปรากฏแสงจากดวงดาวสายหนึ่ง มีคนจุดประกายแสงดาวโชคชะตาของตนขึ้นมาหนึ่งดวง
ดูเหมือนว่ากฎสวรรค์จะมาหานางแล้ว
ดาวโชคชะตา ที่แท้ก็อาจจะเป็นดาวปฏิปักษ์ของโชคชะตา